ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1603 เรืออับปางสองลำ

บทที่ 1603 เรืออับปางสองลำ

ฉินสือโอวพยักหน้า แล้วจิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็พุ่งวาบออกไปทางน่านน้ำทะเลแคริบเบียนราวกับเงาที่เคลื่อนผ่านหน้าไปด้วยความเร็วสูง

ก่อนหน้านี้เขาเคยควบคุมจิตสำนึกแห่งโพไซดอนไปที่อ่าวเม็กซิโกมาแล้ว ทะเลแคริบเบียนอยู่ไม่ไกลจากอ่าวเม็กซิโก น่านน้ำทั้งสองนี้เรียกได้ว่าเกือบจะติดกันเลย ดังนั้นการจะมุ่งหน้าไปที่ทะเลแคริบเบียนจึงเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก

แน่นอนว่า เรื่องนี้ไม่สามารถบอกกับเบลคได้ เขาพยักหน้าบอกว่าเข้าใจ กลับไปแล้วจะพาวาฬเบลูก้าไปดูลาดเลาที่เกาะซานอันเดรสในทะเลแคริบเบียนให้ ถ้าตอนนั้นสามารถหาเรือซานโฮเซเจอจริงๆ พวกเขาจะได้คิดวิธีที่จะรวยเทียบเท่าประเทศได้กัน

เพิ่งจะหมดฤดูใบไม้ผลิไป บริษัทจัดประมูลริชชี่มีงานเยอะมาก ตัวเบลคในไม่กี่ปีมานี้เนื่องจากได้รับผิดชอบดูแลสมบัติจากฉินสือโอวไปมากมาย ดังนั้นในบรรดาลูกหลานรุ่นเดียวกันของตระกูลเขาจึงมีผลงานมากที่สุด และถูกสอนงานในฐานะผู้ดูแลกิจการตระกูลคนถัดไป ทำให้โอกาสที่จะออกมาเที่ยวนับวันก็ยิ่งน้อยลง

ก่อนจากไป เบลคลังเลอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็ตัดสินใจเปิดปากออกมาว่า “เพื่อน เรือซานโฮเซสำหรับฉันนั้นสำคัญมากเลย ไม่ใช่แค่เพราะเงินที่อยู่ในนั้นเท่านั้น หากว่างมเรือขึ้นมาแล้วและทางตระกูลฉันได้รับสิทธิ์ให้จัดงานประมูลสมบัติที่จมได้แล้วล่ะก็ ฉันก็จะถูกตั้งให้เป็นหัวหน้าตระกูลเบลครุ่นต่อไปเลย”

คำพูดพวกนี้ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา ฉินสือโอวเข้าใจ เขาตบไปที่บ่าของเบลคแล้วพูดว่า “วางใจเถอะ แม้ว่าจะไม่มีเรือซานโฮเซนายก็สามารถเป็นหัวหน้าตระกูลได้แน่นอน ทางฝั่งของบิลลี่ต้องมีการค้นพบครั้งใหญ่แน่นอน อย่างไรเสียมูลค่าของสมบัติบนเรือโจรสลัดเองก็คงไม่น้อยหรอก”

ชะงักไปพักหนึ่ง เขาก็พูดเล่นออกมาว่า “ถ้าหากพวกเราได้เรือซานโฮเซมาจริงๆ แล้วล่ะก็ นายจะยังอยากเป็นหัวหน้าตระกูลอะไรนั่นอีกเหรอ? ฉันกล้าพูดเลย มูลค่าของสมบัติบนเรือซานโฮเซมากกว่าหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐแน่นอน ส่วนแบ่งที่นายจะได้เป็นเงินก้อนโตก้อนหนึ่งเลย ถึงตอนนั้นนายสามารถไปก่อตั้งตระกูลใหม่ได้อีกตระกูลหนึ่งแล้ว”

เบลคพูดว่า “ใช่ นี่เป็นเรื่องจริง แต่ว่ามีความจำเป็นเหรอ? รากฐานของบริษัทจัดประมูลริชชี่ไม่ใช่เรื่องที่เงินสามารถแก้ปัญหาได้หรอกนะ มีเพียงต้องใช้สิทธิอำนาจในการตัดสินใจและทรัพยากรของบริษัทจัดประมูลริชชี่เท่านั้น พวกเราจึงจะสามารถนำสมบัติที่งมขึ้นมาได้ไปเปลี่ยนเป็นเงินได้มากขึ้น”

ทั้งสองคนจากกัน ฉินสือโอวทำการเช่าเรือขนส่งลำเล็กของท้องถิ่นมาลำหนึ่ง เพื่อนำไม้พาโลซานโตที่เหลือกลับไปที่ฟาร์มปลาต้าฉิน เตรียมจะนำไปใช้สร้างศาลาไม้พาโลซานโต

หลังจากกลับถึงฟาร์มปลาแล้ว เขาปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนเสี้ยวหนึ่งไว้ที่ทะเลแคริบเบียน ส่วนอีกเสี้ยวก็ให้ไปที่กรีนแลนด์ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ เพื่อดูสถานการณ์การงมเรือโจรสลัดของบิลลี่

บิลลี่เป็นคนที่มีฝีมือพอสมควร เขามีการใช้ทั้งเครื่องค้นหาใต้น้ำและเครื่องโซนาร์ต่างๆ เพื่อทำการสำรวจก้นทะเลบริเวณที่เรืออับปางอยู่อย่างทุกกระเบียดนิ้ว พวกเขาเจอเข้ากับเรือโจรสลัดอับปางแล้ว แต่ว่าเพราะความลึกของน้ำ อุณหภูมิที่ต่ำและแรงดันที่สูง ทำให้งมได้ค่อนข้างยาก ถึงตอนนี้แล้วยังทำการวางแผนการงมซากกันอย่างเคร่งเครียดอยู่ ยังไม่เสร็จงานเลย

เมื่อเป็นแบบนี้ เขาจึงโทรศัพท์ไปหาบิลลี่ ถามเขาว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง

ทางฝั่งบิลลี่ดีใจมาก พูดว่า “มีวี่แววแล้ว เพื่อน อดทนรออีกสักหน่อย ฉันกล้าสาบานต่อพระเจ้าเลย มากสุดหนึ่งเดือน ก่อนจะสิ้นเดือนมิถุนายนจะต้องงมสมบัติในเรืออับปางนี้ขึ้นมาได้แน่นอน! แล้วก็นะ เพื่อนรักของฉัน ครั้งนี้พวกเราเฮงแล้ว! เฮงกันจริงๆ แล้ว!”

ฉินสือโอวหยอกไปว่า “รวยจนเทียบเท่าประเทศเลยไหม?”

บิลลี่พูดว่า “หากว่าเป็นประเทศเล็กๆ อย่างทวีปแอฟริกาแล้วล่ะก็ งั้นก็ไม่มีปัญหาหรอก! นายไม่รู้ถึงมูลค่าของสมบัติล็อตนี้ พวกมันถูกรักษาไว้ด้วยน้ำมันปลาวาฬ อาทิตย์ที่แล้วตอนที่พวกเราใช้หุ่นยนต์ถ่ายภาพใต้ทะเลลงไปแล้วก็พบว่า ในนั้นมีเครื่องเซรามิกโบราณมากมายแล้วก็ยังมีเครื่องเงินเครื่องทองที่ถูกรักษาไว้อย่างดีอีกด้วย ของพวกนี้ล้วนถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีเลย! จากที่ฉันรู้มา บนโลกนี้มีน้อยคนนักนะที่งมเจอสมบัติที่ถูกเก็บรักษาในสภาพดีอย่างนี้ได้!”

ฉินสือโอวบอกว่าเป็นแบบนี้ก็ดี จากนั้นก็กำชับให้เขาระมัดระวังด้วย ต้องเก็บเป็นความลับ ไม่อย่างนั้นหากว่าข่าวรั่วออกไปแล้วล่ะก็ ความปลอดภัยของบิลลี่จะเกิดปัญหาขึ้นได้

การงมสมบัติในเรือโจรสลัดเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว ฉินสือโอวจึงใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทำการค้นหาตรงบริเวณเกาะเคย์แมน เขาเริ่มค้นจากฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ไปได้ระยะหนึ่งก่อน แต่ก็ไม่เจอเรือซานโฮเซ

เรืออับปางในทะเลแคริบเบียนมีมากมายจริงๆ แต่ว่าที่มีมูลค่านั้นมีไม่มาก น่านน้ำแถบนี้ล้อมรอบไปด้วยประเทศอย่างเวเนซุเอลา โคลอมเบีย คิวบา และเฮติ ทำให้สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก ประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนจัดเป็นประเทศที่ขาดการพัฒนา สำหรับคนท้องถิ่นแล้วการงมเรืออับปางก็คือวิธีที่สำคัญวิธีหนึ่งที่ทำให้ได้มาซึ่งทรัพยากรทางเศรษฐกิจ

ดังนั้น เรืออับปางในทะเลแคริบเบียนที่แค่ค่อนข้างมีมูลค่าหน่อย ก็ล้วนถูกงมขึ้นไปได้จำนวนหนึ่งแล้ว หากคิดว่าจะไปน่านน้ำลึก ที่นั่นก็มีกลุ่มงมซากเรือของอเมริกาคอยสอดส่องอยู่ ใครใช้ให้ทะเลแคริบเบียนอยู่ใกล้กับอเมริกาขนาดนี้ล่ะ?

ฉินสือโอวเจอเข้ากับเรืออับปางสิบกว่าลำ แต่ว่าของที่มีค่าในนั้นล้วนถูกงมขึ้นไปหมดแล้ว เรือพวกนี้ล้วนเต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกปล้น มีตัวเรือบางลำที่ถูกทำลายจนแหลกกลายเป็นชิ้นๆ เลยก็มี แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นผลที่เกิดจากการงมซากนั่นเอง

ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของหมู่เกาะเคย์แมนก็คือร่องลึกก้นมหาสมุทรที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม้ว่าความลึกโดยรวมของทะเลแคริบเบียนไม่ถือว่าลึก มีเพียงแค่ไม่ถึงสองพันห้าร้อยเมตรเท่านั้น แต่ว่าบริเวณรอบๆ ร่องลึกเคย์แมนกลับลึกเป็นพิเศษ มีความลึกเฉลี่ยมากกว่าหกพันเมตร จุดที่ลึกที่สุดของร่องลึกก็มีมากกว่าเจ็ดพันห้าร้อยเมตรเลย!

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทำการค้นหาบริเวณรอบๆ ร่องลึกเคย์แมนสักพัก ก็ยังไม่เจอเรือซานโฮเซ เรือใหญ่มีอยู่หลายลำ แต่ก็ถูกทำลายอย่างหนัก ในนั้นไม่มีสมบัติ หลักๆ จะเป็นสินค้ามากกว่า เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรือซานโฮเซ

ร่องลึกเคย์แมนมีภูเขาไฟที่ยังไม่ดับสนิทอยู่ไม่น้อย หลังจากที่จิตสำนึกแห่งโพไซดอนของฉินสือโอวไปถึงแล้วสิ่งแรกที่เห็นก็คือผีควันดำในตำนาน ก็คือปล่องน้ำร้อนที่ปะทุของเหลวสีดำออกมาราวกับภูเขาไฟระเบิดแล้วไหลไปในน้ำทะเล

ปล่องน้ำร้อนสีดำนี้มองเห็นได้ชัดมากในน้ำทะเล บริเวณรอบๆ ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิต มองดูแล้วราวกับเป็นนรกก็ไม่ปาน

ฉินสือโอวรู้ ผีควันดำเป็นปล่องพ่นน้ำร้อนใต้ทะเลที่ลึกที่สุดในโลก มันอุดมไปด้วยเหล็กซัลไฟด์ทำให้มีสีดำ อุณหภูมิสูงเป็นพิเศษ มีจุดเดือดของของเหลวที่เกือบ 500 องศาเซลเซียส แม้จะมีแบคทีเรียที่ชอบอุณหภูมิสูงมาที่นี่ก็ไม่รอดเช่นกัน

เมื่อเห็นฉากนี้แล้ว เขารู้สึกห่อเหี่ยวใจเล็กน้อย หากว่าในตอนนั้นเรือซานโฮเซได้จมลงมาในน่านน้ำที่อยู่ในรัศมีของผีควันดำแล้วล่ะก็ งั้นตอนนี้ก็คงไม่เหลือแม้แต่ซากแล้วล่ะ ในที่ที่มีอุณหภูมิแบบนี้แม้จะเป็นทองคำแท้ก็ยังสามารถละลายได้เลย

เขาทำการค้นหาบริเวณรอบๆ ต่อ ก็ได้พบเข้ากับปล่องน้ำร้อนสีขาวปล่องหนึ่ง อุณหภูมิของที่นี่ต่ำกว่าผีควันดำไม่น้อย จึงเริ่มมีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตโผล่มาให้เห็นบ้าง จิตสำนึกแห่งโพไซดอนไปเจอเข้ากับไส้เดือนทะเลตรงบริเวณรอบๆ ปากปล่องน้ำร้อน สิ่งมีชีวิตแบบนี้ก็เหมือนกับสัตว์เอเลี่ยน มีบางตัวสามารถยาวได้ถึงสองเมตร ปล้องใหญ่และเรียว พวกมันกำลังดิ้นไปมาในน้ำที่เดือดจัด ซึ่งทำเอาคนขนลุกได้มากกว่าเห็นงูทะเลอีก

นอกเหนือจากนี้ เมื่อไปยังจุดบริเวณที่อุณหภูมิต่ำกว่านี้ ก็ได้มีเงาของหอยตลับใหญ่ยักษ์ปรากฏออกมา พวกมันโตจนมีขนาดใหญ่เท่ากับเครื่องซักผ้าได้เลย เปลือกก็หนามาก เนื้อตัวเป็นสีเหลืองอ่อน เนื้อของหอยตลับพวกนี้กินไม่ได้ เพราะเนื้อแก่มาก แต่ก็แน่นอนว่าหากว่าเป็นเนื้ออ่อนการมาอยู่ในอุณหภูมิน้ำแบบนี้คงได้ถูกต้มจนสุกไปแล้วแน่นอน

ในสถานการณ์แบบนี้ การที่ฉินสือโอวจะหาเรือซานโฮเซเจอนั้นเป็นเรื่องยากมาก อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นทะเลแคริบเบียนไม่ใช่ทะเลสาบเฉินเป่า มีพื้นที่กว้างเกือบสามล้านตารางกิโลเมตรเลย ตำแหน่งที่เบลคให้เขามาไม่ได้เรื่อง จะต้องพึ่งตัวเองในการค้นหานี้แล้ว

หาอยู่ทั้งคืน แม้ว่าจะพบเข้ากับเรืออับปางเป็นจำนวนมากก็เถอะ แต่ก็ไม่มีประโยชน์เลย ในนั้นไม่มีของมีค่าอะไร ด้วยความที่เบื่อเต็มทน เขาจึงดึงจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับแล้วเข้านอนไป

……………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท