ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1614 อ่าวโกลเด้นเบย์เปลี่ยนไป

บทที่ 1614 อ่าวโกลเด้นเบย์เปลี่ยนไป

หลังจากฉินสือโอวพาเหล่าชาวประมงตรวจสอบจำนวนและความแข็งแรงของปลิงทะเลแล้ว รู้สึกว่าไม่มีปัญหาจึงโบกมือเป็นความหมายว่าให้ปล่อยลงไปในฟาร์มปลาได้

บัตเลอร์ก็วิ่งตามมาด้วย หลังจากที่ลูกพันธุ์ปลิงทะเลได้ถูกเทลงไปในทะเลกล่องแล้วกล่องเล่าแล้ว เขาก็ทรุดลงไปคุกเข่ากับกราบเรือทันที แล้ววาดรูปไม้กางเขนบนอก เผยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความศรัทธาออกมา ไม่รู้ว่ากำลังขอบคุณหรือกำลังขอพรอะไรกับพระเจ้าอยู่

ฉินสือโอวรีบประคองเขาขึ้นมาแล้วพูดว่า “นี่เป็นอะไรไปน่ะ? เพื่อน มา รีบลุกขึ้นมาเร็ว”

ลุงหนวดดำปัดมือเป็นความหมายว่าอย่ามายุ่งกับเขา แล้วก็คุกเข่าบ่นพึมพำอยู่ตรงนั้นอีกสักครู่แล้วค่อยลุกขึ้นมา หลังจากลุกขึ้นมาแล้วเขาก็พูดว่า “ฉิน หลายวันมานี้ฉันได้คิดเรื่องเรื่องหนึ่งมาตลอด นั่นก็คือพระเจ้าดีกับเราถึงเพียงนี้ พวกเราควรจะตอบแทนท่านอย่างไรดี?”

ฉินสือโอวถามออกไปอย่างหยั่งเชิงว่า “หรือไม่ สร้างร่างทองให้ท่านสักอันไหม?”

บัตเลอร์ถามอย่างกลับงงงวยว่า “ร่างทอง? ร่างทองคืออะไร?”

ฉินสือโอวจึงเล่าเรื่องร่างทองพระกับข้อปฏิบัติที่เกี่ยวข้องให้ฟังรอบหนึ่ง ที่จริงเขาก็แค่พูดเล่นเท่านั้น

แต่บัตเลอร์กลับคิดว่าเป็นเรื่องจริง เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ สร้างร่างทองให้ท่านไม่ได้”

ฉินสือโอวหัวเราะฮ่าๆ แล้วพูดว่า “ใช่ๆ ฉันเข้าใจ ถ้าเกิดสร้างร่างทองให้กับพระเจ้าแล้ว ก็เท่ากับเป็นการดูหมิ่นความเชื่อของพวกนาย”

บัตเลอร์พูดว่า “ไม่ใช่เรื่องการดูหมิ่นความเชื่อหรอก แต่ว่าจะทำให้คนน้ำลายไหลได้ต่างหาก ร่างทองที่นายพูดถึงก็คือทำการปิดทองไว้ทั่วรูปปั้น ฉันกล้าพนันเลย พวกเราปิดไปได้แค่อาทิตย์เดียว ต้องมีโจรระดับนานาชาติมาขโมยรูปปั้นรูปนี้ไปแน่!”

“แล้วนายคิดว่าจะขอบคุณพระเจ้าอย่างไร?” ฉินสือโอวถาม

บัตเลอร์เงียบไปสักพัก พูดว่า “ฉันมีสองความคิด หนึ่งคือบริจาคเงินก้อนหนึ่งให้กับโรงเรียนที่ฉันเรียนจบมา ตั้งทุนการศึกษามาก้อนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ที่ครอบครัวยากจน อีกอันก็คือฉันได้คิดเรื่องจะรับเลี้ยงเด็กกำพร้าไว้ด้วย เหมือนกับนายไงล่ะ”

ฉินสือโอวอยากอธิบายว่าเชอร์ลี่ย์ พาวลิสกับเด็กๆ เหล่านั้นเป็นเออร์บักที่เป็นคนรับเลี้ยง ตอนนั้นเขายังตระหนักไม่ได้ขนาดนี้ แต่พอกำลังจะพูดออกไปแล้ว เขาก็เปลี่ยนคำจะพูดเป็น “นายจบจากโรงเรียนอะไร?”

เขารู้สึกว่าลุงหนวดดำที่เติบโตมาบนท้องถนนอย่างเขายังสามารถตระหนักได้ถึงเพียงนี้ งั้นในฐานะคนหนุ่มที่เคยมีค่านิยมหลักคือสังคมนิยมแล้ว ควรจะตระหนักได้มากกว่านิดหน่อย บัตเลอร์เข้าใจว่าเขาเป็นคนรับเลี้ยงเด็กสี่คนไว้ก็ดี ขอแค่เขาเองก็จะทำเรื่องดีๆ แบบนี้ด้วยก็พอ

บัตเลอร์หัวเราะแล้วพูดว่า “ฉันจบจากมหาวิทยาลัยฟลอริดา”

ฉินสือโอวถูกคำพูดนี้ทำให้ตกตะลึงไปเลย จึงถามกลับไปว่า “อะไรนะ? นายเป็นนักเรียนของมหาวิทยาลัยฟลอริดาเหรอ? ไม่ใช่อนุปริญญาหรือการศึกษานอกโรงเรียนใช่ไหม? เป็นนักเรียนของมหาวิทยาลัยฟลอริดาตัวจริงเหรอ?”

มหาวิทยาลัยฟลอริดาเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่ง โรงเรียนถูกก่อตั้งในปี 1853 เรียกสั้นๆ ว่าUF เป็นหนึ่งในโรงเรียนวิจัยอันดับต้นของโลกที่อยู่ในเครือมหาวิทยาลัยสหรัฐถึง 62 แห่งเลย เป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นของประเทศ ทุกคนต่างรู้ว่าสหรัฐมีมหาวิทยาลัยในเครือไอวีลีกที่เทพมากๆ จำนวนหนึ่ง มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็คือหนึ่งในนั้น

บัตเลอร์ยักไหล่แล้วพูดว่า “ฉันเป็นนักเรียนของมหาวิทยาลัย UF แล้วมันแปลกตรงไหนเหรอ? นายรู้สึกว่าตรงไหนของฉันที่ไม่เหมือนล่ะ?”

ระหว่างพูดอยู่ ตาของเขาก็หยีลงมา

พูดตามจริง ฉินสือโอวรู้สึกว่าลุงหนวดดำคนนี้ไม่ว่าจะตรงไหนก็ไม่เหมือนเรียนจบจากมหาวิทยาลัยฟลอริดาเลย หากบอกว่าเขาเป็นหนุ่มที่สู้ชีวิตมาจากท้องถนนยังจะฟังขึ้นกว่าบอกว่าเขาจบจากมหาวิทยาลัยฟลอริดาเสียอีก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แค่ดูจากทรงผมเดทร็อค ใส่ตุ้มหูเพชร กับการห้อยโซ่คล้องหมาสีทองเส้นใหญ่ นี่มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเด็กที่จบจากมหาวิทยาลัยที่ดังติดอันดับโลกจริงๆ นี่นา

แน่นอนว่าเขาไม่สามารถพูดอย่างนี้ได้ เขารีบชมบัตเลอร์ทันที จากนั้นก็พูดอ้อมๆ โดยบอกว่านิสัยเขาค่อนข้างแข็งกร้าว มีส่วนคล้ายกับลูกพี่บนท้องถนนมากกว่า

บัตเลอร์รู้สึกภูมิใจกับจุดนี้ เขาบอกว่าตั้งแต่เขาจบจากมหาวิทยาลัยฟลอริดาแล้วก็รับช่วงอุตสาหกรรมอาหารทะเลต่อจากที่บ้านเลย ตอนนั้นธุรกิจประจำตระกูลของเขาถูกตระกูลมอร์รี่โจมตีจนอยู่ในสภาพที่แย่มาก จะต้องไปแย่งพื้นที่การตลาดในตลาดอาหารทะเลบ่อยๆ นั่นน่ะไม่ต่างกับการแย่งถิ่นของพวกมาเฟียเลย นิสัยของเขาก็ถูกสร้างมาเพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้มานานนั่นเอง

ในเมื่อทุกคนล้วนจบมหาวิทยาลัยมาทั้งนั้น จึงทำให้มีหัวข้อสนทนาร่วมกัน จากนั้นฉินสือโอวกับบัตเลอร์ก็คุยกันเรื่องความทรงจำในช่วงมหาวิทยาลัยกันสักพัก และแล้วก็รีบปิดปากแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยกันทันที หัวข้อสนทนาร่วมอะไรกัน เรื่องที่บัตเลอร์พูดมามีแต่จะเปิดปาร์ตี้ระบบสุริยะอย่างไร ควรจะเที่ยวผับอย่างไร กับวิธีการเข้าร่วมงานสุนทรพจน์ของคนดัง ส่วนเขาน่ะเหรอ? ในมหาวิทยาลัยมีแค่สองเรื่องคือเรียนกับเล่นบาสเกตบอลเท่านั้น ส่วนเรื่องสาวๆ น่ะเหรอ? ไม่มีเลยสักคน!

สุดท้ายเขาพูดกับบัตเลอร์ว่า รอเขาผลิตปลิงทะเลแห้งเสร็จแล้ว จะส่งไปให้คนฝั่งเขาหลายสิบกิโลกรัม ปลิงทะเลของฟาร์มปลาตัวเอง มีคุณค่าทางอาหารอย่างไรตัวเขารู้ดีที่สุด เขาจะส่งไปให้ที่บ้าน เพราะมีประโยชน์ต่อการบำรุงร่างกายของพ่อกับแม่

หลังจากปล่อยปลิงทะเลลงไปในฟาร์มปลาแล้ว เรือขนส่งหินที่เรคติดต่อไว้ก็ได้มาถึงในที่สุด หินพวกนี้มีขนาดไม่เท่ากัน รูปทรงก็แปลกประหลาด ฉินสือโอวใช้น้ำปูนขาวสาดไปทีหนึ่งเพื่อป้องกันแบคทีเรียและปรสิตเข้ามาในฟาร์มปลา จากนั้นก็ใช้เครื่องเครนยกลงไปไว้ในน่านน้ำตื้น

การวางหินพวกนี้จำต้องใช้ทักษะเหมือนกัน ใช่ว่าจะสามารถวางไปเรื่อยได้ จะต้องวางลงไปตามลำดับขั้น คือวางโขดหินที่เป็นทรงเซกเตอร์ไว้ก่อน การทำแบบนี้สามารถขยายกระแสน้ำลับใต้ทะเลได้ หลังจากที่กระแสน้ำไหลผ่านเหล่าหินพวกนี้แล้วจะสามารถไหลได้แรงยิ่งขึ้น

ต้องรู้ก่อนว่าปริมาณสารอาหาร ความเร็วในการเติบโตของปลิงทะเลจะแปรผันตรงกับการออกกำลังของพวกมัน และเนื่องจากปลิงทะเลขี้เกียจมาก หลังจากที่หาสถานที่พักพิงที่เหมาะสมได้แล้ว ก็จะไม่ขยับไปไหนอีก แล้วจะทำอย่างไรให้พวกมันเคลื่อนไหวร่างกายล่ะ? งั้นกระแสน้ำก็ต้องไหลให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันการถูกกระแสน้ำพัดไป พวกมันจึงต้องใช้แรงให้มากขึ้นเพื่อจะได้เกาะหินเอาไว้ได้ นี่ก็คือวิธีการกระตุ้นให้พวกมันออกกำลังนั่นเอง

หลังจากฉินสือโอวรู้ถึงจุดนี้แล้ว ก็รู้สึกว่าต่อไปนี้จะด่าคนว่าขี้เกียจเหมือนหมูไม่ได้แล้ว จะต้องเรียกว่าปลิงทะเลถึงจะถูก อีกอย่างหน้าตาของปลิงทะเลก็น่าเกลียดกว่าหมูเสียอีก…

หลังจากจัดการกับปัญหาการเพาะเลี้ยงปลิงทะเลที่ฟาร์มปลาต้าฉินเบอร์สองเสร็จแล้ว ถือว่าฉินสือโอวสามารถโล่งใจและพักผ่อนไปได้อีกหลายวันแล้ว เขาอยู่ต่อที่ฟาร์มปลาเบอร์สองอีกสองวัน เพื่อตรวจเช็กการติดตั้งเครื่องจักรไลน์ผลิตอาหารปลาที่ส่งมา

เมื่อเทียบกับฟาร์มปลาเบอร์สองตอนนี้กับเมื่อหนึ่งปีที่แล้วได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก การที่น้ำทะเลถูกพืชน้ำและสาหร่ายทะเลกำจัดสิ่งปนเปื้อนแล้ว ทำให้น้ำใสสะอาดขึ้นมาก ลำเรือที่แล่นอยู่บนนั้น ก็ไม่ได้กลิ่นคาวที่เหม็นเหมือนมีของตายแบบนั้นอีกแล้ว หากว่ามองลงมาจากด้านบน จะสามารถมองเห็นใบสาหร่ายสีเขียวขจีอยู่เต็มทะเล นี่ก็คือผลลัพธ์ของการที่สาหร่ายทะเลขยายพันธุ์อย่างบ้าคลั่งนั่นเอง

บนผืนดิน เริ่มจากการที่มีตึกเล็กสามชั้นตั้งขึ้นมา นอกจากนี้ก็คือโกดังที่ดูเกะกะพวกนั้นได้ถูกพังไปหมดแล้ว และกลายมาเป็นห้องเครื่องสี่ห้องแทน พนักงานหลายคนกำลังวุ่นอยู่กับการติดตั้งเครื่องจักรที่ต้องใช้ในการผลิต ไม่ถึงสองเดือน ที่นี่ก็จะสามารถส่งออกอาหารปลาที่ดีที่สุดของโลกออกไปได้แล้ว

นอกเหนือจากนี้ จุดที่เชื่อมกันระหว่างผืนดินและมหาสมุทร ได้มีท่าเรือที่แข็งแรงยื่นออกไปในมหาสมุทร ทั้งยาวกว่า กว้างกว่า มั่นคงกว่า ท่าเรือท่านี้เป็นสิ่งที่ฉินสือโอวตั้งใจอย่างมากในการสร้างมันขึ้นมา สามารถจอดเรือยักษ์ขนาดห้าพันตันขึ้นไปได้ เป็นจุดที่เปลี่ยนแปลงมากที่สุดของฟาร์มปลา

การติดตั้งไลน์ผลิตไม่มีปัญหา เรื่องนี้เขาไม่จำเป็นต้องกำกับเอง เพราะมีผู้ผลิตรับผิดชอบอยู่ สุดท้ายสิ่งที่เขาได้มาก็คือห้องเครื่องสี่ห้องที่ใช้ผลิตอาหารปลา ดังนั้นที่ฟาร์มปลาเบอร์สองนี้จึงไม่มีเรื่องอะไรที่เขาต้องทำอีก เขาจึงกลับไปที่ฟาร์มปลาต้าฉินเพื่อเตรียมพักผ่อน

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท