ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1612 การชนกันที่นำมาโดยภาพโฆษณา

บทที่ 1612 การชนกันที่นำมาโดยภาพโฆษณา

มองดูท่าทีทะเล้นของวิลแล้ว ฉินสือโอวก็ถามกลับไปอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่า “ดังแล้ว ดังอย่างไร? ดอกไม้แดง (ในภาษาจีนสีแดงกับโด่งดังใช้คำเดียวกัน) แล้วเหรอ?”

วิลยื่นมือถือให้เขา หัวเราะเหอๆ แล้วพูดว่า “ดูนี่ นายดูอันนี้ก็จะเข้าใจเอง!”

ฉินสือโอวรับมือถือมาดู บนหน้าจอเป็นคลิปวิดีโอระดับเอชดีคลิปหนึ่ง ในนั้นเป็นเขาที่กำลังอุ้มวินนี่ยืนโต้คลื่นทะเลอยู่บนกระดานโต้คลื่นไฟฟ้า มองดูแล้วมีสง่าราศีอย่างมาก เห็นแต่เพียงแผ่นหลังที่โค้งเว้าของเขาอุ้มวินนี่ไว้ในอ้อมกอด ด้านหน้าเป็นน้ำทะเลที่กว้างใหญ่ ส่วนด้านหลังก็เป็นคลื่นสูงลูกใหญ่

มองแค่ปราดเดียวเขาก็เข้าใจแล้ว อ้อ นี่เป็นคลิปโฆษณาการท่องเที่ยวที่เขากับวินนี่ถ่ายกัน และก็ถือเป็นภาพศิลป์ของทั้งสองคนด้วย ที่ถ่ายเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกในภายหลัง

เขาดูไปพลางถามไปพลางว่า “นี่นายไปดูมาจากไหน? เวยป๋อหรือว่าทวิตเตอร์ของเมือง?”

“ไม่ใช่ทั้งสองแหละ เป็นในยูทูบ นี่เป็นคลิปที่เพิ่งจะอัปโหลดขึ้นไปเมื่อเช้านี้เอง แต่หลังจากนั้นก็มียอดวิวเกินกว่าห้าล้านครั้งแล้ว มีโอกาสที่จะเป็นคลิปที่ทำลายสถิติการถูกคลิกชมมากกว่าล้านวิวกับสิบล้านวิวได้เร็วที่สุดในปีนี้เลย นายไปอ่านคอมเมนต์ด้านล่างดู สุดยอดมากเลยนะ!” วิลพูดด้วยสีหน้าตื่นตาตื่นใจ

ฉินสือโอวกดออกไปดูคอมเมนต์ จริงตามนั้น คอมเมนต์อลังการมาก มีคำชมมากมาย แน่นอนว่าก็มีคนบอกว่านี่เป็นภาพที่แต่งขึ้นมา แต่ด้านล่างก็มีคนมาเมนต์ตอบว่าแน่นอนว่าเป็นภาพแต่ง คนเขาก็พูดชัดเจนในหัวข้อแล้ว ว่านี่เป็นวิดีโอโฆษณาการท่องเที่ยวของเมือง

“หนุ่มหล่อคนนี้เป็นใคร? หุ่นคือแซ่บมากเลย ฉันทนไม่ไหวแล้ว ที่แท้หุ่นของคนผิวเหลืองก็ดีขนาดนี้ได้ด้วยนะเนี่ย”

“สาวสวยที่อยู่ในอ้อมกอดเขาคือใคร? ดาวเด่นคนปัจจุบันของวิกตอเรียส์ซีเคร็ตเหรอ? ไม่ได้ละ ผมขอถอดรอเลยแล้วกัน ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ”

“มีแค่ฉันที่สังเกตเห็นแผ่นโต้คลื่นไฟฟ้ารุ่นแรกที่ X-AB เปิดตัวออกมาเหรอ? เจ้าสิ่งนี้แพงมากเลยนะ แถมยังบังคับยากอีกด้วย แม้ว่าจะเป็นนักโต้คลื่นมืออาชีพ ก็อาจจะบังคับไม่ได้ตามใจนึกแบบนี้หรือเปล่า?”

“ดูต่อไปอีก ตอนใกล้จะเข้านาทีที่ยี่สิบห้าน่ะ สวยจนร้องไห้ออกมาเลย! สวยจนฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากแจ้งตำรวจแล้ว”

ฉินสือโอวยิ้มจนส่ายหัว เขาเลื่อนวิดีโอไปที่นาทีที่ยี่สิบห้า ทันใดก็มีภาพเขากับวินนี่ยืนอยู่บนกระดานโต้คลื่นกำลังพุ่งไปด้านหน้าพร้อมกับฝูงวาฬหัวคันศรฝูงหนึ่งฉายออกมา ในภาพได้มีห้วงน้ำพุ่งออกมาไม่หยุด เงาของวาฬโผล่ออกมาเดี๋ยวชัดเดี๋ยวเบลอ กล้องซูมเข้ามาใกล้ขึ้น มาหยุดลงที่ภาพเขากับวินนี่ที่มีสีหน้าสงบสุขกับเหล่าวาฬที่ดูเชื่อง

ภาพพวกนี้ล้วนถูกตัดต่อมาแล้ว กองถ่ายทำที่วินนี่จ้างมาทีมนี้เก่งมาก ฝีมือการตัดต่อของผู้กำกับระดับเทพมาก คลิปวิดีโอนี้ได้ถ่ายทอดแนวคิดที่คนสามารถอยู่ร่วมกับมหาสมุทรได้อย่างเป็นมิตรออกมาตลอดเวลา และทำการแสดงความสงบงดงามของเมืองและความสะอาดบริสุทธิ์ของมหาสมุทรได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ผู้คนในเน็ตที่รู้จักเขากับวินนี่ก็มีไม่น้อยเลย คิดว่าหลักๆ น่าจะเป็นคนนิวฟันด์แลนด์ มีบ้างที่แสดงความคิดเห็นเพื่อแนะนำเขากับวินนี่ ว่าคนหนึ่งเป็นหนุ่มอัจฉริยะเจ้าของฟาร์มปลา อีกคนเป็นนายกสภาเมืองที่สวยที่สุดในประวัติศาสตร์ของแคนาดา แน่นอนว่ามีคนจำนวนมากกว่าที่แนะนำตัวให้หู่จือกับเป้าจือที่ออกมาทีหลัง พวกมันเป็นสุนัขที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประวัติศาสตร์แคนาดาไปแล้ว

วิดีโอโฆษณาตัวเมืองประสบความสำเร็จอย่างมากอย่างไม่ต้องสงสัย ฉินสือโอวบันทึกที่อยู่เว็บไซต์เอาไว้ วิลถามว่า “นายจะแชร์ไปในทวิตเตอร์เหรอ?”

ฉินสือโอวส่ายหัว พูดว่า “ไม่ ฉันเก็บเอาไว้ ไว้อีกหน่อยค่อยๆ ดู”

วิลพูดว่า “ทำไมไม่แชร์ล่ะ? หากว่าฉันมีคลิปที่ดังขนาดนี้แล้วล่ะก็ ฉันจะรีบแชร์ไปบนทวิตเตอร์กับเฟซบุ๊กก่อนเลย ขอแค่เป็นแอปพลิเคชั่นที่ไว้เข้าสังคมฉันก็จะแชร์ให้หมดรอบหนึ่ง ไม่ใช่เพราะอยากอวดเท่ แต่ว่าวิดีโอนี้ถ่ายได้สวยงามจริงๆ นายน่าจะให้เพื่อนๆ ได้เห็นบ้าง”

ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “ถ้าหากพวกเขาชอบล่ะก็ สักวันก็จะมาเห็นเองแหละ ฉันไม่จำเป็นต้องไปโฆษณาอีกหรอก”

เขาได้ผ่านจุดที่แชร์ความอลังการของตัวเองเพื่ออวดเท่ไปแล้ว ตอนนี้เขาได้มีโลกใหม่แล้ว นั่นก็คือโลกที่ไม่สะทกสะท้านกับเรื่องง่ายๆ ใช้ชีวิตได้ตามใจปราราถนา แน่นอนว่านี่น่ะก็เป็นโลกใหม่ที่โอ้อวดเหมือนกัน…

ความจริงเขาพูดถูกแล้ว แค่วิดีโอโฆษณาในยูทูบนี้ที่เดียว เพื่อนของเขาก็สามารถเห็นได้แล้ว ไม่นานเหมาเหว่ยหลงก็โทรศัพท์มา ถามว่า “คลิปวิดีโอของแกอันนั้น เป็นมาอย่างไรกันแน่? ให้ตายสิแกไปสร้างหุ่นอย่างนั้นมาได้อย่างไรเนี่ย”

ฉินสือโอวกลอกตา พูดว่า “พูดไร้สาระอะไรน่ะ ฉันก็หุ่นดีอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว นี่ไม่เห็นเกี่ยวเลยว่าใครเป็นคนถ่ายให้! เอาจริงนะ แกไม่อยากถ่ายวิดีโอแบบนี้กับหลิวซูเหยียนบ้างเหรอไง? ถือเสียว่าเป็นความทรงจำที่ดีไง”

เหมาเหว่ยหลงพูดอย่างเลือกไม่ได้ว่า “แกคิดว่าฉันเป็นมหาเศรษฐีที่เป็นเจ้าของฟาร์มปลาขนาดกว่าหมื่นตารางกิโลเมตรอย่างแกหรือไง? ฉันมีแค่ฟาร์มปศุสัตว์เล็กๆ ฟาร์มหนึ่งเท่านั้นนะ จะถ่ายออกมาให้ได้ภาพอย่างนั้นได้อย่างไร?”

ฉินสือโอวพูดว่า “ความจริงแล้ว ตอนแรกที่ฉันถ่ายก็ไม่คิดว่าจะออกมาแบบนี้นะ หลักๆ ก็คือความสามารถของผู้กำกับคนนั้นแหละที่เก่งกาจเกินไป อย่าหาว่าพี่น้องไม่บอกแกนะ ผู้กำกับคนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาเลย คิดว่าต่อไปคงได้ไปทำงานในฮอลลีวูดแน่ แกไม่ถ่ายไว้สักคลิปจริงเหรอ?”

ฟังคำชมที่เขาพูดให้ทีมถ่ายทำนี้แล้ว เหมาเหว่ยหลงก็เกิดสนใจขึ้นมา ถามไปว่า “ดีขนาดนั้นจริงเหรอ? แต่ว่ามีจุดหนึ่งที่ฉันคิดไม่ตกนะ ฉินโซ่ว จากสันดานของแกแล้ว ถึงจะมีเรื่องดีๆ แบบนี้จริงๆ แกก็ต้องไม่บอกฉันสิถึงจะถูก”

ฉินสือโอวพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า “คำพูดนี้ของแกคืออะไร? ฉันเห็นแกเป็นพี่น้องนะ แกกลับคิดร้ายกับฉันแบบนี้เหรอ? โอเคฉันพูดความจริงก็ได้ ฟาร์มปศุสัตว์เล็กๆ ของแกน่ะต้องถ่ายออกมาได้แย่มากแน่ๆ ฮ่าๆ พอถึงตอนนั้นพวกเราแค่โพสต์ลงหน้าฟีดของตัวเองไป เท่านี้ก็จะทำให้วิดีโอของฉันดูดีกว่าแล้ว”

เหมาเหว่ยหลงเปิดปากด่าทอออกไปทันที ด่าเขาว่าคิดแผนชั่วร้าย ด่าเขาว่าใจอำมหิตดั่งงูและแมงป่อง ด่าเขาว่าไม่มีเจตนาดี จากนั้นก็ขอช่องทางการติดต่อของผู้กำกับคนนั้นไป แม้ว่าจะขี้เหร่หน่อยก็ไม่เป็นไร เขาถูกวิดีโอนี้ดึงดูดเข้าแล้วจริงๆ

อย่างไรก็ต้องหลงเหลือความทรงจำดีในวัยหนุ่มไว้บ้าง อีกห้าหกปี สิบปี พวกเขาก็จะกลายเป็นคนแก่วัยสี่สิบกว่าแล้ว ตอนนั้นถึงแม้ว่าจะมีทรัพยากรที่ดีกว่านี้ ก็คงไม่มีกะใจอยากจะถ่ายเหมือนตอนนี้แล้วล่ะ

ช่วงพลบค่ำ แบรนดอนโทรศัพท์มา พอเปิดปากก็พูดเรื่องวิดีโอกับเขาทันที

ฉินสือโอวถามออกไปอย่างแปลกใจว่า “ฉันว่านะเพื่อน ทำไมนายถึงสนใจวิดีโอนี้ได้ล่ะ?”

แบรนดอนหัวเราะแล้วพูดว่า “นายไม่รู้สึกว่าวิดีโอนี้ถ่ายได้อลังการสุดๆ เลยเหรอ? พูดความจริงนะ พวกเราถูกฟาร์มปลาของนายดึงดูดเข้าแล้ว ฉันอยากจะไปถ่ายภาพพรีเวดดิ้งที่ฟาร์มปลาของนาย แน่นอนว่ามีบางส่วนที่ต้องไปถ่ายในเมืองด้วย”

“พวกนาย? ภาพพรีเวดดิ้ง?” ฉินสือโอวพูดออกไปอย่างตกตะลึง “นายกับสาวแอร์โฮสเตสคนนั้นจะแต่งงานกันแล้วเหรอ?”

แบรนดอนพูดว่า “ใช่แล้ว พูดว่าหมั้นน่าจะถูกกว่า เรื่องแต่งงานน่าจะต้องอีกสักพัก นอกเหนือจากนี้ ฉิน นายเอาเบอร์โทรศัพท์ของช่างภาพที่ถ่ายวิดีโอนั้นมาให้ฉันที ฉันอยากให้เขามาช่วยถ่ายภาพพรีเวดดิ้งกับวิดีโออีกนิดหน่อยด้วย”

ฉินสือโอวพูดว่ายินดีด้วยๆ หลายที แบรนดอนหัวเราะรับคำอวยพรไว้ บอกว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องมงคลครั้งใหญ่ของฉันจริงๆ เพื่อน ฉันยังต้องขอบคุณนายนะ เพราะว่าฉันคิดมาตลอดว่าชาตินี้คงจะไม่ได้แต่งงานแล้ว แต่เพราะความรักของนายกับวินนี่ทำให้ฉันเปลี่ยนใจ ทำให้ฉันรู้ว่าฉันไม่สามารถอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตได้”

แบรนดอนอายุไม่น้อยแล้ว ครั้งแรกที่ฉินสือโอวเห็นเขาก็อายุสามสิบห้าปีแล้ว ตอนนี้ฉินสือโอวมาที่เกาะแฟร์เวลได้สี่ปี เท่ากับว่าเขาอายุเข้าเลขสี่แล้ว

………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท