ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1615 ฟาร์มปลาวุ่นวายแล้ว

บทที่ 1615 ฟาร์มปลาวุ่นวายแล้ว

หลังจากยุ่งไปหลายวัน ไหนจะผลิตอาหารทะเลไหนจะปล่อยลูกพันธุ์ปลิงไหนจะทำการแปลงโฉมฟาร์มปลาอีก ฉินสือโอวจึงตัดสินใจให้วันหยุดกับตัวเอง เขากลับไปที่ฟาร์มปลาต้าฉินในค่ำของคืนวันศุกร์ เขาส่งเถียนกวาไปที่บ้านพักของบูลเพื่อให้เธอไปค้างที่นั่น แล้วสองสามีภรรยาได้ทำสงครามครั้งใหญ่กัน

วินนี่ก็หยุดวันหยุดสุดสัปดาห์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นสงครามครั้งนี้จึงดุเดือดมาก สงครามเริ่มจากห้องทำงานไปที่ห้องเรียน จากนั้นก็สู้กันไปจนถึงค่ายทหารอีก แม้แต่โรงพยาบาลก็มีด้วย สรุปก็คือในหนึ่งคืนบทบาทของฉินสือโอวกับวินนี่มีการเปลี่ยนแปลงได้หลากหลายมาก

เขาตั้งค่ามือถือไปเป็นโหมดเครื่องบิน ปิดนาฬิกาปลุก แล้วก็สั่งการแบล็คไนฟ์ไว้ว่าถ้ามีเรื่องให้จัดการได้เองห้ามมาหาเขาเด็ดขาด ให้เหล่าชาวประมงหยุดพักไม่ต้องทำงาน แล้วก็บอกบูลกับแอนนี่ว่าต้องดูแลเถียนกวาให้ดี เพราะเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะนอนหลับตื่นสายสักวันหนึ่ง

สุดท้ายแล้ว ความฝันของเขาก็ไม่สามารถเป็นจริงได้ เวลาเช้าตรู่ได้มีคนมาเคาะประตูเสียงดังปังๆ วินนี่ถามด้วยดวงตาปรือ สีหน้าอ่อนโรยว่า “เกิดอะไรขึ้นคะ?”

ฉินสือโอวอ่อนโรยยิ่งกว่า เมื่อคืนถือว่าเขาเอาชีวิตตัวเองมาเล่นเลยนะ แต่ก็ไม่อยากให้วินนี่ลุกจากเตียงอยู่ดี เขาจึงจำต้องสวมเสื้อไปเปิดประตูแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

ใบหน้าสะสวยของเชอร์ลี่ย์ปรากฏอยู่หลังประตู เธอพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “ทำไมคุณถึงยังนอนอยู่คะ? เรื่องสุขอนามัยของเปากงกับตี้หลูทำไมไม่ได้จัดการล่ะคะ?”

ฉินสือโอวโกรธเสียจนอยากจะด่าแม่เลย คิดแล้วคิดอีก แต่เขาก็ดันลืมเรื่องนี้ไปเสียได้ แต่ว่าเชอร์ลี่ย์เองก็คุณหนูเกินไปแล้ว แค่ทำความสะอาดทำเองไม่ได้เหรอไง? แถมยังจะมาปลุกเขาอีก ช่างน่ารังเกียจจริงๆ!

เชอร์ลี่ย์เป็นคนเฉลียวฉลาด ดูสีหน้าของเขาแล้วก็เดาความคิดเขาได้ จึงจ้องเขาตาเขม็งไปที พูดว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พวกหมูป่ากวางป่าที่คุณเลี้ยงไว้ล้วนวิ่งออกมาหมดแล้วค่ะ ตอนนี้กำลังพากันฉี่อึไปทั่วฟาร์มปลาแล้ว!”

ฉินสือโอวกระตุกไปที คราวนี้ตื่นแล้วจริงๆ “จริงหรือเปล่าเนี่ย? เล้ามีปัญหาหรือว่าอย่างไร?”

เชอร์ลี่ย์ยักไหล่ พูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสาว่า “หนูไม่รู้ค่ะ ที่แน่ๆ คือตอนนี้ฟาร์มปลาวุ่นวายมาก”

ไม่มีทางเลือก ฉินสือโอวนอนต่อไม่ได้แล้ว เขาล้างหน้าแบบลวกๆ แล้วก็วิ่งออกไปดู โลลิต้าถือว่าเป็นคนมีคุณธรรมพอสมควร ตัวเองขี่ตี้หลูไว้ มือก็จูงเปากง หนึ่งคนสองม้ารออยู่หน้าบ้านพัก พอเขาวิ่งออกมาแล้วก็โยนเชือกจูงของเปากงให้เขา พูดว่า “คุณรีบไปดูเถอะค่ะ!”

ไม่ต้องขี่ม้าฉินสือโอวก็มองเห็นความวุ่นวายในฟาร์มปลาที่เหล่าหมูป่า หมูดำ กวางเรนเดียร์ กวางหางขาวและไก่เป็ดห่านเป็นคนทำได้ โลลิต้าพูดไม่ผิดเลยสักนิด ฟาร์มปลาในตอนนี้วุ่นวายมาก สัตว์ปีกพวกนี้กำลังวิ่งวุ่นกันไปหมด ส่วนพวกหู่เป้าฉงหลัวก็กำลังนอนดูเรื่องสนุกกันอยู่หน้าประตูบ้านพักอย่างมีความสุข

มองดูเจ้าพวกนี้ที่มองดูอย่างมีความสุขแล้ว ท่านชายฉินแทบจะโมโหจนคลั่ง เขาเข้าไปตบก้นแต่ละตัวไปทีหนึ่ง ตะโกนว่า “ยังจะดูอะไรอีก? รีบไปทำงาน!”

พอแบล็คไนฟ์เห็นเขาแล้วก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าลำบากใจ พูดว่า “บอสครับ อย่างไรก็ต้องให้คุณออกโรงเองแล้วครับ”

ฉินสือโอวมองดูฟาร์มปลาที่โกลาหลวุ่นวาย สัตว์ปีกพวกนี้พากันวิ่งไปทั่วยังพอทน แต่ว่ากวางหางขาวบางตัวกลับฉลาดนัก หลังจากวิ่งออกมาแล้วกลับพุ่งไปทางป่าไม้ทันที ดูท่าแล้วคงคิดจะวิ่งขึ้นไปบนเขาเป็นแน่ อย่างนี้ก็เท่ากับเขาเลี้ยงเจ้าพวกนี้เสียข้าวสุกไปหลายเดือนเลย

“นี่เป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อไรแล้ว ทำไมไม่รีบมาเรียกฉัน?” ฉินสือโอวพูดด้วยความโมโห

แบล็คไนฟ์พูดอย่างน้อยใจว่า “พวกผมไม่กล้ารบกวนคุณนี่ครับ”

ฉินสือโอวเบ้ปาก เอาเถอะ เรื่องมันก็บังเอิญแบบนี้นี่แหละ เขามาถึงฟาร์มปลาสี่ปีแล้วได้นอนตื่นสายแค่วันเดียวเท่านั้น แล้วพวกสัตว์ปีกพวกนี้ก็ก่อจลาจลกันเลย…

ไม่ว่าจะหมูดำหรือว่าหมูป่า ในผลไม้ที่พวกมันกินล้วนมีพลังโพไซดอนอยู่ด้วยทั้งนั้น แต่ละตัวจึงเติบโตได้อย่างแข็งแรงและสมบูรณ์แถมยังวิ่งเก่งอีกต่างหาก มองดูภาพที่พวกมันพากันวิ่งอย่างบ้าคลั่งในสนามหญ้าแล้ว ฉินสือโอวรู้สึกว่าต่อไปยิ่งไม่ควรด่าคนว่าขี้เกียจเหมือนหมูแล้วจริงๆ หมูพวกนี้ไม่ขี้เกียจเลยสักนิด

พวกหู่จือเป้าจือ ฉงต้า หมาป่าขาว ปอหลัวกับราชาซิมบ้าก็มาช่วยวิ่งไล่ด้วย สถานการณ์จึงดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หมีโลลิถือโอกาสนี้ในการวางอำนาจ มันตามฉงต้าไปไล่ตามหมูป่าพวกนั้น ทำเอาพวกมันตกใจจนเกือบหัวใจวาย นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย? ทำไมถึงได้มีนักล่าอาหารอเมริกาเหนือที่อยู่อันดับสองของโลกนี้มาร่วมด้วยล่ะนี่? รีบวิ่ง!

อินทรีทอง อินทรีหัวขาวกับนกโจรสลัดใหญ่กำลังออกโจมตีกันบนอากาศ พวกมันไปไล่จับไก่กับเป็ด แต่ละครั้งที่บินขึ้นไปก็จะมีไก่กับเป็ดตัวหนึ่งที่ถูกโยนเข้าไปในเล้า ส่วนเรื่องที่ว่าพวกมันจะตกลงมาตายหรือเปล่านั้นพวกมันไม่สนใจ แต่ไม่ว่าอย่างไร ประโยชน์ของพวกมันได้ปรากฏออกมาแล้ว ฟาร์มปลาไม่ได้โกลาหลอีกต่อไปแล้ว

ฉินสือโอวพูดว่า “ความจริงไม่ต้องเรียกฉันก็ได้นะ พวกนายก็แค่ไปพาเด็กพวกนี้มา พวกมันก็สามารถจัดการปัญหานี้ได้แล้ว”

ไม่พูดเรื่องนี้ยังดี พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วแบล็คไนฟ์ก็ยิ่งน้อยใจเข้าไปใหญ่ เขาพูดว่า “บอส คุณอย่าได้ถูกเจ้าพวกนี้หลอกนะครับ ตอนที่คุณไม่ออกมาพวกมันไม่ใช่อย่างนี้เลย ผมเรียกพวกมันไปหลายที พวกมันไม่สนใจผมเลยด้วยซ้ำ เอาแต่ดูเรื่องสนุกกันตรงนั้น ตอนนั้นผมนี่แทบจะอกแตกตายเลยครับ!”

ฉินสือโอวเชื่อในจุดนี้ เจ้าพวกนี้ไม่เพียงแต่ตัวโตขึ้นเท่านั้นแต่ยังหัวสูงขึ้นอีกด้วย นอกจากเขากับวินนี่แล้ว ก็มีแค่เชอร์ลี่ย์เท่านั้นที่พอจะจัดการพวกมันได้ ในสายตาพวกมันคนอื่นๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับห่านขาวเลย

พึ่งแต่เจ้าพวกนี้ไม่ได้ ฉินสือโอวต้องออกโรงด้วย โลลิต้าสะบัดแส้ช่วยไล่ตามฝูงแพะที่วิ่งออกมา พวกนี้ล้วนเป็นรุ่นลูกของพ่อแพะแม่แพะที่ถูกส่งมาตอนที่ซื้อม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ ส่วนมากจะเป็นลูกแพะ แพะตัวใหญ่ได้ถูกกินไปหมดแล้ว

ภายหลังพาวลิสก็ได้ขับซีบิสกิตของเขามาช่วยด้วย พาวลิสพูดเสียงนิ่งว่าเขาจะทำท่าโบยบินไปบนหญ้าให้ดู กอร์ดอนหัวเราะเขาว่าเขาทำได้แค่ท่านั่งส้วมเท่านั้นแหละ จากนั้นพาวลิสที่ศักดิ์ศรีถูกดูหมิ่นก็ไม่ทำท่าโบยบินไปบนหญ้าแล้ว เขากลับหลังไปต่อยเขาทีหนึ่งจากนั้นทั้งสองก็กลิ้งไปมาบนสนามหญ้า

มิเชลร้อนใจเสียจนตาค้าง ใจเขาอยากจะไปช่วยฉินสือโอว แต่ว่าทางนี้ก็เกิดสงครามเหมือนกัน จึงต้องจัดการเรื่องตรงหน้าก่อน เขาตะโกนออกไปไม่หยุดว่า “ไม่ต้องตีกันแล้วๆ พวกนายสองคนรีบหยุดเดี๋ยวนี้! ชิท รีบหยุดสิ!”

พอไล่พวกสัตว์ทั้งหลายกลับไปในเล้าแล้ว ฉินสือโอวก็พาแบล็กไนพ์กับคนอื่นๆ ไปตรวจดู ที่แท้เพราะประตูของเล้าถูกชนจนแหลกไปแล้วนี่เอง เห็นทีจะเป็นฝีมือของพวกหมูป่า พวกมันอยู่ไม่สงบในเล้า มักจะระบายอารมณ์บ้างเป็นครั้งเป็นคราว พอเวลานานเข้าแล้วทำให้เล้าทนไม่ไหวแล้วพังลง

ประตูเล้าถือว่าใช้การไม่ได้แล้ว ฉินสือโอวต้องทำอันใหม่ขึ้นมา ก่อนหน้านี้เป็นซีมอนสเตอร์เป็นคนทำ เขาทำไม่เป็น แต่ว่าเหล่าชาวประมงหยุดงานกันไปแล้ว จึงจำต้องไปหาไม้มากองหนึ่งเพื่อกั้นตรงช่องว่างของประตูเล้าไว้ก่อน

แบล็คไนฟ์บอกว่าเรื่องนี้ง่ายมาก เขาพาคนมาทำก็ได้แล้ว ให้ฉินสือโอวไปตรวจเช็กจุดอื่นๆ ของเล้าแทน ดูว่ายังมีจุดอื่นที่มีปัญหาอีกไหม

ฉินสือโอวเริ่มจากนับจำนวนไก่เป็ดหมูแพะก่อน กวางป่าไม่ต้องนับ เพราะต่างวิ่งหนีไปหมดแล้ว เจ้าพวกนี้ฉลาดมาก หลังจากวิ่งออกมาแล้วก็พุ่งตรงไปยังป่าไม้ทันที แล้วก็พุ่งทะลุป่ามุดเข้าไปในภูเขา ช่างสมกับคำที่ว่าปลาเกล็ดทองหนีจากร่องน้ำเข้าไปในทะเล จากนี้ไปเราก็เป็นได้แค่คนผ่านทาง

หมูค่อนข้างโง่กว่าจริงๆ เพราะพวกมันทำได้แค่วิ่งสนุกกันในฟาร์มปลาเท่านั้น สุดท้ายคือหมูป่าห้าสิบห้าตัวกับหมูป่าอีกสิบเก้าตัวไม่หายไปเลยสักตัว ทั้งหมดล้วนถูกต้อนกลับมาได้ นอกจากนี้แล้วก็ยังมีแพะสิบเอ็ดตัวกับไก่เป็ดอีกฝูงเบ้อเริ่ม ถือว่าเสียหายไม่มากเท่าไร

ในที่สุดกอร์ดอนกับไวส์ก็ตีกันเสร็จแล้ว ทั้งสองคนคนหนึ่งหัวโนอีกคนตาซ้ายเขียว วิ่งเข้ามาถามว่า “ฉิน มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?”

ฉินสือโอวตบไม้ในมือไปมา พูดว่า “มา เหล่านักล่าตัวน้อย มีภารกิจใหม่มาประกาศแล้ว…”

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท