ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1597 เรื่องมาถึงตรงหน้า

บทที่ 1597 เรื่องมาถึงตรงหน้า

การแสดงออกของแฮมเล็ตแบบนี้ก็แสดงชัดแล้วว่า เขาไม่โอเคกับเรื่องการแต่งงานของนีลเซ็นและแพรีส

ฉินสือโอวเห็นแบบนี้ก็ร้อนใจ เตรียมจะยื่นมือไปตบโต๊ะแล้วตะโกนใส่ นีลเซ็นที่อยู่ด้านหลังเห็นแล้วหวาดเสียว รีบดึงมือเขาไว้แล้วพยายามขยิบตาให้เขาเต็มที่ พร้อมกันนั้นในใจยังร้องด้วยความระทมทุกข์ว่า บอส คุณห้ามทำให้เรื่องงานแต่งงานของผมจบเห่เด็ดขาดนะ ผมกับแพรีสเรารักกันจริงๆ!

เมื่อควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ฉินสือโอวนายใหญ่ก็แสดงความคิดเห็นของตัวเองด้วยความประนีประนอม “ผมคิดว่านะ เพื่อน สมัยนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการมีความรักอย่างอิสระหรอกเหรอ? ถ้าจะคลุมถุงชนก็คงไม่ดีเท่าไร?”

แฮมเล็ตเหลือบมองไปทางนีลเซ็น ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฉันมีน้องสาวแค่คนเดียวนะ ฉิน น้องสาวอายุน้อยกว่าฉัน 15 ปี ดังนั้นจึงมีหลายเรื่องที่ฉันต้องรับผิดชอบแทนเธอ”

เมื่อเปิดอกพูดกันตรงๆ ฉินสือโอวยื่นมือไปตบที่บ่าของนีลเซ็น “ใช่ วิลเลียม คุณต้องรับผิดชอบน้องสาวคุณ แต่คุณไม่คิดว่านีลเซ็นเป็นชายหนุ่มที่ดีหรอกเหรอ? คุณไม่คิดว่าเขาจะให้ความสุขกับแพรีสได้เหรอ?”

แฮมเล็ตเริ่มลังเล หลายครั้งที่ยกข้าวกล่องขึ้นแล้วก็วางลง

ฉินสือโอวผลักนีลเซ็นหนึ่งที นีลเซ็นจึงรีบยืนขึ้นแล้วสาบานว่า “พระเจ้ารับรู้ครับ ท่านนายกเทศมนตรี ผมจะรักแพรีสไปตลอดชีวิต! ผมจะทำให้เธอมีความสุขครับ!”

“รอข่าวจากผมก่อน ผมต้องคุยกับแพรีส” แฮมเล็ตตัดสินใจแน่วแน่แล้วจึงพูดออกมา

นีลเซ็นรีบล้วงเอามือถือออกมา แฮมเล็ตถลึงตาใส่ “คุยต่อหน้า เรื่องของครอบครัว ไม่ใช่จะมาคุยกันทางโทรศัพท์ได้!”

นีลเซ็นฝืนยิ้ม “ผมเข้าใจครับ ที่ผมจะโทรศัพท์ก็เพื่อให้เธอเข้ามา”

ฉินสือโอวและแฮมเล็ตเบิกตากว้างพร้อมกัน นีลเซ็นอธิบายเสียงเบาว่า “แพรีสน่าจะอยู่ข้างนอกแน่ๆ ผมเห็นรถเธอแล้วตอนที่เพิ่งเข้ามา”

หลังจากกดโทรศัพท์ ประตูที่ห้องรับรองก็เปิดออกจากด้านนอก แพรีสในชุด OL ก็เข้ามาพร้อมพูดอย่างสบายๆ ว่า “พี่คะ น้องยินดีที่จะแต่งงานกับนีลเซ็นค่ะ พวกเราสองคนรักกันจริงๆ ค่ะ”

แฮมเล็ตโบกไม้โบกมือ ฉินสือโอวมองตรงไปที่เขา “คุณโบกมือหมายความว่าอย่างไร? ก็คุยกันตอนนี้เลยดีไหม? อย่าบอกผมนะว่าคุณไม่มีเวลา!”

แฮมเล็ตฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องคุยแล้ว ดูท่าแพรีสจะชอบเจ้าหนุ่มนี่แล้วจริงๆ ฉันยอมรับเรื่องแต่งงานในครั้งนี้ เตรียมตัวมาสู่ขอเจ้าหญิงงี่เง่าของพวกเราได้เลย”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ แพรีสดีใจยกใหญ่ ดีใจจนกอดนีลเซ็นที่อยู่ข้างๆ นีลเซ็นยิ่งดีใจกว่า กอดแพรีสแล้วก็คิดจะจูบเธอ

แฮมเล็ตกระแอมสองที แพรีสจึงผลักนีลเซ็นออกแล้วเดินไปกอดเขาแทน ตะโกนด้วยความดีใจว่า “ขอบคุณมากค่ะพี่ น้องรู้ว่าพี่รักน้องที่สุดอยู่แล้ว”

นีลเซ็นพูดอย่างอ่อนแรง “แล้วผมล่ะ ที่รัก? คุณเคยบอกไม่ใช่เหรอว่าผมรักคุณที่สุด?”

แต่ทว่าตอนจบก็จบลงอย่างมีความสุข นีลเซ็นเดินจูงมือออกไปกับแพรีส ฉินสือโอวก็อยากกลับเหมือนกัน แต่แฮมเล็ตบอกเป็นนัยให้เขาอยู่ต่อ บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับเขา

“เรื่องอะไรครับ?” ฉินสือโอวถามขึ้น

แฮมเล็ตมีท่าทีลำบากใจ เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “นายรู้เรื่องที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดจะลดค่าใช้จ่ายด้านรักษาพยาบาลลงอย่างมากในปีนี้ใช่ไหม?”

ฉินสือโอวพยักหน้า แล้วก็เข้าใจความหมายของแฮมเล็ต การปกครองส่วนท้องถิ่นเมืองเซนต์จอห์นจะเริ่มลงมือแล้ว และมีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะจัดการกับเมืองแฟร์เวล ไม่เช่นนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องคุยกับฉินสือโอวเรื่องพวกนี้

ไม่นานมานี้ ตอนที่เคอร์ สเตราส์มาที่ฟาร์มปลาพักผ่อนในช่วงวันหยุดก็เคยบอกกับเขาเรื่องนี้ แต่เขาคาดไม่ถึงว่าองค์การบริหารส่วนจังหวัดจะจัดการกับโรงพยาบาลในเมืองและเขตชุมชน!

ตามที่เขารู้มา นับตั้งแต่พรรคเสรีนิยมเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากในนิวฟันด์แลนด์ตั้งแต่ปี 2556 เพื่อเติมเต็มช่องว่างการขาดดุลทางการแพทย์หลายร้อยล้านบาทและจ่ายค่ารักษาพยาบาลราคาสูงจำนวนหนึ่ง จึงตัดงบประมาณทางการแพทย์ของจังหวัดอย่างต่อเนื่อง

“จะเริ่มที่เมืองแฟร์เวลก่อนเหรอครับ?” ฉินสือโอวถามขึ้น

ปฏิกิริยาตอบกลับของแฮมเล็ตทำให้ฉินสือโอวหนักใจ การที่เขาเงียบไม่ตอบ นั่นก็หมายถึงการยอมรับ

ในเวลานี้เอง ผู้ช่วยนายกเทศมนตรีที่นั่งกินข้าวอยู่ด้วยกันพูดขึ้น “คุณฉิน คุณแฮมเล็ตก็หมดหนทางแล้วจริงๆ ครับ แค่ปีนี้องค์การบริหารส่วนจังหวัดก็ตัดค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ไป 5.4 ล้านดอลลาร์แคนาดา คาดว่าจะลดการบริการของแพทย์อีก 3 ครั้งในช่วงปีที่เหลือนี้ ปีนี้ขาดดุลทางการแพทย์มากเกินไป เกือบ 800 ล้านดอลลาร์แคนาดาได้!”

สีหน้าของฉินสือโอวดูไม่ดีแล้ว เขาพูดขึ้นว่า “โรงพยาบาลในเมือง ต้องถูกย้ายออกเหรอ ไม่มีทางอื่นแล้วเหรอ?”

เขาจะไม่ยอมให้การปกครองส่วนท้องถิ่นมาย้ายโรงพยาบาลออกไปจากเมือง เพราะไม่ง่ายเลยกว่าที่เมืองแฟร์เวลจะมีโรงพยาบาลได้หนึ่งแห่ง จะย้ายออกไม่ได้ เมื่อก่อนที่เมืองไม่มีเงินสนับสนุนเรื่องโรงพยาบาล ไม่มีแม้กระทั่งเงินค่าจ้างหมอและพยาบาล แต่หลังจากที่เขามา ฟาร์มปลาจ่ายภาษีในจำนวนไม่น้อยให้กับเมือง ในที่สุดจึงมีเงินสนับสนุนสร้างโรงพยาบาล ดังนั้นจะมาทำลายลงไม่ได้

ระบบการแพทย์ของแคนาดาต่างจากประเทศอื่นๆ เพียงแค่รัฐบาลสั่งเอาออก เมืองนั้นก็จะไม่มีคุณสมบัติในการตั้งโรงพยาบาลอีกเลย

โรงพยาบาลที่แคนาดาดำเนินการโดยรัฐบาล ล้วนเป็นโรงพยาบาลรัฐ น้อยมากที่จะมีโรงพยาบาลเอกชน อย่างมากก็มีแค่คลินิกเอกชน

ซึ่งแบบนี้มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในโรงพยาบาลสำหรับผู้ที่มีประกันสุขภาพไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ไม่ว่าจะค่ารักษา ค่ายา ค่าเตียง ค่าอาหาร แม้กระทั่งค่าชดเชยที่ไม่ได้ทำงาน ค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะรับผิดชอบโดยหน่วยงานด้านประกันสุขภาพของรัฐบาล

หน่วยงานด้านประกันสุขภาพของแคนาดาล้วนจัดตั้งโดยรัฐบาล ไม่ใช่จากบริษัทเอกชนที่ทำเกี่ยวกับด้านประกัน เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าชาวแคนาดาจะเข้ารักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย เพราะในบางที่ก็ต้องรับผิดชอบในส่วนของเบี้ยประกันสุขภาพด้วย

ตัวอย่างเช่นเมืองโทรอนโต ทั้งในส่วนบุคคลและรูปบริษัทไม่ต้องเสียเบี้ยประกันสุขภาพเลย รัฐบาลจะรับผิดชอบทั้งหมด แต่ในเมืองแวนคูเวอร์ รัฐบริติชโคลัมเบีย เบี้ยประกันสุขภาพเป็นภาระของส่วนบุคคลและบริษัท ซึ่งมาตรฐานในการเก็บค่าใช้จ่ายของแต่ละบุคคลก็ขึ้นอยู่กับรายได้ของพวกเขา ถ้ารายได้น้อยก็จ่ายน้อย แต่อย่างไรก็ต้องจ่าย

ไม่ว่าจะจ่ายค่าเบี้ยประกันนี้อย่างไร ขอเพียงแค่มีประกันสุขภาพ เข้ารักษาในโรงพยาบาลก็ไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายเอง แน่นอนว่ามีหลายคนในแคนาดาที่จ่ายค่าเบี้ยประกันไม่ไหว หรือจ่ายไม่ได้ พวกเขาจึงไม่ได้รับการรักษาฟรี ดังนั้นเมื่อป่วยหนักก็ถึงขั้นล้มละลาย ซึ่งก็เป็นสภาพที่เห็นได้ทั่วไปในแคนาดา

ด้วยเหตุนี้ การแพทย์ของแคนาดาจึงมีลักษณะเฉพาะอยู่หนึ่งอย่าง คือการจะไปหาหมอที่โรงพยาบาลรัฐ ต้องมีแพทย์ประจำครอบครัวเป็นคนทำนัดหมาย สำหรับโรคฉุกเฉินรุนแรง และอันตรายถึงชีวิตจะทำการนัดหมายได้รวดเร็วมาก หรือแม้กระทั่งไปที่โรงพยาบาลได้เลย แต่สำหรับโรคเรื้อรัง การตรวจหาด้วยอุปกรณ์ขนาดใหญ่จะทำการนัดหมายได้ช้ามากและหมอก็จะพยายามชักชวนให้ผู้ป่วยไม่นอนโรงพยาบาล

ที่ประเทศแคนาดา มีคำศัพท์พิเศษในการวัดระดับการแพทย์ในภูมิภาคให้สมดุล คือ อัตราการรับการรักษาแบบทันที หลังจากทำการนัดหมายแล้ว สามารถเข้ารับการรักษาได้เลยในวันนั้นหรือวันถัดมา ก็จะเรียกว่าการรับการรักษาแบบทันที

ในเมืองใหญ่อัตราการรับการรักษาแบบทันทีนี้คือประมาณ 40% แต่ในเมืองชนบท หรือที่ห่างไกลออกไป ในกลุ่มชนชั้นที่มีรายได้ต่ำและกลุ่มผู้อพยพถิ่นฐานมาใหม่ อัตราการรับการรักษาแบบทันทีกลับมีอัตราที่ต่ำมาก

ในอดีตผู้ที่อยู่อาศัยในเมืองแฟร์เวลมีปัญหาในการไปพบแพทย์มาก พวกเขาต้องนั่งเรือไปยังเมืองเซนต์จอห์นเท่านั้น ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขหลังจากที่โอดอมมาถึง แต่อัตราการรับการรักษาแบบทันทียังค่อนข้างต่ำ ประชากรในเมืองแฟร์เวลอย่างน้อยๆ ก็มีเป็นพันคน และในพันคนนี้ กลุ่มผู้สูงอายุและวัยกลางคนมีจำนวนสูงสุด เมื่อมีแค่โรงพยาบาลเพียงแห่งเดียวและมีแพทย์เพียงคนเดียว ดังนั้นเวลาในการรอคิวที่ผู้คนจะไปพบแพทย์จึงใช้เวลานานมากไปโดยปริยาย

แต่ไม่ว่าจะนานแค่ไหนก็ยังดีกว่าไม่มีโรงพยาบาลที่จะพบแพทย์ สิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญในตอนนี้คือการฟื้นฟูระดับการแพทย์ก่อนหน้านี้ หากโรงพยาบาลในเมืองเล็กๆ ถูกย้ายออก พวกเขาก็ต้องไปที่เมืองเซนต์จอห์นถ้าพวกเขามีอาการปวดหัวหรือไม่สบาย

……………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท