ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1591 จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง

บทที่ 1591 จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง

แม้ว่าจะเป็นแค่การก่อสร้างที่อยู่อาศัย แต่การตกแต่งก็ต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น ยังคงต้องใช้ท่อโลหะ ท่อพลาสติก สายไฟ สวิตช์ไฟ ของประเภทนี้ในขั้นตอนการตกแต่ง ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้ล้วนต้องเริ่มติดตั้งตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง

อุปกรณ์ชิ้นเล็กๆ ทั้งหมดถูกซื้อในร้านขายวัสดุก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในแมรีส์ทาวน์ หลังจากที่ฉินสือโอวจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เจ้าของร้านก็ขนเครน แท่นขุดเจาะ พวกเครื่องจักรทั้งหลายที่เช่ามาออกไป การก่อสร้างบ้านได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการแล้ว

เวลายังผ่านไปไม่ถึง 6 วัน หรือพูดได้ว่าประมาณ 5 วันครึ่งกับอีกนิดหน่อย ชาวประมง 30 กว่าคนต่างทำงานกันตั้งแต่เช้า และเลิกดึกดื่นในช่วงหลายวันมานี้ ฉินสือโอวยังกำชับพวกเขาเรียบร้อยแล้วว่า ห้ามเร่งงานจนคุณภาพลดลง การก่อสร้างนี้จะต้องไม่มีปัญหาอะไร

ดังนั้น หลังจากที่พวกเขาสร้างเสร็จจึงตรวจสอบอยู่หลายครั้งก่อนที่จะส่งมอบให้ฉินสือโอวต่อ

บ้านหลังนี้มีไฟฟ้าและน้ำสำหรับใช้เบ็ดเสร็จ หลังจากที่ฉินสือโอวยกเบรกเกอร์ขึ้น เปิดสวิตช์โคมไฟระย้า ทันใดนั้นแสงไฟก็สว่างไสวขึ้นในทันตา ระยิบระยับสวยงามมาก

หลังจากนั้นเขาก็เดินไปบิดก๊อกน้ำในห้องครัว น้ำเย็นใสสะอาดไหลพุ่งแรงออกมา ฉินสือโอวลองเปิดสวิตช์เปลี่ยนเป็นน้ำร้อน แต่ปรากฏว่าไม่มีประโยชน์ เพราะน้ำที่ไหลยังคงเย็นอยู่ดี

ไม่ทันรอให้เขาพูด ชาร์คก็รีบอธิบายก่อนว่า “บอส อันนี้มันต้องติดตั้งเครื่องกรองน้ำกับเครื่องทำน้ำร้อนก่อนครับ ถ้าบอสไม่ติดตั้ง น้ำก็ไม่มีทางร้อนแน่นอนครับ”

ฉินสือโอวกลอกตามองบนแล้วพูดว่า “ฉันดูเหมือนไม่รู้หรือไง? โอเค ฉันต้องยอมรับว่าชั้นแพ้การพนันครั้งนี้…”

พูดยังไม่ทันจบ พวกชาวประมงต่างส่งเสียงตะโกนร้องขึ้นมา หลังจากนั้นเสียงที่ดังและเป็นเอกลักษณ์ของบูลก็ดังขึ้นว่า “ขึ้นเงินเดือน! ขึ้นเงินเดือน! ขึ้นเงินเดือน!”

ชาวประมงคนอื่นๆ ก็ตะโกนตาม “ขึ้นเงินเดือน! บอสต้องขึ้นเงินเดือน!”

ฉินสือโอวยิ้มพร้อมยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “โอเค ไม่มีปัญหา บอสของพวกนายพูดคำไหนคำนั้น ขึ้นเงินเดือน! ทุกคนขึ้น 10%!”

“เย้” พวกชาวประมงตะโกนร้องด้วยความดีใจอีกครั้ง

ในที่สุดก็กลับบ้านได้ ฉินสือโอวสอดส่องอยู่ที่นี่ได้สองวันก็กลับไปที่ฟาร์มปลาต้าฉิน เนื่องด้วยเขาต้องมาตรวจสภาพบ้านถึงได้กลับมา ต่างจากพวกชาวประมงที่อยู่อาศัยที่นี่มาได้ 10 กว่าวันแล้ว

ชาร์คถามขึ้นว่าจะให้จัดสักสองสามคนมาเข้าเวรไหม ฉินสือโอวส่ายศีรษะแล้วบอกว่าไม่จำเป็น เพราะที่นี่มีแต่สาหร่าย คงไม่มีใครมาขโมย ส่วนบนบกก็มีแต่ตึกว่างเปล่า เพราะฉะนั้นพวกเขาไม่ต้องสนใจทางนี้ กลับไปก็พอแล้ว

เมื่อมีประสบการณ์สร้างบ้านเองในครั้งนี้ ซึ่งเขาก็มีส่วนร่วมด้วย ถึงจะร่วมไม่เยอะ แต่ฉินสือโอวนายใหญ่ก็มีความรู้ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมามากมาย

ถ้าเมื่อก่อนบอกเขาว่า เขาใช้คนแค่ 2-3 คนมาช่วยกันก่อสร้างตึกเล็ก ๆ ขนาด 3 ชั้นก็สามารถสร้างเสร็จได้ เขาคงจะไม่เชื่อแน่ๆ เพราะต้องใช้ทีมผู้รับเหมาผู้เชี่ยวชาญในการก่อสร้างแบบนี้

แต่ตอนนี้เขาเชื่อแล้ว ดังนั้นของบางอย่างก็ไม่จำเป็นต้องรอทีมผู้รับเหมามาทำ เขาสามารถนำทีมช่วยกันก่อสร้าง อย่างเช่น สนามเด็กเล่นที่เขาวางแผนไว้แล้วที่ฟาร์มปลาต้าฉิน

เสี่ยวเถียนกวาอายุขวบครึ่งแล้ว เธอโตไวมาก กระดูกก็แข็งแรงมาก เธอสามารถเล่นกระโดดกับพี่น้องเฟอเรทจอมไล่ล่าได้ตั้งแต่อายุยังน้อย วิ่งไปโน่นไปนี่กับหู่จือและเป้าจือได้สบายๆ ดังนั้นฉินสือโอวจึงตัดสินใจที่จะเปิดโครงการสนามเด็กเล่นเร็วๆ นี้ ให้เด็กน้อยได้มีของเล่นผลาญพลังงานอย่างอื่นบ้าง

ผู้คนจำนวนมากบนเกาะแฟร์เวลต่างมีเครื่องเล่นต่างๆ อยู่ในบ้าน และแน่นอนว่าก็เป็นเครื่องเล่นพื้นฐานทั่วไป อย่างเช่น สไลเดอร์ขนาดเล็ก ชิงช้า แทรมโพลีน รถบั๊ม เป็นต้น ฉินสือโอวอยากจะหาของพวกนี้มาให้เด็กน้อยเล่นก่อน รอจนสร้างสวนเสร็จ ค่อยเริ่มสร้างสนามเด็กเล่นสักแห่ง

เมื่อได้ยินว่าเขาต้องการสร้างสนามเด็กเล่นแบบง่ายๆ ชาร์คยิ้มอย่างมีเลศนัยขึ้นมาทันที แล้วพูดขึ้นว่า “บอส ผมบอกอะไรให้อย่างครับ อย่าง สไลเดอร์ แทรมโพลีน ชิงช้าของพวกนี้ พวกเราก็สร้างเองได้ ใช้เวลาแค่ 5 วัน โอ้ ไม่สิ แค่ 3 วันก็เรียบร้อยแล้วครับ จะพนันดูสักตั้งไหมครับ? ครั้งนี้แค่ขึ้นเงินเดือน 8% ก็พอแล้วครับ”

ฉินสือโอวพูดขึ้นว่า “เห็นแก่พระเจ้า นายรีบไสหัวไปทำงานเลยไป ฉันสั่งของเสร็จไปตั้งนานแล้ว เดี๋ยวก็มีคนจากสนามเด็กเล่นมาส่งของเล่นพวกนี้เอง!”

บูลเดินเขี่ยขี้มูกเข้ามา แล้วพูดอย่างน่าเสียดายว่า “ทำไมต้องซื้อด้วยล่ะครับ? กัปตัน ตอนนี้เศรษฐกิจตกต่ำ พวกเราต้องหัดเรียนรู้ใช้ชีวิตให้ได้ ต้องอดออมนะครับ!”

ฉินสือโอวบอกว่า “นายก็ประหยัดไป แต่ฉันจะไม่ยอมให้ช่วงวัยเด็กของลูกสาวต้องมาแร้นแค้นไปด้วย อืมใช่สิ ถ้านายคิดว่าไม่เหมาะ วันหลังนายก็ไม่ต้องให้ลูกชายของนายมาเล่นของเล่นของบ้านเรา!”

เมื่อพูดถึงลูกชาย บูลก็ใจอ่อนลงทันที เขายิ้มแล้วพูดว่า “อย่าเลย กัปตัน ลูกชายของผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับบทสนทนาของเราเลย เขาชอบเล่นกับเสี่ยวเถียนกวา…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็พูดต่อไม่ออก คาดว่าคงรู้สึกว่าคำพูดนี้ดูฝืนความรู้สึกไปหน่อย

ถ้าจะพูดว่าตอนนี้เจ้าเด็กอ้วนกลัวใครมากที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นเสี่ยวเถียนกวา แค่อยู่กับเธอวันเดียว เด็กอ้วนก็ถูกกลั่นแกล้งจนน้ำหนักลดไปสองขีดแล้ว!

ช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ลมในฤดูใบไม้ผลิพัดหวิว เป็นช่วงเวลาหนึ่งของปีที่มีคลื่นลมค่อนข้างแรง

ฉินสือโอวได้รับคำเตือนจากกรมอุตุนิยมวิทยาที่เซนต์จอห์นเรื่องลมแรงมาสองวันติดกันแล้ว แม้จะไม่รุนแรงเท่าพายุ แต่คลื่นลมก็เป็นคลื่นลมแรงที่สุดที่เกิดขึ้นในระหว่างช่วงหน้าร้อนและหน้าหนาว ซึ่งคลื่นลมทะเลสามารถพัดสูงได้ถึง 7-8 เมตร ดังนั้นไม่ควรออกทะเลในช่วงสองสามวันนี้ หากไม่มีเรื่องอะไร

เมื่อเป็นเช่นนี้ ฉินสือโอวจึงไปที่ริมแม่น้ำปลูกแก่นตะวัน ก่อนอื่นใช้เครื่องไถลากหน้าดินให้แยกออกเป็นแถวๆ หลังจากนั้นก็ฝังหัวที่แตกละเอียดลงไป ก็เรียบร้อย แก่นตะวันจะค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นมาเอง

เมื่อปลูกพืชเสร็จ เขาก็มาอาบน้ำตรงริมทะเล ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ลมทะเลพัดโชย แสงอาทิตย์ที่เริ่มร้อนระอุส่องกระทบลงไปบนผิวน้ำ ส่องลงไปถึงด้านล่าง จึงทำให้น้ำทะเลในฟาร์มปลาในเวลานี้ใสแจ๋วราวกับคริสตัล

คลื่นลมซัดสาดเข้ามาเรื่อยๆ ห่างออกไปไม่ไกลมีคลื่นทะเลลูกใหญ่ ที่หมุนตลบเข้าด้วยกันจนกลายเป็นคลื่นลูกยักษ์ที่มีขนาดสูง 6-7 เมตรได้ กระทบเข้ากับชายฝั่งเสียงดังซู่ๆ น่าตื่นตระหนกตกใจไม่น้อย

“คลื่นลูกใหญ่จริงๆ” ฉินสือโอวอุทาน นีลเซ็นที่อยู่ข้างๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “ใหญ่จริงๆ ครับ แต่คลื่นลูกใหญ่ขนาดนี้เป็นโอกาสเหมาะที่จะเล่นสกีน้ำ บอส พรุ่งนี้ผมขอยืมใช้เทพเจ้าสายฟ้ามืดได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวตอบว่า “นายจะเล่นสกีน้ำเหรอ เป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว เพราะถึงอย่างไรอากาศแบบนี้ก็ออกทะเลไปไม่ได้ ไปเรียกพรรคพวกมาเล่นด้วยกันเถอะ”

นีลเซ็นหัวเราะแสยะยิ้มขึ้นมา “ผมไม่เล่นน้ำกับบอสหรอกนะ ผมนัดกับแพรีสไว้ พรุ่งนี้เธอจะมาเที่ยวที่ฟาร์มปลา พรุ่งนี้ผมเลยแพลนว่าจะขับเจ็ทสกีพาเธอเที่ยวรอบทะเลสักหน่อย”

ฉินสือโอวพยักหน้าตอบว่าไม่เป็นไร เขาเป็นห่วงและคอยจับตาดูความรู้สึกของทั้งคู่ แล้วถามขึ้น “เธอสองคนยังไม่เลิกกันใช่ไหม?”

นีลเซ็น “…”

ฉินสือโอวรีบเปลี่ยนคำพูด “ฉันหมายถึงว่า เธอสองคนเมื่อไรจะแต่งงานกัน?”

นีลเซ็นหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง แล้วคลำที่จมูกของตัวเอง พูดขึ้นว่า “บอส เราอย่าเพิ่งพูดเรื่องแต่งงานเลยเถอะ จริงๆ แล้วผมมีเรื่องหนึ่งที่อยากขอให้คุณช่วย”

ฉินสือโอวมองเขาอย่างแปลกใจ แต่ก็พอจะเดาคำพูดเขาได้ จึงถามขึ้นว่า “นายคิดจะให้ฉันช่วยไปหาแฮมเล็ตพูดกล่อมเขาใช่ไหม?”

นีลเซ็นพยักหน้าอย่างลำบากใจ ยิ้มแล้วตอบว่า “ใช่ครับ”

ฉินสือโอวตบไปที่หน้าอกของเขา “ไม่มีปัญหา ไอ้น้อง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบอสเอง แฮมเล็ตต้องไม่กล้าปฏิเสธฉันแน่”

นีลเซ็นยังคงพูดต่อด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “เอ่อ เขาคงปฏิเสธไม่ได้หรอกครับ เพราะอย่างไรก็ตามแพรีสก็ท้องแล้ว”

คำพูดนี้ทำให้ฉินสือโอวนายใหญ่ตกตะลึงไปในทันที จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง! เจ้านีลเซ็นตากลมโตคิ้วหนาคนนี้ เริ่มเรียนรู้ที่จะทำร้ายฉันตั้งแต่เมื่อไรกันนี่?

……………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท