ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1606 เริ่มตั้งเตา

บทที่ 1606 เริ่มตั้งเตา

ทิญาพาฉินสือโอวไปที่ห้องทำงานของเขา

ออฟฟิศผู้อำนวยการ ตัวหนังสือสีทองขนาดใหญ่หกตัวถูกพิมพ์ไว้บนแผ่นป้ายชื่อแผ่นหนึ่ง ทิญารีบเดินนำหน้าไปเปิดประตูให้เขา ท่านชายฉินเผยรอยยิ้มชื่นชมออกมา เดินเข้าไปตบบ่าเธอเบาๆ อย่างเป็นกันเองแล้วพูดว่า “เด็กน้อย ตั้งใจทำงาน ทางองค์กรคาดหวังกับเธอไว้สูงนะ”

ทิญายิ้มหวานออกมา คิ้วเลิกขึ้นมาแล้วพูดว่า “ขอบคุณหัวหน้าที่ชมค่ะ ดิฉันจะต้องตั้งใจทำงาน ไม่ให้หัวหน้าผิดหวังที่ผลักดันดิฉันแน่นอนค่ะ”

ฉินสือโอวหัวเราะเหอๆ ขึ้นมา ตามด้วยเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นมาจากห้องทำงานว่า “เฮ้ ฉิน เรื่องอะไรทำให้นายดีใจขนาดนี้เหรอ?”

แฮมเล็ต? ฉินสือโอวสะดุ้งไปทีหนึ่ง เขานึกว่าพวกหัวหน้าเหล่านี้ยังไม่มากันเสียอีก นึกไม่ถึงว่าแฮมเล็ตจะเข้าไปอยู่ในห้องทำงานเขาก่อนแล้ว

ทิญาปิดประตูจากด้านนอก ฉินสือโอวมองหน้ายิ้มแย้มของแฮมเล็ตแล้วก็พูดอย่างสงสัยว่า “คุณมาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”

แฮมเล็ตยักไหล่แล้วพูดว่า “นกน้อยที่ตื่นเช้าถึงจะมีหนอนกิน ไม่ใช่เหรอครับ?”

ฉินสือโอวคุยกับแฮมเล็ตไปพลางมองดูรอบๆ ห้องไปพลาง ห้องทำงานนี้ตกแต่งได้ค่อนข้างเรียบง่ายจริงๆ บนผนังทั้งสี่ด้านไม่มีของตกแต่งอะไรเลย ผนังทางทิศใต้เป็นกระจกติดพื้นบานใหญ่บานหนึ่ง มีแสงแดดที่สว่างไสวสาดส่องเข้ามา ยืนอยู่หน้ากระจกแล้วมองออกไปข้างนอก มองลงไปแล้วสามารถเห็นย่านการค้าและทิวทัศน์ของสวนสาธารณะได้

ด้านหน้าของกระจกตั้งพื้นเป็นเก้าอี้ผู้บริหารพนักสูงตัวหนึ่งกับโต๊ะทำงานไม้ตัวใหญ่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะมีเครื่องคอมพิวเตอร์ของแอปเปิลกำลังทำงานอยู่ เขาดึงเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลง สองมือประสานกันไว้ที่หน้าท้อง ไขว้ขาขึ้นมาแล้วพูดกับแฮมเล็ตว่า “เสี่ยวแฮม คุณมาหาผมมีเรื่องอะไร?”

บุคลิกของแฮมเล็ตเป็นคนเรียบง่ายแต่สุขุม จึงไม่เข้าใจในมุกตลกของฉินสือโอวในทันที จึงถามออกไปอย่างงงงวยว่า “ฮะ? อะไรนะ?”

ฉินสือโอวใช้มือเคาะไปที่โต๊ะ ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “คุณคือเสี่ยวแฮมที่แผนกอะไรสักอย่างนั่นไม่ใช่เหรอ? วิลเลียม แฮมเล็ต ใช่ไหม? คุณมาหาผู้อำนวยการอย่างผมมีเรื่องอะไร? เวลาของผมในตอนนี้มีค่ามาก พูดให้รวบรัดนะ”

แฮมเล็ตจึงเริ่มเข้าใจ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร จึงตอบกลับไปด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนคำหนึ่งว่า “ฮะ?”

เล่นมุกไปทีได้สนุกแล้ว ฉินสือโอวก็เริงร่าขึ้นมา เขาโบกมือบอกให้แฮมเล็ตนั่ง ตรงข้ามกับโต๊ะทำงานมีโซฟานุ่มอยู่ตัวหนึ่ง ทั้งสองฝั่งของโต๊ะก็มีโซฟาอยู่ ตกแต่งได้เรียบง่ายมากๆ แต่ว่าก็เต็มไปด้วยความเป็นมืออาชีพดี ฉินสือโอวมองดูแล้วรู้สึกสบายใจอย่างมาก

เรื่องที่เกี่ยวกับพันธมิตรการประมง แฮมเล็ตไม่คุ้นเคยฉินสือโอวก็ไม่เข้าใจ บทสนทนาของทั้งสองคนจึงต้องไปทางเรื่องการปฏิรูปทางการแพทย์แทน แฮมเล็ตบอกว่าทางคลินิกได้ทำการยื่นเรื่องให้เขาแล้ว ขอแค่ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดทำการยื่นเรื่องปิดกิจการโรงพยาบาลชุมชนที่อายุน้อยกว่าห้าปีทั้งหมด เขาก็จะสามารถช่วยปรับแต่งรูปแบบโรงพยาบาลในเมืองแฟร์เวลได้แล้ว

พอถึงเวลาสิบโมง คนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดก็มาถึงแล้วเช่นกัน ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเออร์วิน มาร์บิวรีพาพนักงานมาถึงห้องประชุมของสำนักงานพันธมิตรการประมง ทิญากับรองผู้อำนวยการเควนติน สเติร์นออกมาต้อนรับคนเหล่านี้กันก่อน หลังจากฉินสือโอวได้รับข่าวแล้วก็รีบตามมาสมทบด้วยกันพร้อมกับแฮมเล็ต คนทั้งกลุ่มมารวมตัวกันเพื่อปรึกษาหารือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพันธมิตรการประมง

ใจมาร์บิวรีอยากให้ทางพันธมิตรการประมงมาบริการช่วยเหลือนิวฟันด์แลนด์ก่อน แต่ว่าพันธมิตรนี้ก่อตั้งมาก็ครึ่งปีแล้ว ทางฝั่งฉินสือโอวก็ยังไม่มีท่าทีอะไร เขาค่อนข้างรอไม่ไหวแล้ว ในการประชุมครั้งนี้เขาจึงโพล่งถามออกมาว่า “คุณผู้อำนวยการครับ ผมอยากทราบว่าก้าวต่อไปของพันธมิตรจะทำอะไรครับ?”

ฉินสือโอวพูดออกไปอย่างไม่ลังเลว่า “คุณมาร์บิวรี สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณพอจะเข้าใจปรัชญาแห่งการไม่ทำอะไรของประเทศผมไหมครับ? หากว่าคุณทราบล่ะก็ งั้นผมว่าคุณน่าจะมองแผนการของผมออกนะ ความรุ่งเรืองของฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ไม่ใช่สิ่งที่จะกู้คืนมาได้เพียงชั่วข้ามคืน เรื่องนี้จำเป็นต้องพึ่งความพยายามของพันธมิตรการประมงทั้งระดับบนและระดับล่างกับการปฏิรูปฟาร์มปลาในบางส่วนด้วย”

มาร์บิวรีเห็นด้วยกับความคิดของเขา จึงพยักหน้าเพื่อบอกให้เขาพูดต่อไป

ฉินสือโอวรวบรวมคำพูดสักครู่ พูดว่า “การปฏิรูปไม่ใช่การเชิญมาเลี้ยงอาหาร นี่คือเรื่องที่กระทบไปถึงผลประโยชน์ของใครสักคน หากว่าพันธมิตรการประมงเพิ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นก็สร้างเรื่องไม่พอใจให้เหล่าเจ้าของฟาร์มปลาเก่าแก่แล้ว เห็นได้ชัดว่าจะทำให้ใจคนสั่นคลอนได้ง่าย ผมจำเป็นต้องรักษาสภาพการณ์ปัจจุบันให้มั่นคงก่อน ดังนั้นในระยะเวลาอันสั้นนี้ผมไม่สามารถทำอะไรได้”

มาร์บิวรีหน้ายิ้มแต่ใจไม่ยิ้มด้วย ให้ตายสิฉันเสียเวลาอันมีค่าขนาดนี้เพื่อมาฟังคำพูดไร้สาระพวกนี้ของนายใช่ไหม?

แต่ว่าเขาไม่สามารถมาชี้นิ้วบงการวิธีการทำงานของฉินสือโอวได้ เพราะว่าพันธมิตรการประมงอยู่ในเขตการปกครองของกรมการประมง ระบบรัฐบาลของแคนาดาได้แบ่งหน้าที่และอำนาจให้กับแต่ละหน่วยงานอย่างชัดเจน มาร์บิวรีไม่สามารถสั่งการฉินสือโอวได้

ถึงขั้นที่ว่า หากว่ามีการบังคับฉินสือโอวมากเกินไป ฉินสือโอวยังสามารถย้ายสำนักงานพันธมิตรการประมงออกจากเซนต์จอห์นไปที่เมืองแฮลิแฟกซ์ในรัฐโนวาสโกเชียได้อีกด้วย เพราะอย่างไรเสียที่นั่นก็เป็นหนึ่งในสนามรบหลักของฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์เช่นกัน

ภายหลังแมทธิว จินก็มาถึงแล้ว แม้ว่าระหว่างพวกเขาจะไม่ได้ขึ้นตรงต่อกัน แต่ว่าก็ยังอยู่ในหมวดหมู่งานเดียวกัน มาร์บิวรีกับพวกลูกน้องจึงมีความเคารพต่อแมทธิว จินอย่างเต็มที่ ทางฝั่งแมทธิว จินเองก็เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายจำต้องพึ่งพาอาศัยกันและกัน ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดจำต้องพึ่งเงินสนับสนุนจากกรมการประมงเพื่อที่จะได้พัฒนาการประมงให้ดีขึ้น ส่วนทางกรมการประมงก็ต้องพึ่งองค์การบริหารส่วนจังหวัดในการออกนโยบายต่างๆ

แมทธิว จิน มาร์บิวรี กับแฮมเล็ตและคนอื่นๆ พากันเดินชมรอบสำนักงานโดยมีฉินสือโอวเดินไปด้วย ตลอดการเดินชมมีนักข่าวที่คอยกดแชะๆ ถ่ายรูปไปด้วย แถมยังมีถ่ายรูปหมู่รวมกันในตอนท้ายอีก ทิญาบอกว่าต่อไปรูปนี้จะถูกแขวนไว้ในห้องทำงานของเขา เรื่องนี้ทำเอาท่านชายฉินอดไม่ได้ที่จะมองบนขึ้นมา

การเมืองของแต่ละประเทศล้วนเป็นแบบนี้หมด เรื่องการออกสื่อนั้นเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้เลย แคนาดาเองก็ขาดธรรมเนียมนี้ไปไม่ได้เช่นกัน การมาถึงของแมทธิว จินและพวกนั้นความจริงแล้วไม่มีประโยชน์อะไรเลย หากจะให้พูดให้ได้ว่ามีประโยชน์ งั้นก็คงจะเป็นการมาพูดชักจูงให้กำลังใจและช่วยฉินสือโอวคุมสถานการณ์เท่านั้น

ช่วงเช้ามาถึงเดินวนรอบหนึ่ง พอถึงช่วงเที่ยงพวกของแมทธิว จินและมาร์บิวรีก็พากันกลับแล้ว ฉินสือโอวคิดอยากจะเชิญพวกเขากินข้าวกันก่อน แต่ว่าดูจากตอนนี้คงไม่ได้แล้ว

พูดถึงเรื่องกินข้าว เหล่าพนักงานมีบ่นกันอยู่บ้าง เพราะว่าที่ที่เรียกว่าศูนย์กลางในย่านการค้านี้คนน้อยมาก แม้กระทั่งร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดอย่างแมคโดนัลด์ หรือพิซซ่าฮัทก็ยังไม่มีมาเปิดเลย การทานอาหารเช้าและอาหารกลางวันของเหล่าพนักงานจึงค่อนข้างลำบาก

ฉินสือโอวทำการจัดงานประชุมพนักงานขึ้น เพราะเขาที่เป็นถึงผู้อำนวยการยังทำหน้าที่ได้ไม่ค่อยดีเท่าไร รับตำแหน่งมาก็ครึ่งปีแล้ว แต่ระยะเวลาที่มาทำงานที่นี่รวมกันแล้วยังไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์เลย คิดว่าน่าจะยังมีพนักงานไม่น้อยเลยที่ไม่เคยเห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ

พันธมิตรการประมงไม่ใช่แค่ของประดับ หรือเป็นแค่บริษัทในนามเท่านั้น ในครั้งนี้กรมการประมงตั้งใจที่จะรวมใจเจ้าของฟาร์มปลาส่วนบุคคลในแคนาดาโดยผ่านพันธมิตรการประมง จากนั้นค่อยดำเนินการกอบกู้การประมงของฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์กลับมาจริงๆ ดังนั้น การเตรียมคนงานของพวกเขาจึงครบครันมาก จนถึงตอนนี้แม้จะยังรับคนไม่ครบ แต่ก็มีพนักงานอยู่เกือบหนึ่งร้อยคนแล้ว

ฉินสือโอวเคยเป็นพนักงานให้คนอื่นมาก่อน จึงพอมีประสบการณ์ในการนำทีมอยู่บ้าง สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากย้ายเข้าห้องทำงานมาแล้ว ก็คือเรียกให้พนักงานทุกคนมานั่งคุยกัน เพื่อคุยกันเรื่องปัญหาที่เจอจะได้แก้ไข หากว่ามีปัญหาที่ใหญ่ล่ะก็ จะได้ถือโอกาสแสดงฝีมือของหัวหน้าใหม่คนนี้ให้ดูเสียเลย

นี่เป็นเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ในประเทศจีนเลย เพราะแคนาดามีสหภาพแรงงานที่เก่งกาจ ดังนั้นหัวหน้างานจะไม่มานั่งประจันหน้าคุยกันกับพนักงาน มีเรื่องอะไรก็ให้สหภาพแรงงานออกหน้าให้ สหภาพแรงงานก็เป็นเหมือนสะพานนั่นเอง

การนั่งคุยกันเริ่มขึ้น ฉินสือโอวถามว่า “ทุกคนมีเรื่องลำบากอะไรสามารถเสนอมาตอนนี้ได้เลย ผมจะคิดหาวิธีแก้ไขให้”

ด้านล่างก็ตั้งเตาขึ้นมาทันที

………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท