ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1602 เรือซานโฮเซ

บทที่ 1602 เรือซานโฮเซ

สำหรับกองเรือของจักรวรรดิอังกฤษแล้ว การจมเรือลำเลียงสมบัติ “ซานโฮเซ” นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย เพราะพวกเขาไม่รู้ว่านี่เป็นเรือลำเลียงสมบัติ พวกเขานึกเพียงว่านี่เป็นเรือลำเลียงพลธรรมดาทั่วไปลำหนึ่งเท่านั้น

สงครามการแย่งอำนาจบนน่านน้ำมหาสมุทรของจักรวรรดิอังกฤษและจักรวรรดิสเปน เป็นสงครามมหาสมุทรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและโหดร้ายที่สุดของประวัติศาสตร์ของมนุษย์เลย แม้ว่าสงครามแปซิฟิกจะเป็นที่รู้จักกันมากกว่า แต่ว่าจำนวนผู้คนที่เกี่ยวข้อง เรือรบที่ถูกทำลายและผู้ได้รับบาดเจ็บ กลับเทียบกับสงครามแย่งอำนาจมหาสมุทรระหว่างสองจักรวรรดินี้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

ณ ตอนนั้นทั้งสองฝ่ายกำลังเลือดขึ้นหน้ากันทั้งคู่ ขอแค่ได้เจอเข้ากับเรือของฝั่งตรงข้ามหรือเรือพันธมิตรของฝั่งตรงข้าม ก็จะจัดการทำลายทั้งหมด ไม่สนใจว่าจะเป็นเรือลำเลียงพลหรือว่าเรือลำเลียงทาส เมื่อมีการทำลายเกิดขึ้นมากมาย ทำให้กัปตันที่รับผิดชอบการจมเรือซานโฮเซในตอนนั้นจึงไม่ได้มีการบันทึกถึงตำแหน่งที่แน่ชัดไว้ อีกอย่างในตอนนั้น พวกเขาก็ไม่ได้มาเพื่อจมเรือซานโฮเซ พวกเขามีภารกิจสำคัญชิ้นอื่นอยู่ สามารถพูดได้ว่าการจมเรือซานโฮเซเป็นเพียงการจะตัดหญ้าแต่ดันไปโดนเข้ากับกระต่าย เป็นการกระทำไปตามสถานการณ์เท่านั้น

เรือซานโฮเซโชคร้ายเอง พระเจ้าเฟลิเปที่ห้ายิ่งโชคร้ายกว่า เงินจำนวนนี้เป็นเงินที่จะนำมาใช้ในการทหาร เห็นว่าบนเรือได้บรรทุกของที่ปล้นมาได้จากล่าอาณานิคมในทวีปอเมริกาที่เต็มไปด้วยทรัพย์สมบัติมากมาย ทั้งทองคำ ทองคำขาว เพชรพลอยหลากหลายประเภท มากมายเสียจนนับไม่ได้เลยทีเดียว!

เหตุผลที่ต้องเตรียมทุนการทหารไว้มากมายเพียงนี้ เขาไม่ได้จะนำมาใช้ในการแย่งอำนาจบนมหาสมุทรกับจักรวรรดิอังกฤษเท่านั้น แต่ยังใช้เพื่อสั่งสมกองกำลังทหารใหม่ เพื่อไปยึดพื้นที่เขตการปกครองของประเทศอิตาลีอีกด้วย

สงครามมหาสมุทรระหว่างอังกฤษและสเปนยืดยาวมากว่าหลายร้อยปี การแย่งสิทธิความเป็นเจ้าของบนมหาสมุทรของทั้งสองฝ่ายได้เกิดขึ้นต่อเนื่องไม่เคยหยุด แถมภายหลังยังมีเนเธอร์แลนด์มาเข้าร่วมสงครามด้วยอีก ทำให้สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีก สิทธิการครอบครองน่านน้ำของสเปนถูกรุกรานอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ค่อยๆ เสื่อมอำนาจลง

สงครามมหาสมุทรของอังกฤษและสเปนในศตวรรษที่สิบหกเป็นจุดเปลี่ยน จักรวรรดิอังกฤษได้ขึ้นเป็นเจ้าแห่งมหาสมุทรแอตแลนติกแทนที่จักรวรรดิสเปน ในสมัยนั้น มหาสมุทรแอตแลนติกเป็นถึงหัวใจสำคัญในการขนทาสและขนส่งทางเรือ พระเจ้าเฟลิเปที่ห้าไม่ยอมที่เรื่องเป็นแบบนี้ จึงคิดหาโอกาสที่จะได้แก้แค้น เอาชนะจักรวรรดิอังกฤษเพื่อยึดคืนตำแหน่งเจ้าแห่งมหาสมุทรแอตแลนติกอีกครั้ง

แต่คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต ตัวเขามีก็เพียงแต่อุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น สุดท้ายไม่เพียงแต่ไม่สามารถเอาชนะกองเรือของประเทศอังกฤษ แต่เพราะขาดแคลนเงินทุนทางการทหาร สุดท้ายตอนที่ทำการเข้ายึดอิตาลีก็ได้ถูกสี่ประเทศร่วมมือกันโจมตี จนล่มสลายไปในที่สุด

หากวิเคราะห์จากตอนนั้นแล้ว เรือซานโฮเซเป็นเรือที่สามารถส่งผลต่อทิศทางของการสู้รบได้ลำหนึ่งเลย หากว่าในตอนนั้นมันสามารถกลับไปถึงสเปนได้อย่างปลอดภัย บางทีประวัติศาสตร์ของทั่วโลกอาจมีการเขียนขึ้นใหม่ก็ได้ อย่างน้อยพระเจ้าเฟลิเปที่ห้าก็สามารถระดมกองทหารและยึดดินแดนคืนมาจากอิตาลีได้สำเร็จ ตามด้วยการเข้ายึดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทำการสั่งสมกำลังไม่แน่ว่าอาจจะสามารถเอาชนะจักรวรรดิอังกฤษ และทำการหยุดยั้งการเรืองอำนาจของประเทศญี่ปุ่นก็เป็นได้

พระเจ้าเฟลิเปที่ห้ารู้ถึงความสำคัญของเรือสมบัติลำนี้ดี ดังนั้นเพื่อเป็นการอำพราง เขาจึงไม่ได้ใช้เรือลำเลียงสมบัติทั่วไปในการขนย้าย และก็ไม่ได้จัดสรรกลุ่มเรือกลุ่มใหญ่เพื่ออารักขาอีกด้วย เนื่องด้วยในตอนนั้นอำนาจในการเดินเรือมหาสมุทรแอตแลนติกอยู่ในมือของกองเรืออังกฤษ ไม่ว่าเขาจะจัดกองเรืออารักขาไว้ใหญ่แค่ไหน ก็เป็นได้แค่เป้าที่เตรียมไว้ให้กองเรืออังกฤษมายิงเท่านั้น

น่าเสียดาย คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต หลังจากเรือซานโฮเซเข้าไปสู่น่านทะเลแคริบเบียนแล้ว ก็เจอเข้ากับกองเรือของจักรวรรดิอังกฤษ และถูกคนอื่นเขาตัดหญ้าแต่โดนกระต่ายไป โดยถูกรุมยิงด้วยระเบิดเป็นพรวนจนต้องอับปางไปอย่างโชคร้าย

บนเรือมีทหารเรือชาวสเปนฝีมือเยี่ยมอยู่ทั้งหมดหกร้อยกว่าคน สุดท้ายคนที่เหลือรอดกลับเป็นศูนย์ คนพวกนี้ไม่ได้กลับไปที่สเปน เพราะว่าโทษของการสูญเสียสมบัติไปคือประหารชีวิต จะต้องถูกฆ่าล้างทั้งตระกูล ดังนั้น คนเหล่านี้จึงพากันหนีเอาชีวิตรอด เบาะแสของเรืออับปางซานโฮเซจึงถูกบดบังลงไปแบบนี้

ต่อมา แม้ว่าข่าวเรื่องการอับปางของเรือซานโฮเซจะแพร่ออกไป แต่เพราะกองเรืออังกฤษในตอนนั้นไม่ได้ทำการจดบันทึกตำแหน่งที่ทำลายเรือซานโฮเซไว้ เหล่าผู้รอดชีวิตของเรือลำนี้ก็เป็นเพียงทหารทั่วไป แถมบนทะเลยังไม่เหมือนบนผืนดิน บนมหาสมุทรที่กว้างใหญ่นั้นไม่สามารถทำสัญลักษณ์อะไรไว้ได้ ทำให้ท้ายที่สุดก็ไม่มีคนสามารถหาเรือสมบัติที่ลือว่ามูลค่ามหาศาลนี้เจอเลย

ฉินสือโอวคิดทบทวนถึงข่าวของเรือซานโฮเซสักพัก ถามเบลคว่า “นายหาตำแหน่งของเรือลำนี้ได้แล้วจริงเหรอ? หลายศตวรรษมานี้ มีคนไม่รู้ตั้งเท่าไรที่หากันไม่เจอ นายไปหาเจอได้อย่างไร?”

เบลคยิ้มเบาๆ พูดว่า “ฉันค่อนข้างโชคดีน่ะ ช่วงต้นปีฉันได้สมุดบันทึกการเดินเรือมาเล่มหนึ่ง เป็นของเรือที่ชื่อว่า ‘เรือแข็งดังโขดหิน’ ฉันได้ทำการวิเคราะห์โดยอ้างอิงจากข้อมูลข้างใน จากนั้นนายเดาสิว่าฉันเจออะไรเข้า?”

“เรือลำนี้ก็คือเรือรบที่จมเรือซานโฮเซลำนั้นเหรอ?” ฉินสือโอวถามด้วยความประหลาดใจ นี่มันไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอ ตอนนั้นก็เพราะไม่สามารถยืนยันตัวตนของเรือรบที่จมเรือซานโฮเซได้แน่ชัดนั่นแหละ ทำให้ส่งผลไม่สามารถสืบหาตำแหน่งที่ตั้งของเรืออับปางลำนั้นได้

การสู้รบกันของเรือรบในสมัยนั้นโกลาหลมาก เรือรบของประเทศอังกฤษ สเปน เนเธอร์แลนด์ และโปรตุเกสมักเกิดการปะทะกันเป็นประจำ นายยิงฉัน ฉันยิงนาย ไม่เพียงแต่สู้รบกันระหว่างทหารเรือและทหารเรือเท่านั้น ทหารเรือเองก็ชอบที่จะโจมตีเรือพลเรือนและเรือการค้าอีกด้วย แถมเรือพลเรือนและเรือการค้าเองก็ชอบปลอมตัวเป็นเรือทหารหรือเรือโจรสลัด เพื่อทำการสู้รบกันเองอีกด้วย

หลังจากสู้รบกันมาหลายสิบปี เหล่าผู้ยึดครองมหาสมุทรทั้งหลายพบว่าเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ดี หากยังสู้กันแบบไม่เลือกหน้าแบบนี้ต่อไปจะเป็นการทำให้ทรัพยากรของตัวเองได้รับความเสียหาย ดังนั้นพวกเขาจึงทำการหารือกัน ตกลงกันว่าต่อไปห้ามโจมตีเรือพลเรือนและเรือการค้าเป็นอันขาด ซึ่งนี่ก็คืออนุสัญญาว่าด้วยกฎหมายทางทะเลสี่ประเทศ

แต่ทุกคนต่างก็รู้ การสร้างสัญญาระหว่างประเทศนั้น มีไว้เพื่อทำลายทั้งนั้น ทหารเรือของทั้งสี่ประเทศไม่เคยปฏิบัติตามกฎเลย พวกที่โจมตีเรือพลเรือนก็ยังโจมตีต่อไป พวกที่ปล้นเรือการค้าก็ยังคงปล้นต่อไป เพื่อไม่ให้มีหลักฐานมาเอาผิดตัวเองได้ พวกเขาจึงเริ่มทำบัญชีปลอมขึ้นมา หลังจากโจมตีเรือเหล่านี้แล้วก็จะปฏิเสธไม่ยอมรับ และไม่บันทึกลงในบันทึกการเดินเรือของกัปตันและบันทึกการสู้รบด้วย

เบลคพยักหน้าพูดว่า “ใช่แล้ว ตามที่ฉันคิดไว้ก็เป็นแบบนี้ แต่ต่อมาสิ่งที่ฉันได้เจอในสมุดบันทึกเล่มนี้ก็คือ ปีที่เรือซานโฮเซถูกจมนั้น คือปี 1708 ซึ่งก็เป็นปีเดียวกันกับที่เรือลำนี้ออกทะเลอยู่ สุดท้ายสรุปได้ว่า จุดที่พวกเขาจมเรือซานโฮเซลงเป็นจุดที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่เกาะเคย์แมน เพราะในตอนนั้นเรือแข็งราวโขดหินลำนี้กำลังไปจะเติมเสบียง แล้วบังเอิญเจอเข้ากับเรือซานโฮเซพอดี พวกเขานึกว่านี่เป็นเรือลำเลียงพลลำหนึ่งของสเปน จึงทำการจมเรือลง”

“โจมตีเรือซานโฮเซแล้ว พวกเขากังวลว่าด้านหลังอาจจะมีกองเรือรบของสเปนอยู่ แถมพวกเขาเองก็เหลือเสบียงไม่มากแล้ว จึงรีบหนีออกไป นี่แหละเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่ได้ทำการบันทึกตำแหน่งการสู้รบบนทะเลไว้!”

ฉินสือโอวลูบหลังหัวเบาๆ รู้สึกว่าเจ้าเบลคนี่ถือว่าเป็นคนมีพรสวรรค์คนหนึ่งเลย ถึงขั้นสามารถปะติดปะต่อเรื่องจนได้เบาะแสมาเยอะขนาดนี้ เขาอดที่จะชมออกไปไม่ได้ว่า “การที่นายไม่ไปทำงานในหน่วยข่าวกรองห้าพยัคฆ์ของซีไอเอนี่ถือว่าเป็นการสูญเสียของพวกเขาจริงๆ แล้วก็เป็นการสิ้นเปลืองพรสวรรค์ของนายเองด้วย”

หน่วยข่าวกรองห้าพยัคฆ์เป็นชื่อเรียกชื่อหนึ่ง เอาไว้ใช้เรียกหน่วยข่าวกรองของแคนาดาที่ต้องรวบรวมข้อมูลของหน่วยงานหลักทั้งห้าไว้ ซึ่งแบ่งออกเป็นหน่วยการค้าและการพัฒนาระหว่างประเทศ กระทรวงกลาโหมและยุทโธปกรณ์ หน่วยข่าวกรองความปลอดภัยระดับประเทศ และหน่วยตำรวจม้าหลวงและการสื่อสาร หน่วยงานทั้งห้านี้รับผิดชอบการรวบรวมข่าวกรองทางสัญญาณและข่าวกรองทางบุคคล เพื่อใช้เสนอมาตรการ และการป้องกันความปลอดภัยของประเทศรวมไปถึงการทหาร เหล่าคนมีความสามารถในนั้นล้วนเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการวิเคราะห์ข่าวกรอง ดังนั้นฉินสือโอวจึงพูดออกมาแบบนี้

เบลคหยิบแผนที่ทางทะเลของทะเลแคริบเบียนที่เขาพกติดตัวไว้ตลอดออกมาแผ่นหนึ่ง บนนั้นตรงจุดที่ค่อนไปทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ได้วาดดาวห้าแฉกสีแดงไว้ เขาพูดอย่างมั่นใจว่า “นี่ก็คือตำแหน่งคร่าวๆ ที่เรือซานโฮเซอยู่ นายหาวิธีไปตรวจเช็กกับบิลลี่อีกที ฉันคิดว่า พวกเราสามารถรวยเทียบเท่าประเทศได้จริงๆ นะ!”

…………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท