ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1609 วันเก็บเกี่ยวปลิงทะเล

บทที่ 1609 วันเก็บเกี่ยวปลิงทะเล

ที่ฉินสือโอวได้เลี้ยงปลิงทะเลไว้สองชนิด คือปลิงขาวและปลิงทะเลขั้วโลกเหนือ ในนั้นชนิดแรกจะเติบโตได้เร็วเนื้อแน่น แต่หากพูดถึงสารอาหารแล้วปลิงทะเลขั้วโลกเหนือจะดีกว่า อายุของปลิงทะเลขั้วโลกเหนือตามธรรมชาติที่เก็บเกี่ยวกันปกติจะอยู่ที่มากกว่าสิบปี ส่วนปลิงทะเลที่เลี้ยงกันทั่วไปแค่ปีสองปีก็จะเก็บเกี่ยวขึ้นมาแล้ว เป็นธรรมดาที่ทั้งสองแบบนี้จะแตกต่างกันมาก

ปลิงทะเลเหล่านี้เป็นของที่เขาเลี้ยงไว้ตั้งแต่ปีที่สองที่มาถึงฟาร์มปลาแล้ว ในระหว่างเลี้ยงก็ได้ถ่ายเทพลังโพไซดอนให้ตลอด ไม่ว่าจะปลิงขาวหรือว่าปลิงทะเลขั้วโลกเหนือก็เติบโตกันได้ไม่เลว แต่ว่าการที่ฉินสือโอวนำทีมมาในครั้งนี้ก็เพื่อจะมาเก็บเกี่ยวปลิงขาว ส่วนปลิงทะเลขั้วโลกเหนือนั้นก็ให้มันได้โตอีกสักหนึ่งปี

แน่นอน หากว่าได้เจอกับปลิงทะเลขั้วโลกเหนือที่โตได้ที่แล้วล่ะก็ ก็ต้องจับขึ้นมาเหมือนกัน เพราะหากว่าโตจนถึงขีดสุดแล้ว แม้จะเลี้ยงต่อก็ไม่ตัวใหญ่ไปกว่านี้อยู่ดี

อุณหภูมิน้ำของฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ไม่เหมาะที่จะเลี้ยงปลิงทะเลและเป๋าฮื้อ ปลิงทะเลทั่วไปหากอยู่ในอุณหภูมิน้ำที่ต่ำกว่าห้าถึงหกองศาเซลเซียสแล้วจะทำให้หยุดการล่าอาหารแล้วเข้าสู่การจำศีลทันที พวกมันดูแลยากมาก พออุณหภูมิสูงจะจำศีลฤดูร้อน พออุณหภูมิต่ำก็จะจำศีลฤดูหนาว ในช่วงเวลานี้จะไม่เติบโตขึ้นเลย และไม่เหมาะจะเก็บเกี่ยวอีกด้วย

หลังจากชาร์คออกคำสั่งให้จับปลิงทะเลแล้ว เหล่าชาวประมงก็เริ่มยุ่งกันขึ้นมา มีแค่ชาวประมงที่ฝีมือดีเท่านั้นที่จะสามารถลงทะเลไปจับปลิงทะเลได้ เกิงจุนเจี๋ยกับเหล่าชาวประมงอีกยี่สิบกว่าคนที่มาทีหลัง รับผิดชอบเรื่องการงานเบื้องหลัง เพราะพวกเขาไม่สามารถลงทะเลได้

งานจับปลิงทะเลเป็นงานที่ลำบาก พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวแล้วก็จะต้องแช่รออยู่ในน้ำวันละสิบกว่าชั่วโมง แรงดันน้ำกับการแช่น้ำเป็นเวลานาน จะทำให้คนจับเป็นโรคเกี่ยวกับข้อต่อและปอดได้ทุกชนิด

แต่ว่าหากเทียบกับรายได้และการลงแรงแล้ว ฤดูกาลจับปลิงทะเลครั้งหนึ่งจะอยู่ที่ประมาณหนึ่งถึงสองเดือน ในเวลาอันสั้นนี้ คนจับปลิงสามารถหารายได้ห้าถึงแปดหมื่นดอลลาร์แคนาดา มากกว่ารายได้ต่อปีของพนักงานบริษัททั่วไปเสียอีก

แต่ว่า ในปัจจุบันคนที่ยอมลงน้ำไปจับปลิงทะเลก็ยังน้อยอยู่ เพราะคนหนุ่มสมัยนี้ทนกับความลำบากของงานนี้ไม่ค่อยได้

ชาร์คสวมชุดดำน้ำ นี่เป็นชุดดำน้ำแบบหนัก มีลักษณะคล้ายกับกระป๋อง คนหลบอยู่ด้านใน มีสายออกซิเจนท่อหนึ่งต่อไว้กับชุดดำน้ำและเครื่องสร้างออกซิเจนบนเรือ บนชุดดำน้ำยังมีเหล็กถ่วงไว้ด้วย เพื่อถ่วงให้คนจมลงไปใต้ทะเล

สวมชุดดำน้ำเสร็จ เขาก็พูดออกมาว่า “ปัจจุบันคนที่ยอมทำงานจับปลิงทะเลนับวันก็ยิ่งน้อยจริงๆ คนจับปลิงที่เก่งกาจก็ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ ตอนที่พ่อของผมยังหนุ่ม วันหนึ่งสามารถจับปลิงทะเลได้ถึงสองพันกว่าปอนด์เลย พวกเราในตอนนี้ทำกันไม่ได้หรอก วันหนึ่งสามารถจับได้หนึ่งพันกว่าปอนด์ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว”

ฉินสือโอวต้องเป็นคนนำทีม เขาเองก็สวมชุดดำน้ำแบบหนักนี้ไว้ด้วย ยิ้มแล้วพูดว่า “นั่นก็ไม่เลวนะ วันละหนึ่งพันปอนด์ รายได้จะอยู่ที่สองพันดอลลาร์แคนาดา เท่ากับตกเดือนหนึ่งก็หกหมื่นเหรียญเลยนะ”

แม้ว่าฟาร์มปลาจะจ้างชาวประมงไว้ แต่ว่าในการทำงานต่างๆ เขาก็จำต้องให้เงินรางวัลพิเศษแก่ชาวประมงด้วย อย่างเช่นการตกปลาทูน่าครีบน้ำเงิน ชาวประมงที่ตกปลานี้ขึ้นมาได้จะได้รับเงินโบนัสด้วย แล้วก็อย่างเช่นการจับปลิงทะเล เหล่าชาวประมงก็จะได้รับโบนัสเช่นกัน โดยพื้นฐานแล้วก็จะได้ที่ปอนด์ละหนึ่งดอลลาร์แคนาดากว่าๆ

ฉินสือโอวดูแลชาวประมงที่มากประสบการณ์ดีกว่ามาก สวัสดิการที่ให้จะเพิ่มให้อีกเท่าหนึ่ง เหล่าชาวประมงสามารถได้เงินที่สองเหรียญดอลลาร์แคนาดา ซึ่งดีกว่าไปทำงานด้านนอกมากเลย

ปลิงทะเลจะมีค่ามากก็ต่อเมื่อถูกนำไปตากแห้งแล้ว แต่ปลิงทะเลคุณภาพดีที่ฟาร์มปลาต้าฉินออกจัดจำหน่าย แม้ว่าจะเป็นปลิงทะเลสำเร็จรูป ก็ยังมีราคาสูงอยู่ดี ตัวที่มีขนาดใหญ่สวยงามหนึ่งปอนด์ขายได้หนึ่งร้อยกว่าดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นเขาจึงยินดีที่จะให้โบนัสกับชาวประมงมากกว่าปกติ

เกิงจุนเจี๋ยและพวกพากันมองไปที่ชาวประมงฝีมือดีด้วยความอิจฉา มีคนถามว่าสามารถตามลงไปดูงานด้วยได้ไหม พวกเขาทนความลำบากได้ ออกประเทศมาก็เพื่อมาหาเงิน ดังนั้นจึงไม่อยากปล่อยโอกาสในการหาเงินไป

ฉินสือโอวส่ายหัวแล้วพูดว่า “ฤดูหนาวยังต้องมาเก็บปลิงทะเลอีกล็อตหนึ่ง พวกนายรอครั้งหน้าแล้วกัน ครั้งนี้ก็ดูดีๆ แล้วกันว่าทำอย่างไร ปกติก็หมั่นฝึกดำน้ำด้วย นี่ไม่ได้เล่นๆ นะ เพื่อนทั้งหลาย อันตรายมากเลย!”

ในหนึ่งปีจะมีฤดูเก็บเกี่ยวปลิงทะเลอยู่ประมาณสองครั้ง ฤดูใบไม้ผลิอยู่ประมาณเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม อุณหภูมิน้ำของแคนาดาค่อนข้างต่ำ เดือนพฤษภาคมจึงเป็นเดือนดีที่จะเก็บปลิงทะเล เดือนมิถุนายนก็เก็บได้เหมือนกัน ส่วนการเก็บเกี่ยวปลิงทะเลในฤดูใบไม้ร่วงปกติจะอยู่ในช่วงปลายเดือนตุลาคมจนถึงกลางเดือนธันวาคม

เรือหาปลาลำหนึ่งมีชาวประมงอยู่สองคน พวกเขาจะร่วมมือกันทำงานในน่านน้ำบริเวณหนึ่ง นี่ก็เพื่อป้องกันการที่คนลงไปพร้อมกันหลายคนแล้วทำให้สายออกซิเจนเกิดการพันกันขึ้นมา ฉินสือโอวกับบูลอยู่เรือลำเดียวกัน พอหลังจากไปถึงน่านน้ำที่กำหนดแล้ว ก็เริ่มเปิดเครื่องผลิตออกซิเจนบนเรือให้ทำงาน พวกเขาเตรียมจะลงน้ำแล้ว

บูลทำการยืดเส้นเพื่อเป็นการอุ่นร่างกาย เขาพูดว่า “บอสครับ ที่ที่พวกผมเลือกเป็นอย่างไรบ้างครับ? ผมกะว่าวันนี้จะหาให้ได้สี่พันเหรียญ ใช่ครับ ผมจะลงไปจับปลิงทะเลสองพันปอนด์!”

ฉินสือโอวมองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “จากวิชาการดูฮวงจุ้ยห้าธาตุพิชิตมังกรแล้ว ด้านล่างของพวกเรานั้นเต็มไปด้วยปลิงทะเล อีกเดี๋ยวลงไปสามารถจับกันให้เต็มเหนี่ยวไปเลย”

จุดพักพิงของปลิงทะเลจะมีเป็นแบบแผน เพราะว่าฤดูหนาวของฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์หนาวมาก ดังนั้นพวกมันจะไปรวมตัวกันตรงทางน้ำอุ่นในทะเล ฟาร์มปลามีทางน้ำอุ่นอยู่ไม่กี่สาย แต่ละสายมีอาณาเขตเท่าไร เหล่าชาวประมงล้วนรู้กันอย่างละเอียดทุกคน

นอกเหนือจากนี้ ปลิงทะเลยังชอบไปเกาะอยู่บนโขดหินและปะการังเพื่อดำรงชีวิตอีกด้วย ดังนั้นขอแค่นำปัจจัยพวกนี้มารวมกันแล้วกรองออกมา ก็จะทำให้หาจุดรวมตัวของปลิงทะเลออกมาได้ง่ายมาก

นำอวนใส่ปลิงทะเลแขวนไว้บนเอวแล้ว ฉินสือโอวกับบูลก็กัดท่อออกซิเจนสวมหน้ากากที่เหมือนกับหมวกกันน็อก ชูนิ้วโป้งให้กันเพื่อบอกสัญญาณแล้วก็นั่งลงบนขอบเรือหันหลังให้กับทะเล บุ๋มทีหนึ่งหงายตัวตกลงไปในทะเล

พอพวกเขาจมลงไปแล้ว ท่อออกซิเจนบนเรือก็เหมือนกับงูตัวเล็กที่เลื้อยตามลงไปด้วย บนเรือมีชาวประมงคอยรับผิดชอบงานเบื้องหลังอยู่ด้วย เมื่อเห็นว่าท่อออกซิเจนใกล้จะพันกันแล้ว ก็ต้องรีบเข้าไปแก้ออก เพื่อให้แน่ใจว่าออกซิเจนสามารถเข้าไปในปากของคนที่ทำงานอยู่ในน้ำได้อย่างต่อเนื่อง

น่านน้ำผืนนี้ที่ฉินสือโอวเลือกอยู่ตรงปลายเขตทางใต้ของแนวปะการัง มีทางน้ำอุ่นผ่านสายหนึ่ง ปลิงทะเลที่นี่ไม่เพียงแต่จำนวนมากยังตัวใหญ่มากอีกด้วย ตามปกติแล้ว ปลิงทะเลจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามปีจึงจะสามารถนำมาทำเป็นอาหารตากแห้งได้ เพราะต้องโตให้เต็มที่ก่อนจึงจะดี

ใต้ทะเลเป็นผืนทรายที่สะอาดสะอ้าน ปลานกแก้วที่สีสันสวยงามจำนวนหนึ่งกำลังมุดเข้ามุดออกปะการัง ปากเล็กๆ ขยับไปมาไม่หยุด มีเม็ดทรายถูกถ่ายออกมาจากร่างกายของพวกเขา

นี่ก็คือเหตุผลที่ฉินสือโอวเลี้ยงปลานกแก้วจำนวนมากไว้ พวกมันสามารถทำให้แนวปะการังที่ตายแล้วกลายไปเป็นเม็ดทรายที่เนียนละเอียดได้

หลังจากบูลเข้าไปในน้ำมองเห็นแนวปะการังที่สวยงามราวกับความฝันนี้แล้ว ก็ตกอยู่ในภวังค์ไปพักหนึ่ง เขาไม่ได้ลงมือจับปลิงทะเลในทันที แต่กลับเดินไปเลียบแนวปะการังไปทางปลายทางอีกฝั่ง แล้วก็ยื่นมือออกไปจับแนวปะการังเป็นพักๆ

จุดที่ฉินสือโอวตกลงไปก็มีปลิงทะเลอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ว่าเขามองดูไปที ส่วนมากจะเป็นปลิงทะเลขั้วโลกเหนือ ขนาดตัวค่อนข้างเล็ก ไม่จำเป็นต้องจับ

ปลิงทะเลตัวเล็กไม่สามารถจับได้ตามใจชอบ เหตุผลไม่เพียงแต่เพราะพวกมันตัวเล็กเท่านั้น ยังเพราะเนื้อของพวกมันเหลว ไม่สามารถนำมาทำเป็นปลิงทะเลตากแห้งได้ หากว่าฝืนนำออกไปขาย อย่างมากก็นำไปทำได้แค่ปลิงทะเลสำเร็จรูปเท่านั้น ปลิงทะเลสำเร็จรูปแบบนี้ไม่เพียงแต่สารอาหารไม่เพียงพอ รสสัมผัสก็ไม่ดีด้วย ในตลาดไม่มีคนอยากซื้อหรอก

ปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปวนเวียนบริเวณรอบๆ หนึ่งรอบ ฉินสือโอวก็หาฝูงปลิงทะเลฝูงใหญ่เจอได้ในทันที หลังจากเขาว่ายเข้าไปมองดูแล้ว ก็เจอเข้ากับปลิงทะเลตัวใหญ่ ผิวสีขาวดังหิมะตัวหนึ่ง

แม้ว่าชื่อปลิงขาวจะมีคำว่าขาวอยู่ด้วย แต่ในความเป็นจริงร่างกายพวกมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำว่าขาวเลย เจ้าปลิงขาวตัวนี้เป็นการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ เป็นปลิงทะเลที่กลายเป็นสีขาว

ปลิงขาวตัวนี้ตัวอ้วนมาก ฉินสือโอวยื่นมือออกไปอยากจะหยิบขึ้นมา บูลที่อยู่ใกล้ๆ เห็นเข้าแล้วก็รีบโบกไม้โบกมือให้กับเขาทันที

…………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท