ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1608 ปลิงขาวโตแล้ว

บทที่ 1608 ปลิงขาวโตแล้ว

หลังจากโลลิน้อยได้สมทบกับแมวน้ำสองตัวแล้ว ความกล้าก็ทวีคูณขึ้นมาสองเท่า เธอหันหลังกลับไปมองหมีโลลิอย่างได้ใจ แถมยังกวักมือเพื่อยั่วโมโหมันอีกด้วย

ความจริงหมีขั้วโลกเหนือที่โตครึ่งตัวก็มีพลังในการต่อสู้ที่เก่งกาจแล้ว เด็กผู้หญิงอายุไม่ถึงสองขวบหนึ่งคนบวกกับแมวน้ำที่อายุไม่ถึงหนึ่งขวบสองตัวไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันหรอก แต่ว่ามันกลับคิดไม่ได้แบบนี้ เพราะว่าอยู่ในฟาร์มปลามันไม่ค่อยจะได้ต่อสู้สักเท่าไร การทะเลาะกันไปมากับยัยตัวเล็กนั้นไม่ถือว่าการต่อสู้หรอกจริงไหม? มากสุดก็แค่เล่นขายของเท่านั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ผ่านมาทั้งร่างกายและพละกำลังของยัยตัวเล็กได้เปรียบหมีโลลิอย่างมาก บวกกับได้แมวน้ำอีกสองตัวมาช่วยแล้ว ทำให้การประมือกันหลายครั้งหมีโลลิไม่เคยเอาชนะได้เลย แถมยังเคยถูกแมวน้ำที่มีพลังประหลาดสองตัวจับกดไว้จนโดนยัยตัวเล็กทั้งต่อยทั้งเตะอีก ดังนั้นจึงเกิดมีแผลในใจขึ้น เมื่อเห็นกลุ่มสามคนนี้รวมตัวกันแล้วจึงเกิดลังเลขึ้นมา ไม่กล้าบุ่มบ่ามเข้าไปโจมตี

ยัยตัวเล็กพามือดีทั้งสองตัวแบ่งกันสามทางเพื่อกะจะลอบเข้าไปล้อมหมีโลลิเงียบๆ อีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว ก็ร้องออกมาด้วยความไม่พอใจ ขยับขาทั้งสี่แล้วหนีปานกับบินไปเลย

การวิ่งหนีของหมีโลลิคราวนี้ กลายเป็นยัยตัวเล็กที่เป็นฝ่ายวางอำนาจแทน เธอจ้ำขาสั้นๆ นั้นวิ่งไล่อยู่ข้างหลัง ตะโกนออกไปว่า “ตีมัน รีบตีมันเลย! หู่จือกับเป้าจือรีบมา!”

หมีโลลิวิ่งไปพลางไม่พอใจไปพลาง ให้ตายสิไหนคุยกันแล้วไงว่าจะสู้กันตัวต่อตัว แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าเจ้าหญิงหมีอย่างฉันต้องไปสู้กับพวกเธอทั้งฝูงเหรอ? ในยุทธภพนี้ยังมีกฎกันอยู่หรือเปล่าเนี่ย?

มองดูเจ้าตัวเล็กสองตัวที่คนหนึ่งวิ่งเพื่อเอาชีวิตส่วนอีกคนก็วิ่งเพื่อเล่นกับชีวิตแล้ว ฉินสือโอวมึนหัวไปเลย เขาโอบวินนี่ไว้แล้วพูดว่า “ใครนะที่บอกผมให้เลี้ยงหมีขั้วโลกเหนือไว้ จะได้ให้เป็นเพื่อนหวานใจวัยเด็กโตไปพร้อมกับลูกน่ะ? ออกมา ฉันไม่ตีเขาจนตายแน่นอน!”

ความสัมพันธ์ระหว่างยัยตัวเล็กกับหมีโลลินั้น คงไม่ดีขึ้นในเวลาอันสั้นแน่นอน พวกเขาสู้กันตั้งแต่หัวปียันท้ายปีจริงๆ ยัยตัวเล็กมีฝูงแมวน้ำเป็นผู้ช่วย ส่วนทางด้านหมีโลลิก็เติบโตได้อย่างรวดเร็วจนมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง พลังในการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายอยู่ในระดับเท่าเทียมกันเสมอมา เมื่อเป็นแบบนี้ทำให้เป็นธรรมดาที่จะเกิดการสู้กันขึ้นบ่อยครั้ง

สุดท้ายพวกเขาก็ได้ไล่ล่ากันจนถึงเวลาทานอาหารเย็น หมีโลลิที่เป็นฝ่ายวิ่งหนีได้มีใบหญ้าติดอยู่เต็มตัว ทำเอาขนสีขาวราวหิมะนั้นได้กลายไปเป็นสีเขียวขจีไปแล้ว ส่วนทางด้านยัยตัวเล็กที่เป็นฝ่ายไล่ตามก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไรนัก ผมเปียที่ถักไว้ยุ่งเหยิงไปหมด เหงื่อท่วมทั่วตัว หน้าน้อยๆ ก็ราวกับถูกทาด้วยฝุ่น ขนาดรองเท้ายังวิ่งจนหลุดไปข้างหนึ่ง ถึงกับว่าสุดท้ายต้องให้หู่จือคาบกลับมาให้เลย

สำหรับเรื่องที่สั่งสอนหมีโลลิได้ไม่สำเร็จนั้น ยัยตัวเล็กไม่พอใจอย่างมาก ตอนทานอาหารเย็นฉินสือโอวอุ้มเธอไปนั่งบนเก้าอี้ เธอก็นั่งไม่นิ่ง เอาแต่สะบัดก้นจะกระโดดลงไป ตาก็มองหาแต่เงาของหมีโลลิตลอดเวลา

ฉินสือโอวจึงต้องโอ๋เธอว่า “กินข้าว กินข้าวก่อนดีไหม? กินเสร็จแล้วค่อยไปจัดการหมีน้อย”

ยัยตัวเล็กส่ายหัวอย่างดื้อรั้น พูดว่า “ไม่กิน จัดการหมี! พร้อมกัน!”

ฉินสือโอวพูดแล้วพูดอีก ยัยตัวเล็กก็ยังไม่ฟัง ทั้งตะโกนทั้งโวยวายจะไปจัดการหมีโลลิให้ได้ วินนี่เดินเข้ามา นั่งลงจัดเสื้อผ้าให้เธอ พูดว่า “กินข้าวเยอะๆ ถึงจะโตได้ โตแล้วก็จะสามารถจัดการหมีน้อยได้ ดังนั้นเถียนกวาต้องกินข้าวเยอะๆ ดีไหมคะ?”

ยัยตัวเล็กเอียงคอคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พยักหน้าพูดว่า “กินข้าวตัวโตตีหมีน้อย!”

ฉินสือโอวหัวเราะเหอๆ พูดว่า “ช่างเป็นเด็กซื่อเสียจริง พูดอย่างกับว่าฉงเอ้อจะไม่โตขึ้นอย่างนั้นแหละ”

วินนี่จ้องเขม็งไปที่เขาอย่างไม่พอใจทีหนึ่ง พูดว่า “คุณอย่าทำให้เรื่องมันวุ่นไปมากกว่าเดิมได้ไหมคะ เร็ว จัดการกับข้าว ถึงเวลากินข้าวแล้ว”

ฉินสือโอวหยิบเงินออกมาสิบเหรียญวางไว้บนโต๊ะ กอร์ดอนรีบพุ่งนำมาที่ห้องครัว ตะโกนว่า “ภารกิจนี้ผมรับเองครับ ถ้ามีใครแย่งอย่าหาว่านักล่าคนนี้ไม่เกรงใจนะ!”

ไวส์ตะโกนออกมาอย่างไม่เกรงกลัวว่า “ตัวข้าท่องไปทั่วยุทธภพ ยังไม่เคยกลัวใครมาก่อน แน่จริงพวกเรามาประลองกันสักสองกระบวนท่า…”

วินนี่ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ พูดว่า “สวรรค์ นี่มันยิ่งอยู่ยิ่งวุ่นวายจริงๆ”

หลังจากกินข้าวเสร็จ ฉินสือโอวก็ปล่อยพลังจิตสำนึกแห่งโพไซดอนไปในมหาสมุทรตามเคย เขาไปวนรอบทะเลแคริบเบียนอีกหนึ่งรอบแต่ก็ยังคงไม่เจอแม้แต่เงาของเรือซานโฮเซเช่นเคย จึงเรียกจิตกลับมาแล้วลอยไปลอยมาในฟาร์มปลาแทน

ฟาร์มปลาต้าฉินในตอนนี้อุดมสมบูรณ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ในน่านน้ำที่อุดมไปด้วยอาหารนั้น ฝูงปลาค็อดได้ว่ายไปมาจนไหล่ชนกัน ฝูงปลาฝูงแล้วฝูงเล่าตามกันมา แล้วยังมีบางพื้นที่ที่ฝูงปลาค่อนข้างชุกชุม จนให้ความรู้สึกว่าสามารถเหยียบพวกมันเดินได้เลย

เห็นฉากนี้แล้ว ฉินสือโอวจึงเริ่มวางแผนที่จะขยายอาณาเขตของทรัพยากรปลาที่จะเก็บเกี่ยวออก เขามีฟาร์มปลาต้าฉินหมายเลขสามอีกแห่งอยู่ที่รัฐโนวาสโกเชีย ที่นั่นแสงอาทิตย์ส่องได้ทั่วถึงมากกว่า เหมาะที่จะเลี้ยงพวกปลาน้ำอุ่น นอกเหนือจากนี้ เพราะด้านข้างของฟาร์มปลาเบอร์สามมีแม่น้ำขนาดใหญ่อยู่ด้วย สามารถนำพาพวกปลาเทราต์ ปลาไส้ตันฟลอริดาที่เป็นปลาน้ำกร่อยที่ต้องว่ายไปหาน้ำจืดไปเพาะพันธุ์ได้อีกด้วย

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเวียนว่ายอยู่สักพัก ฉินสือโอวมองดูสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล เห็นฝูงปลามังกรที่ขยายพันธุ์ได้รวดเร็ว เม่นทะเลก็มาปักหลักที่ฟาร์มปลาแล้วและดำรงชีวิตได้อย่างดี พวกปูดันเจเนสส์แต่ละตัวก็ทั้งตัวใหญ่และเนื้อเยอะ ฤดูใบไม้ผลิปีนี้ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขาพบว่าปลิงทะเลที่เลี้ยงไว้ก็ตัวอวบอ้วนมากแล้วเช่นกัน โดยเฉพาะปลิงขาว จำนวนเยอะ ตัวใหญ่ แถมยังมีหลายตัวที่ไปอาศัยอยู่บริเวณน่านน้ำตื้น ซึ่งสามารถเก็บเกี่ยวได้แล้ว

ฤดูร้อนเป็นฤดูที่เหมาะแก่การจับปลิงทะเล พวกมันชอบน้ำเย็นไม่ชอบน้ำร้อน พออุณหภูมิน้ำค่อนข้างสูงแล้วจะไปกระตุ้นการวางไข่ของพวกมัน จากนั้นร่างกายพวกมันก็จะมุดหลบอยู่ในโขดหินไม่ก็พื้นที่เป็นหลุม หยุดการกินอาหาร ผิวด้านนอกค่อยๆ แข็งขึ้น แล้วเริ่มการจำศีลฤดูร้อนในที่สุด

ปลิงทะเลที่จำศีลฤดูร้อน สารอาหารในตัวจะลดลงไปอย่างมาก แรกเริ่มท่อย่อยอาหารของพวกมันจะเสื่อมถอยลงจนมีลักษณะเป็นเส้นเล็กๆ จุดที่ใหญ่ที่สุดยังมีขนาดไม่ถึงหนึ่งมิลลิเมตรเลย มีหลายจุดมากที่เหลือไว้ก็แค่ร่องรอยเท่านั้น นอกเหนือจากนี้เซนไคม์และเนื้อเยื่อเกี่ยวพันบางส่วนก็จะหายไปด้วย การที่อวัยวะเสื่อมหายไปแบบนี้ทำให้ไม่สามารถรับอาหารเข้าไปได้ เนื้อเยื่อในร่างกายบางจำพวกจึงสลายตัวเองเพื่อไปเป็นพลังงานให้กับร่างกาย การจะมาจับมันอีกจึงไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ

เมื่อเป็นแบบนี้ ฉินสือโอวจึงตัดสินใจเริ่มออกจำหน่ายปลิงทะเล วันที่สองหลังจากตื่นนอนแล้วเขาก็โทรศัพท์ไปหาบัตเลอร์ บอกเขาว่าให้เตรียมปล่อยปลิงทะเลออกตลาดได้เลย นี่จะเป็นสินค้าที่หาตัวจับยากตัวใหม่อีกตัว

บัตเลอร์พอได้ยินข่าวนี้แล้วก็ดีใจแทบคลั่ง บอกว่าเขาจะรีบหาเรือบรรทุกให้แล่นไปหา ให้เขาจับปลาอย่างสบายใจก็พอ

หลังจากจับปลิงทะเลขึ้นมาได้แล้วก็ยังเป็นปลิงทะเลสดอยู่ ไม่เหมาะที่จะนำมารับประทานในทันที ต้องเอาไปตากแห้งให้เป็นปลิงทะเลแห้งก่อนจึงจะมีมูลค่า

ความจริงหากมองจากด้านสารอาหารแล้ว ไม่ว่าจะปลิงทะเลตัวเป็นๆ หรือปลิงทะเลแห้งก็ไม่แตกต่างกันมาก แต่ว่าสารอาหารในตัวปลิงทะเลเป็นๆ นั้นดูดซึมได้ยาก ผิวภายนอกของปลิงทะเลจะค่อนข้างหนา มีลักษณะคล้ายกับแผ่นยาง ร่างกายคนไม่สามารถย่อยได้ทันที หากเทียบกันแล้วปลิงทะเลแห้งนั้นย่อยง่ายกว่าเยอะเลย เพราะว่าในขั้นตอนการผลิตนั้นมีการใช้อุณหภูมิและแรงกดทับที่สูง ทำให้โครงสร้างของสารอาหารมีการเปลี่ยนแปลงไป หลังจากคืนตัวขึ้นมาแล้ว คุณค่าสารอาหารจึงถูกคนดูดซึมไปใช้ได้ง่ายขึ้น

การจะทำปลิงทะเลแห้งนั้นจะต้องใช้กรรมวิธีที่คัดสรรมาเฉพาะ ในฟาร์มปลาต้าฉินนี้ไม่มีคุณสมบัติในข้อนั้น เขาต้องให้บัตเลอร์นำกลับไปผลิตที่อเมริกาแทน ทางเขาทำแค่เก็บเกี่ยวก็พอแล้ว

งานเก็บเกี่ยวปลิงทะเลเป็นงานที่ลำบาก เพราะว่าปกติแล้วพวกมันจะอาศัยอยู่ในน่านน้ำที่ค่อนข้างลึก แถมยังมีสีผิวที่พรางตัวได้ง่าย ปกติก็ชอบอาศัยอยู่นิ่งๆ ไม่ชอบขยับ ทำให้หลังจากลงน้ำแล้วเป็นเรื่องยากที่เหล่าคนเก็บเกี่ยวจะเจอเข้ากับร่องรอยของมัน ดังนั้นงานจึงเดินหน้าไปได้ยาก

ฉินสือโอวจงใจใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนนำพาให้เหล่าปลิงทะเลไปทางน่านน้ำตื้น การทำแบบนี้จะทำให้เก็บเกี่ยวได้สะดวกขึ้นมาก

งานเก็บเกี่ยวปลิงทะเลจำเป็นต้องมีการเตรียมการก่อน หลังจากเขาโทรหาบัตเลอร์แล้ว ก็ไปบอกให้ชาร์คจัดแจงงานด้านนี้ไว้ ในอีกอย่างน้อยหนึ่งถึงสองอาทิตย์ข้างหน้านี้ งานของฟาร์มปลาต้องดำเนินไปกับการเก็บเกี่ยวปลิงทะเลนี้แล้ว

………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท