ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1722 ปาร์ตี้ฉลองชัยชนะ

บทที่ 1722 ปาร์ตี้ฉลองชัยชนะ

ผู้คนในเมืองคนอื่นๆ ก็พุ่งเข้ามาด้วยท่าทีเดือดดาล เมืองเล็กๆ ต่างประเทศจะมีข้อดีตรงนี้ นั่นก็คือสามัคคีกันมาก เพราะว่าพวกเขาอยู่ไกลจากเผ่าพันธุ์และญาติพี่น้องของตัวเองมาก การมาอาศัยอยู่ที่เกาะห่างไกลแบบนี้นานๆ พอถูกรังแกก็พึ่งได้แค่พวกเพื่อนและบ้านใกล้เรือนเคียงบนเกาะมาช่วยเท่านั้น

ดังนั้น ผู้คนบนเกาะจึงมักจะสามัคคีกันมากเป็นพิเศษ ขอแค่อาศัยอยู่ที่เกาะนี้มาระยะเวลาหนึ่งแล้ว ก็จะถูกผู้คนในเมืองยอมรับว่าเป็นพวกเดียวกัน หากว่าไม่เป็นที่ยอมรับก็จะถูกขับไล่ออกไป นี่ก็คือวัฒนธรรมเมืองเล็กในแคนาดา

เมื่อกี้ฮิวจ์คนน้องถูกรุมตี พวกเขาก็อยากจะลงมือรุมตีพวกเอธิโอเปียพวกนี้ด้วยเหมือนกัน แต่เนื่องจากขาดผู้นำ แล้วก็กลัวอาวุธในมือของพวกเอธิโอเปียด้วย ฉินสือโอวในตอนนี้ถือได้ว่าเป็นผู้นำของเมืองอย่างไม่เป็นทางการแล้ว เมื่อผู้คนในเมืองเห็นเขาลงมือจึงพากันลงมือตาม

เมื่อเห็นคนกว่าสองร้อยคนพากันล้อมพวกของตัวเองไว้ พวกคนเอธิโอเปียจึงได้ลิ้มรสความรู้สึกของฮิวจ์คนน้องที่ถูกพวกเขาล้อมบ้าง คนพวกนี้หวาดกลัวสุดขีด พากันเปิดเลื่อยและสว่านไฟฟ้าในมือ แล้วส่ายไปมาซ้ายขวาอย่างบ้าคลั่ง ตะโกนว่า “ใครเข้ามาก็จะฆ่าคนนั้น!” “หลีกไป ให้พวกเราออกไป!” “เข้าไปพร้อมกัน ฆ่าไอ้พวกเลวนี่ให้หมดเลย!”

ตอนที่รุมทำร้ายฮิวจ์คนน้อง ฉินสือโอวรู้สึกว่าคนพวกนี้น่าจะคิดถึงผลลัพธ์แบบนี้ได้ ใครกันนะที่ให้ความกล้าพวกเขา ให้ชาวอพยพพวกนี้กล้ามาก่อเรื่องในเกาะแฟร์เวล? ก่อนหน้านี้เรื่องที่บริษัท ดาว เคมิคอลมาบนเกาะนั้น แม้แต่ตำรวจม้ากับตำรวจรักษาการณ์ของแคนาดาก็ยังไม่กล้ามาที่เกาะแฟร์เวลเลย

เนื่องจากเป็นประเทศสำหรับผู้อพยพ เมืองในแคนาดาจึงมีสถานะพิเศษอยู่ มีหลายๆ เมืองที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของชาวอพยพ ในสถานที่แบบนี้กฎหมายยังดำเนินการได้ยากมากเลย นับประสาอะไรกับพวกนักเลงที่ตั้งใจมาก่อเรื่องพวกนี้?

คนกว่าสองร้อยกว่าคนรุมโจมตีคนยี่สิบกว่าคน แถมยังมีคนจากในเมืองตามมาสมทบเรื่อยๆ อีก คนเอธิโอเปียพวกนี้เลยถูกซัดจนหมอบลงพื้นไปในอย่างรวดเร็ว หลังจากฉินสือโอวฟาดจนวัยรุ่นคนนั้นทรุดตัวลงไปแล้ว เรื่องก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาแล้ว เหล่าชาวประมงและผู้คนในเมืองรุมโจมตีพร้อมกันจนคนพวกนี้จมลงในกลุ่มคนไปแล้ว

สุดท้ายคนเอธิโอเปียห้าหกคนพากันยืนหลังชนหลัง พวกเขารีบเปิดเครื่องเลื่อยและสว่านไฟฟ้า กลุ่มคนหลีกเลี่ยงการนองเลือด จึงไม่ได้เข้าไปจัดการพวกเขา

แต่ว่าพอเป็นแบบนี้ ก็เท่ากับคนเอธิโอเปียสิบกว่าคนที่ถูกซัดลงไปนอนกับพื้นโชคร้ายแล้ว แรงโกรธของผู้คนในเมืองพากันไปลงที่พวกเขา ทำให้คนพวกนี้ถูกตีจนไม่มีแม้แต่เสียงจะร้องเลย

ชาร์คและชาวประมงคนอื่นๆ พากันจัดการศัตรูที่อยู่ตรงหน้า แล้วก็ถือฉมวกจ้องไปที่คนที่เหลืออย่างไม่ประสงค์ดี แม้ว่าพลังทำลายของฉมวกในมือพวกเขาจะสู้เลื่อยและสว่านไฟฟ้าไม่ได้ แต่ว่ายาวกว่านะ ตรงกับคำที่ว่ายาวหนึ่งคืบคือแกร่งหนึ่งคืบ การใช้ฉมวกในการจัดการคนพวกนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว

ในตอนนี้นี่เอง ได้มีเสียงดังสนั่นเสียงหนึ่งดังขึ้นมา “ปัง!”

นี่คือเสียงปืน พวกของฉินสือโอวพากันตกใจทีหนึ่งแล้วรีบหันหลังไปดู จากนั้นก็เห็นวินนี่ที่สีหน้าเคร่งขรึมถือปืนจ่อไปบนฟ้าด้วยมือทั้งสองข้าง ข้างๆ คือโรเบิร์ตที่กำลังยิ้มร่าอยู่ ซองปืนบนเอวของเขาว่างเปล่า เห็นได้ชัดว่าปืนที่วินนี่ถืออยู่คือของเขา

และจริงตามนั้น เมื่อเห็นกลุ่มคนหยุดลงมือแล้ว วินนี่ก็โยนปืนคืนให้โรเบิร์ต แล้วก็พูดกับทุกคนด้วยเสียงเข้มว่า “กลับบ้านไปให้หมด นี่ทำอะไรกัน? ให้ตายเถอะ ดูเรื่องงามหน้าที่พวกนายทำสิ ถ้าถูกพระเจ้าซักถามขึ้นมา พวกนายไม่รู้สึกอายกับการกระทำที่โหดร้ายของตัวเองบ้างเหรอ?”

เห็นฉากนี้แล้ว ชาวเอธิโอเปียกลับไม่ยอมรับน้ำใจ มีคนหนึ่งในนั้นตะโกนออกมาว่า “อย่ามาแสร้งทำเป็นคนดีที่นี่เลย **ฉันเห็นว่าเธอมาที่นี่ตั้งนานแล้ว ทำไมถึงรอให้พวกเราถูกรุมเสร็จแล้วค่อยมาห้ามพวกนาย…”

เมื่อได้ยินคำพูดเขา ฉินสือโอวส่งเสียงทีหนึ่งแล้วหันหลังจากไป มีคนดึงเขาไว้ พูดว่า “ฉิน แสดงความเป็นลูกผู้ชายสิ ไอ้พวกลูกหมาพวกนี้ด่านายกสภาเมืองวินนี่ คุณกลับจากไปแบบนี้เหรอ?”

ฉินสือโอวไม่พูดอะไร เขาเดินไปข้างถนนท่ามกลางสายตาของทุกคน ขับรถเข้าไปคันหนึ่ง ตะโกนว่า “หลีกไปให้หมด ฉันจะชนพวกมันให้ตายซะ!”

รถฟอร์ดแร็พเตอร์ได้พุ่งเข้าไปอย่างดุเดือดราวกับสัตว์ใหญ่หิวโหยที่เกรี้ยวกราด คนเอธิโอเปียพวกนี้ยังไม่ทันพูดให้จบประโยค ก็ตกใจกันจนเงียบปากโยนเลื่อยกับสว่านไฟฟ้าทิ้งแล้ววิ่งหลบกันแทบไม่ทัน

จากนั้น พอผู้คนในเมืองเห็นว่าในมือพวกเขาไม่มีอาวุธแล้ว ก็กรูกันเข้าไปทำเอาพวกเขาจมอยู่ในฝูงชนอีกรอบ

วินนี่ยืนเอามือตบหน้าผากไปมาอย่างหัวเสีย พูดว่า “สารวัตรโรเบิร์ตคะ ยิงปืนเลยค่ะ ให้ทุกคนสงบลงก่อน แล้วก็พาคนน่าสงสารพวกนี้ไปส่งที่โรงพยาบาลโอดอมด้วย ดูแล้วพวกเขาคงไม่สามารถไปสถานีตำรวจได้ในตอนนี้หรอกค่ะ”

เสียงปืนดังขึ้น ในที่สุดผู้คนก็แยกตัวออกมา พวกตำรวจเข้าไปพาคนเอธิโอเปียที่ถูกตีจนเลือดตกยางออกพวกนี้ยัดเข้าไปในรถตำรวจ ยัดเหมือนกับยัดหมูอย่างไรอย่างนั้น มีบางคนถึงกับถูกยัดเข้าไปในกระโปรงหลังรถด้วย สิทธิมนุษยชนสิทธิประชาชนอะไรก็ช่าง พวกตำรวจในเมืองไม่สนใจหรอก

สุดท้ายยังเหลือเพรียงทะเลเป็นถุงๆ อยู่ มีทั้งถุงเล็กถุงใหญ่ โรเบิร์ตถามว่าจะจัดการอย่างไร วินนี่ปัดมือให้เอากลับไปด้วย บอกว่านี่คือหลักฐาน จะต้องเอากลับไป

หลังจากจัดการพวกเอธิโอเปียแล้ว อารมณ์ของผู้คนในเมืองก็ดีสุดขีด คาร์สันที่เป็นเจ้าของร้านสกีน้ำตบไปที่ไหล่ของฉินสือโอวแล้วพูดชมว่า “ฉิน ท่าของคุณเมื่อกี้เรียกว่าอะไรครับ? กังฟูจีน? ย๊ะๆ! แป๊บเดียวก็จัดการหมอนั่นได้อยู่หมัดเลย เท่มากเลย!”

ฉินสือโอวพูดอย่างถ่อมตนว่า “ความจริงแล้วนั่นน่ะเล็กน้อยมากนะ หมอนั่นอ่อนหัดเกินไป ถ้าเขาแข็งแกร่งกว่านี้อีกหน่อยล่ะก็ ผมจะให้เขาได้ลิ้มลองหมัดใต้ลูกเตะเหนือของผม รับรองว่าจะต้องซัดซะพ่อแม่ของมันก็จำมันไม่ได้แน่นอน!”

“พวกเราต้องจัดปาร์ตี้ฉลองให้กับเรื่องนี้เสียหน่อยนะ แน่นอนว่าเงินน่ะให้ฮิวจ์คนน้องเป็นคนออก ถ้าเขารู้ว่าพวกเราออกแรงช่วยเขาขนาดนี้ เขาจะต้องตื้นตันจนสลบไปเลยแน่ครับ” วัยรุ่นคนหนึ่งที่เลือดกำเดายังไหลอยู่ได้พูดพร้อมหัวเราะคิกคัก

คำนี้พูดถูกมากเลย ฮิวจ์คนน้องที่นอนอยู่โรงพยาบาลอยู่พอหันไปเห็นพวกคนที่รุมทำร้ายเขาได้ถูกหามเข้ามาก็ดีใจจนกระโดดขึ้นมาเลย เขาถอดเข็มน้ำเกลือบนมือออก เดินขากะเผลกไปหาคนเอธิโอเปีย เตะไปพลางด่าไปพลางว่า “พวกนายเก่งมากไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่ว่าจะตีจนฉันขาหักเหรอไง? ลุกมาสิ ลุกมาสู้กันสิ!”

โอดอมและลอร่ารีบเข้ามาลากเขากลับไป แต่ว่าถ้ามีใครคนหนึ่งไม่ทันเห็น ฮิวจ์คนน้องก็จะพุ่งเข้าไปอีก เมื่อจนปัญญาแล้ว พวกเขาจึงโทรศัพท์ให้ฮิวจ์มาหา ให้พวกเขามาพาฮิวจ์คนน้องกลับไป

มีคนบันทึกภาพการต่อสู้เมื่อกี้ไว้ ฮิวจ์เปิดให้น้องชายดู ทำเอาฮิวจ์ตื้นตันสุดขีด ร้องออกมาเสียงดังว่า “ทำได้ดี ฉันออกเงินเอง พวกเราต้องจัดงานปาร์ตี้ครั้งใหญ่กัน!”

ฉินสือโอวพาคนมาเยี่ยมฮิวจ์คนน้อง ถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง ฮิวจ์คนน้องหน้าตายิ้มแย้ม ตบอกแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย ดีที่ตอนนั้นฉันไหวตัวทัน พอเห็นสถานการณ์ไม่ดีแล้วก็รีบเอามือกุมหัวแล้วขดตัวอยู่กับพื้น ไม่อย่างนั้นไม่แน่ว่าครั้งนี้คงต้องเสียโฉมแล้วจริงๆ!”

ท่านชายฉินมองไปที่จมูกห้อเลือดของฮิวจ์คนน้อง ในใจคิดว่านี่ก็น่าจะถือว่าเสียโฉมแล้วนะ แม้ว่าจมูกของเจ้าเด็กคนนี้จะไม่หัก แต่ก็ต้องเบี้ยวแล้วอย่างแน่นอน

ปกติดูเหมือนเกาะแฟร์เวลจะสงบสุขดีก็จริง แต่ความจริงแล้วดุดันกันมากเลย ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่เรียกตัวเองว่าเป็นทายาทของโจรสลัดไวกิ้งหรอก

การจัดการชาวเอธิโอเปียได้ในครั้งนี้ ไม่ว่าจะผู้ใหญ่หรือเด็กก็ล้วนดีใจกันทั้งนั้น ฮิวจ์คนน้องบอกว่าจะจัดปาร์ตี้ฉลองชัยชนะ คนกว่าครึ่งเมืองก็มาร่วมงานด้วย งานจัดตอนกลางคืนได้กินพื้นที่ไปฟากหนึ่งของถนนเลย

งานปาร์ตี้เริ่มแล้ว มีเปิดเพลงร่วมด้วย ฉินสือโอวเต้นไปพลางกินอาหารไปพลาง สุดท้ายพอเขากินโดนเพรียงทะเลแล้ว ก็แปลกใจอย่างมากจึงถามว่าเอามาจากไหน โรเบิร์ตยืนพุงยื่นแล้วโผล่หน้ามา พูดพร้อมหัวเราะคิกๆ ว่า “แน่นอนว่าเป็นของที่พวกเอธิโอเปียเก็บกันสิครับ ผมเอามาหมดเลย กินซะๆ”

ฉินสือโอวว่า “แล้วหลักฐานที่ว่าล่ะครับ?”

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท