ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1607 หวานใจในวัยเด็ก

บทที่ 1607 หวานใจในวัยเด็ก

“ที่นี่เดินทางไม่ค่อยสะดวก หัวหน้า พวกเราล้วนพักกันอยู่ทางตอนเหนือของเมือง ห่างจากที่นี่ไกลมากเลย”

“ศูนย์กลางย่านการค้านี้เพิ่งจะเริ่มเปิดใช้ อะไรหลายๆ อย่างยังทำไม่เสร็จสมบูรณ์เลยค่ะหัวหน้า โดยเฉพาะปัญหาเรื่องความปลอดภัย แม้แต่ยามรักษาการณ์ยังไม่เตรียมให้เลย พวกเราผู้หญิงเยอะขนาดนี้ อันตรายมากเลยนะคะ”

“ปัญหาเรื่องการกินข้าวจะจัดการอย่างไรครับ? หัวหน้า พวกเราไม่มีที่ให้กินข้าวเลย ข้าวเช้าข้าวกลางวันก็เป็นปัญหา บางทีต้องทำโอที ข้าวเย็นก็เป็นปัญหาด้วย”

“ใช่ๆๆ ปัญหาเรื่องกินข้าว นี่แหละที่เป็นปัญหาเร่งด่วน” คนมากมายเริ่มพูดสมทบ

ฉินสือโอวยังคงนั่งอยู่บนแท่นที่นั่งอย่างใจเย็น ฟังเหล่าพนักงานส่งเสียงเอะอะกันไปมาพร้อมกับรอยยิ้ม ไม่เอ่ยปากพูดอะไร

ทิญาที่รับผิดชอบตำแหน่งเลขาที่นั่งอยู่ข้างๆ กระแอมเสียงเบาออกมาทีหนึ่ง เพื่อบอกให้ทุกคนรักษาความสงบด้วย เมื่อได้ยินเสียงกระแอมของเธอ เสียงที่เอะอะโวยวายก็เบาลงไปอย่างมาก เหล่าพนักงานเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ได้มีข่าวลือออกมาจำนวนหนึ่ง อย่างเช่นในวันแรกที่พันธมิตรการประมงก่อตั้งขึ้นมาในออตตาวา ผู้อำนวยการหนุ่มคนนี้ก็ได้แสดงความโหดเหี้ยมที่ไม่เคยมีการก่อนในการไล่สมาชิกผู้ร่วมพันธมิตรออกไปด้วยกันหลายคน

ในปัจจุบันการหางานทำในแคนาดาไม่สู้ดีนัก อัตราการว่างงานยังคงอยู่ในอัตราที่สูงมาตลอดไม่มีลดลงมาเลย เหล่าพนักงานจึงค่อนข้างหวงแหนงานที่ทำอยู่ในปัจจุบันไม่น้อย หลังจากที่รู้ตัวว่าเสียงโวยวายของตัวเองค่อนข้างดังแล้ว คนส่วนมากจึงพากันเงียบปากลง

กฎในสนามแห่งการทำงานของแคนาดาก็คือ ความสามารถมีอำนาจสูงสุด คนคนหนึ่งสามารถทำประโยชน์ให้กับทีมได้มากแค่ไหน เสียงถึงจะดังได้เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นในสายงานของบริษัทเอกชนหรือว่าเจ้าหน้าที่รัฐ ล้วนไม่รับเรื่องร้องเรียนทั้งนั้น หากว่าไม่พอใจก็ให้ไประบายกับสื่อมวลชนเอง ไม่สามารถนำมาพูดในสถานที่ทำงานได้

ฉินสือโอวรู้สึกว่าไม่ค่อยเท่าไร เขาโบกมือทำท่าทางบอกทิญาว่าไม่เป็นไรอยู่ใต้โต๊ะ อย่างไรเสียงานนั่งคุยกันนี้เป็นเขาที่เป็นคนเสนอขึ้นมาเอง ในงานนั่งคุยกันหากไม่ใช่เพื่อฟังเรื่องร้องเรียนแล้วจะให้ฟังอะไรล่ะ? ผลงานคุณงามความดีเหรอไง? คนงานในแคนาดาไม่มีนิสัยแบบนี้หรอก

รอจนทุกคนไม่พูดเรื่องปัญหาที่เจอแล้ว เขาก็หยิบสมุดบันทึกของวินนี่มาเปิดออกเพื่อแก้ปัญหาไปทีละข้อ พูดว่า “ก่อนอื่นเป็นเรื่องปัญหาการเดินทาง ก่อนหน้านี้ผมเห็นบันทึกของพนักงานแล้ว พนักงานกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ล้วนมีรถส่วนตัวกันใช่ไหม? ส่วนคนที่ไม่มีรถ ผมจะไปยื่นเรื่องกับทางกรมประมงเพื่อของบมาจัดทำรถรับส่งให้ เท่านี้ก็ไม่มีปัญหาแล้วใช่ไหม?”

“เรื่องต่อมาคือเรื่องปัญหาความปลอดภัย เรื่องนี้ทุกคนวางใจได้ ระบบรักษาความปลอดภัยของเซนต์จอห์นจัดอยู่ในห้าอันดับแรกของทั้งแคนาดา ตัวผมเองก็ได้เลี้ยงสุนัขกู้ภัยที่เก่งที่สุดในโลกไว้สองตัวด้วย พวกคุณน่าจะรู้จักพวกมันใช่ไหมครับ? วันนี้ผมจะทำการรวบรวมกลิ่นของทุกคนให้พวกมันจำกลิ่นไว้ หากว่าพวกคุณเกิดเรื่องอะไรขึ้น จะต้องได้รับการช่วยเหลือได้ทันท่วงทีอย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้แล้ว ก็มีคนข้างล่างยิ้มออกมา เสน่ห์ของหู่จือและเป้าจือในเซนต์จอห์นไม่มีใครเทียบได้ มีสื่อมากมายที่ยกให้พวกมันสองพี่น้องเป็นดาราอันดับหนึ่งประจำท้องถิ่นไปแล้วด้วย

“ส่วนปัญหาเรื่องการกินข้าว เรื่องนี้จัดการได้ไม่ง่ายจริงๆ วันนี้หลังจากที่ผมมาถึงที่นี่แล้วก็ไปเดินดูบริเวณรอบๆ แล้ว พบว่าสถานที่ให้กินข้าวนั้นมีน้อยมากจริงๆ ในเมื่อพวกเรามีห้องทำงานเหลือว่างอยู่มากมาย ทำไมถึงไม่เปิดห้องอาหารขึ้นมาเองเสียล่ะ? อีกอย่างฟาร์มปลาของผมก็มีอาหารทะเลที่ดีที่สุดในโลกอยู่ด้วย ผมสามารถจัดสรรมาให้ในราคาถูกได้ ทุกคนเห็นว่าอย่างไรบ้าง?”

สำหรับคำตอบนี้ เหล่าพนักงานต่างก็เห็นด้วยกัน ชื่อเสียงของอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินได้เลื่องลือไปทั่วแคนาดาแล้ว แถมยังไม่ต้องพึ่งการโฆษณาจากสื่อหรือว่าพรีเซนเตอร์จากคนดังอีกด้วย พึ่งก็เพียงแต่รสชาติและสารอาหารของอาหารทะเลล้วนๆ หลังจากใช้แผนงานของบัตเลอร์แล้ว อาหารทะเลก็ได้ยึดตลาดอาหารทะเลระดับพรีเมียมในหลายๆ เมืองได้ในทันที

ภาพรวมของการจัดงานนั่งคุยกันนี้ถือว่าประสบความสำเร็จพอตัว ฉินสือโอวถือว่าได้จัดการแก้ไขปัญหาของเหล่าพนักงานได้มากอยู่ ส่วนปัญหาเรื่องอื่นอย่างเช่นเงินน้อยเกินไป หรืองานลำบากเกินไปอะไรพวกนี้ เขาไม่สนใจเลย นี่คือได้คืบจะเอาศอกใช่ไหม? กินอิ่มแล้วจะหาเรื่องตื่นเต้นกันใช่ไหม? ไม่อยากทำก็ออกไป เขาเป็นคนตั้งเงินเดือนหรืออย่างไร? พันธมิตรยังไม่ทันได้เริ่มเลยก็บอกว่างานลำบากนี่หมายความว่าอย่างไรกัน?

ความจริงทิญามองออกแล้ว ที่หัวหน้าใหญ่วัยหนุ่มคนนี้จัดงานนั่งคุยกันอะไรนี้ขึ้นมา ไม่ได้เพราะคิดอยากจะแก้ปัญหาอะไรนั่นหรอก เขาน่ะก็แค่มาลิ้มรสความสะใจที่อำนาจนำมาให้เขาเท่านั้น

การคาดเดาของเธอถูกต้องมาก หลังจากงานนั่งคุยกันแล้วฉินสือโอวรู้สึกสะใจเป็นอย่างมาก เมื่อก่อนตอนเป็นพนักงานให้กับบริษัท ไชน่า เนชั่นแนล ออฟชอร์ ออยล์ คอร์ปอเรชั่น จำกัดนั้น เป็นหัวหน้ากลุ่มของเขาคนเดียวที่ออกคำสั่งนู่นนี่ ในที่สุดวันนี้ก็ถึงตาเขาที่ได้สนุกสุดเหวี่ยงแล้ว

แต่ภายหลังพอเริ่มทำงานแล้ว เขาก็จริงจังและตั้งใจมาก เขาได้ทำการติดต่อบริษัทที่จำหน่ายพวกเครื่องจักรขนาดใหญ่ไปหลายเจ้า หลังจากเปรียบเทียบราคาและความคุ้มค่าแล้ว ก็ทำการสั่งซื้อเครื่องจักรในไลน์ผลิตที่ตรงกับวัตถุประสงค์มาสี่เครื่อง เพื่อจะได้ทำการผลิตอาหารปลาจากสาหร่ายและพืชน้ำได้ ขอแค่ทางฟาร์มปลาต้าฉินส่งอาหารปลามาให้ การจะเพิ่มมาตรฐานคุณภาพของพันธมิตรการประมงก็ไม่เป็นปัญหาแล้ว

เลิกงานแล้ว ฉินสือโอวกลับบ้านด้วยจิตใจที่เบิกบาน ตอนนี้วินนี่ได้กลับมาถึงบ้านก่อนแล้ว เมื่อเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มเบิกบานของเขาแล้วก็ถามออกไปว่า “เป็นอย่างไรบ้าง คุณผู้อำนวยการ ทำงานวันแรกรู้สึกอย่างไรบ้างคะ?”

“แน่นอนว่า รู้สึกดีมากเลย”

“ดีแค่ไหนคะ? เป็นความรู้สึกแบบไหนเหรอ?” วินนี่ถามหยอกออกไป

ฉินสือโอวเข้าไปใช้นิ้วแตะๆ คางของเธอ ยิ้มเบาๆ แล้วพูดว่า “อยากรู้ว่าเป็นความรู้สึกแบบไหนเหรอ? สาวน้อย คืนนี้ผมจะให้คุณได้ลิ้มรสสักทีหนึ่ง…”

วินนี่ปัดมือเขาออกไป พูดด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีว่า “พูดอะไรเนี่ย ลูกสาวอยู่ที่นี่นะคะ”

ฉินสือโอวยื่นหน้าไปมองดู หัวของยัยตัวเล็กโผล่ออกมาหลังโซฟา ตาดวงโตเปล่งประกายกำลังจ้องมาที่เขา

หมีโลลิที่หมอบอยู่ตรงเท้าของวินนี่ก็เอียงคอมองดูเขาด้วย ตอนที่วินนี่ปัดมือเขาออกนั้น หมีโลลิรู้สึกว่าถึงเวลาที่จะต้องแสดงความกล้าหาญของตัวเองออกมาแล้ว จึงยืนขึ้นมาอย่างองอาจ ยกมือที่นุ่มนิ่มผลักฉินสือโอว อ้าปากแล้วกรีดร้องออกมาว่า “อาวๆ! อาวๆ!”

ฉินสือโอวหัวเราะร้องไห้ไม่ออก พูดว่า “โอ้โห เจ้าหมอนี่ ชักเอาใหญ่แล้ว เพราะว่าผมอ่อนโยนกับมันมากเกินไปใช่ไหม ทำเอามันไม่รู้ว่าใครเป็นใหญ่ในบ้านหลังนี้? ไม่ได้ วันนี้ผมจะต้องสั่งสอนมันเสียหน่อยแล้ว”

ที่เขาพูดออกไปแบบนี้แน่นอนว่าแค่พูดเล่นเท่านั้น แต่ว่าดันมีคนลงมือแทนเขา

เมื่อเห็นหมีโลลิผลักคุณพ่อ ยัยตัวเล็กก็โกรธขึ้นมาในทันใด เธอโพล่งออกมาจากหลังโซฟา พุ่งตัวไปอยู่ด้านหน้าหมีโลลิอย่างรวดเร็ว แล้วก็เหมือนกับเป็นซูโม่ ที่แค่อุ้มเอวใหญ่ๆ ของหมีโลลิไว้ก็ทำให้มันล้มลงได้ จากนั้น หนึ่งคนกับหนึ่งโลลิก็เริ่มกลิ้งไปมากันบนพรมขึ้นมา

ยัยตัวเล็กออกหมัดราวกับตีกลอง ทุบตุบตับๆ ไปที่หมีโลลิ หมีโลลิเองก็ไม่ยอมแพ้ ใช้สองมือผลักยัยตัวเล็กออก ยืนขึ้นมาแล้วก็ร้องออกมาอย่างโกรธแค้น เตรียมจะจัดการยัยตัวเล็ก

หลังถูกผลักออกแล้ว เถียนกวาก็รู้ว่าตัวเองคนเดียวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหมีโลลิ แม้ว่าจะเป็นหมีโลลิน่ารักในบรรดาหมีขั้วโลกเหนือก็เถอะ แต่หมีโลลิก็ยังเป็นหมีอยู่นะ พลังในการต่อสู้ของหมีขั้วโลกเหนือถือว่าเป็นที่หนึ่งไม่เป็นรองใครในตระกูลหมีเลย ถึงเป็นหมีสีน้ำตาลโคโลราโดก็ยังต้องยอมให้เลย

พอลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้ว ยัยตัวเล็กจ้องเขม็งไปที่หมีโลลิทีหนึ่ง จากนั้นก็ซอยขาสั้นๆ วิ่งออกไปทางประตูอย่างรวดเร็ว

หมีโลลิได้เปรียบแล้วทั้งที จะรามือง่ายๆ ได้อย่างไร? จึงวิ่งตามออกไปติดๆ มันส่งเสียงร้องอาวๆ อย่างได้ใจพร้อมกับวิ่งไล่ยัยตัวเล็กไป

ฉินสือโอวกับวินนี่รีบวิ่งตามออกไป หมีโลลิได้เติบโตเป็นหมีขั้วโลกเหนือครึ่งตัวแล้ว หากไม่ระวังแล้วล่ะก็สามารถอัดยัยตัวเล็กให้เป็นหมูสับได้เลย ฉายาราชาแห่งโลกหิมะน้ำแข็งนั้นไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย เป็นได้มาเพราะการสู้รบจริงๆ

หลังจากวิ่งออกไป ยัยตัวเล็กก็วิ่งตรงไปที่ชายทะเล หมีโลลิวิ่งตามไปติดๆ ไม่ลดละ แต่ไม่นานยัยตัวเล็กก็ไม่วิ่งแล้ว เพราะด้านหน้าได้มีแมวน้ำที่โตครึ่งตัวสองตัวกระโดดออกมาประจันหน้า พวกเขาพากันจ้องไปที่หมีโลลิด้วยสายตาอาฆาตแค้น…

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท