ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1718 การพัฒนาที่ยั่งยืน

บทที่ 1718 การพัฒนาที่ยั่งยืน

สำหรับของเล่นนวัตกรรมใหม่พวกนี้ ฉินสือโอวไม่ได้รู้สึกคลั่งไคล้อะไรมากมาย อย่างเช่นบอลลูน หรือบ้านทรงไข่ หลังจากเขามีแล้วลองใช้ไปไม่กี่ครั้งเท่านั้น หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ถือว่าใช้น้อยมาก

แต่เขาในตอนนี้รู้สึกยินดีจริงๆ กับการได้รับของเล่นพวกนี้ เพราะว่าทางเมืองเตรียมจะจัดงานสงครามผู้กล้าแล้ว ของเหล่านี้ล้วนสามารถเอามาใช้เป็นอุปกรณ์ได้หมดเลย

สถานที่จัดงานสงครามผู้กล้าจะจัดขึ้นรอบทะเลสาบเฉินเป่า บริเวณรอบๆ ทะเลสาบมีพื้นที่สีเขียวและป่าไม้ที่มีพื้นที่มากที่สุดอยู่ สนามหญ้าเกิดจากตอนที่ขุดเอาฟอสซิลจากทะเลสาบขึ้นมา พอคนจากพิพิธภัณฑ์ฟอสซิลจากไปแล้ว พื้นที่ว่างแห่งนี้จึงถูกโปรยไปด้วยเมล็ดพันธุ์หญ้าแล้วกลายเป็นสนามหญ้าแห่งนี้

มองดูเจ็ทแพ็คที่สามารถพาคนบินได้แล้ว ฉินสือโอวก็ออกไอเดียให้วินนี่ ว่า “คุณสามารถแต่งเป็นนางฟ้า แล้วบินลงมาจากฟ้าได้นะ จะต้องสุดยอดมากแน่”

วินนี่คิดทบทวนสักพักแล้วก็รู้สึกว่าวิธีนี้ใช้ได้ พูดว่า “โอเคค่ะ งั้นฉันก็เป็นนางฟ้าแล้วกัน คุณล่ะคะ? คุณจะเป็นอะไร?”

สำหรับชุดคอสตูมของตัวเอง ฉินสือโอวไม่มีไอเดียอะไรเลย เขาอยากขี่วาฬหัวทุยเพื่อแสดงเป็นเทพโพไซดอน แต่ว่าวาฬหัวทุยไม่สามารถเข้าไปในทะเลสาบเฉินเป่าได้ ดังนั้นจึงไม่สามารถทำให้ไอเดียนี้เป็นจริงได้ เขาจึงไปถามพวกชาวประมงว่า “พวกนายคิดว่าฉันเหมาะที่จะแต่งเป็นอะไร?”

บูลพูดด้วยความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมว่า “จะเป็นอะไรได้อีกครับ ก็ต้องเป็นดรูอิดสิครับ!”

เหล่าชาวประมงมองดูเจ้าพวกตัวเล็กที่ส่ายหัวสะบัดหางอยู่รอบๆ ฉินสือโอวแล้ว ก็พากันพยักหน้าเห็นด้วย นั่นสิ ทั้งจูงหมาพกเหยี่ยวพกหมาป่าพกหมีอีก หากไม่แต่งเป็นดรูอิดก็น่าเสียดายแย่

ฉินสือโอวไม่อยากแต่งเป็นดรูอิด เขารู้สึกว่ามันไม่ค่อยเท่เท่าไร อีกอย่างไม่ค่อยเข้ากับภาพลักษณ์เขาเท่าไรด้วย หากว่าไม่สามารถแต่งเป็นเทพโพไซดอนได้ล่ะก็ งั้นเขาก็จะแต่งเป็นนายพลชื่อดังในประวัติศาสตร์จีนแทน

แต่ว่าเรื่องนี้ไม่รีบ งานจะเริ่มกลางเดือนสิงหาคม ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือน เดือนนี้มีงานที่ต้องทำในฟาร์มปลาอีกมากมายเลย

ตอนที่เคนเนดีมา ฉินสือโอวได้กินปูดันเจเนสส์ แล้วรู้สึกว่ารสชาติไม่เลวเลย นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาเก็บเกี่ยวปลาแล้ว งั้นก็จัดการให้ทำการจับปูและกุ้งมังกรในไม่กี่วันนี้แล้วกัน

เขาจำเป็นต้องรีบส่งกุ้งมังกรเข้าไปในตลาด เพราะผลกระทบจากเชื้อรากุ้งมังกรแก๊ฟคี่ไม่ได้ร้ายแรงเหมือนกับที่นักวิชาการคาดไว้ ความสามารถในการปรับเปลี่ยนของมหาสมุทรนั้นแข็งแกร่งมาก ตอนเดือนมิถุนายนทางศูนย์ศึกษาชีวิตสัตว์ใต้ทะเลได้ทำการทดลองกับน้ำทะเลในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือแล้ว พบว่าน้ำได้มาตรฐานพอที่จะเลี้ยงกุ้งมังกรได้แล้ว

เดินเครื่องเรือปริ้นเซสเมล่อน เขาพาคนไปยังสถานที่ที่อยู่อาศัยของกุ้งมังกร จากนั้นก็นำเอาตะกร้าจับกุ้งแต่ละอันโยนลงไปในน้ำ ในระกร้าจับกุ้งพวกนี้ได้ใส่ชิ้นปลาแช่แข็งไว้ เมื่อน้ำแข็งเริ่มละลายออก พวกกุ้งมังกรก็จะถูกดึงดูดเข้าไปอย่างแน่นอน

ขั้นตอนเดียวกัน เขานำตะกร้าจับปูทั้งหมดของฟาร์มปลาโยนลงไปในน้ำ ชาร์คสั่งการให้ปล่อยตะกร้าลงไป พร้อมกับหัวเราะไปด้วย พูดว่า “นี่น่าจะเป็นการจับปูดันเจเนสส์ที่สบายที่สุดแล้ว หากว่าเป็นที่มหาสมุทรแปซิฟิกเหนือแล้วล่ะก็ ไม่มีทางง่ายขนาดนี้แน่”

แน่นอนว่าฤดูที่จับปูดันเจเนสส์คือฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่อเมริกาเหนือหนาวที่สุด ในตอนนั้นเรือหาปลาจะต้องฝ่าคลื่นที่สูงกว่าสองเมตรถึงห้าเมตรในทะเล จากข้อมูลสถิติแล้ว ในการจับปูดันเจเนสส์ จะมีคนเสียชีวิตเฉลี่ยวันละหนึ่งคน และบาดเจ็บอีกวันละห้าคน!

แต่ตอนนี้การเก็บเกี่ยวเจ้าพวกนี้ของฟาร์มปลาต้าฉินกลับทั้งง่ายและสนุกสนาน บนทะเลไม่มีคลื่นลมใหญ่ เหล่าชาวประมงก็ไม่ต้องสวมเสื้อขนสัตว์ตัวหนาจนทำให้เคลื่อนไหวได้ไม่สะดวกด้วย ขอแค่ระวังไม่ให้โดนตะกร้าจับปูพวกนี้ทับใส่ก็พอแล้ว

การโดนตะกร้าจับปูทับโดนไม่ใช่เรื่องตลกเลย เจ้าสิ่งนี้หนักอันละครึ่งตัน สร้างจากเหล็กกล้า เมื่อชนโดนตัวคนแม้จะเบาที่สุดก็สามารถทำให้กระดูกแตกหักได้!

เหล่าชาวประมงกำลังพูดล้อเล่นกันอยู่ ฉินสือโอวไม่เคยไปร่วมงานจับปูดันเจเนสส์ในฤดูหนาว ดังนั้นจึงไม่รู้ว่ามันโหดร้ายแค่ไหน ชายร่างใหญ่ที่ชื่อนีลได้ชูมือให้เขาดู ตรงนิ้วชี้ข้างขวาของเขาได้หายไปสองข้อ

“เห็นหรือยังครับ บอส? นี่ก็คือผลของการถูกลวดสลิงรัดโดนล่ะ! นั่นน่ะเป็นเรื่องเมื่อห้าปีก่อนครับ มีครั้งหนึ่งตอนที่ปล่อยตะกร้าลงน้ำไป ผมเห็นว่าตะกร้าไปติดอยู่ตรงที่กราบเรือ จึงใช้มือไปเกี่ยวลวดสลิงแล้วสะบัดไปมา สุดท้ายตะกร้าจับปูหลุดจากกราบเรือไปแล้ว แต่ลวดสลิงที่ผมเกี่ยวไว้กลับลื่นลงข้างล่าง เลยตัดนิ้วผมไปด้วย!”

ฉินสือโอวพูดด้วยน้ำเสียงตกใจว่า “ฟัค ถือว่านายดวงดีแล้ว ถ้าตอนนั้นนายใช้ฝ่ามือไปจับบนลวดสลิง ก็หายไปทั้งมือเลยน่ะสิใช่ไหม?”

หรือไม่ก็อุตสาหกรรมการประมงในแคนาดาตอนนี้ยิ่งอยู่ยิ่งไม่น่าทำแล้ว อาชีพนี้มีความเสี่ยงในตัวกะลาสีและชาวประมงที่ชีวิตในท้องทะเลของแต่ละปี นอกจากพวกทหารและนักดับเพลิงแล้วก็เป็นอาชีพนี้แหละที่สูงที่สุด

พวกเขาเปลี่ยนสถานที่ที่จับปูไปที่อื่น พอหลังจากปล่อยตะกร้าลงไปในน้ำแล้ว ก็มีปลาไหลอเมริกันสวยงามหลายตัวลอยขึ้นมาแทน

เมื่อเห็นแบบนี้แล้วเหล่าชาวประมงก็พากันร้องยินดีออกมาว่า “โชคดี โชคดีจัง!”

หากตอนที่ปล่อยตะกร้าจับปูลงในน้ำมีความเร็วมากพอ ตะกร้าที่หนักอึ้งพอกระแทกโดนน้ำแล้วจะทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทำให้มีปลาที่ถูกสะเทือนจนสลบลอยขึ้นมา การเก็บเกี่ยวที่นอกเหนือความคาดหมายแบบนี้ถูกชาวประมงมองว่าเป็นสัญญาณแห่งความโชคดี

พอปล่อยตะกร้าลงไปแล้ว เมื่อผิวน้ำกลับสู่ปกติ บูลจึงเตรียมที่จะกระโดดลงน้ำเพื่อจับปลาไหลอเมริกันตัวสวยพวกนี้

ฉินสือโอวส่ายหัว จากนั้นก็ผิวปากทีหนึ่ง หู่จือกับเป้าจือที่ออกทะเลตามมาด้วยก็แย่งกระโดดลงทะเลไปก่อน เพื่อจับปลาไหลอเมริกันที่อ้วนใหญ่นี้ขึ้นมา

มองดูปลาไหลที่อวบอ้วนพวกนี้แล้ว ฉินสือโอวก็หัวเราะออกมา พูดว่า “ได้อาหารสำหรับมื้อกลางวันของวันนี้แล้ว”

ปลาไหลอเมริกันเป็นหนึ่งในอาหารที่รสเลิศที่สุดของปลาทะเล เพราะว่ามีจำนวนลดลงอย่างมาก ดังนั้นคนที่มีโอกาสได้กินปลาไหลอเมริกันธรรมชาตินั้นมีไม่มากเลย ต้องขอบคุณแนวคิดเรื่องการพัฒนาที่ยังยืนของฉินสือโอวก่อนหน้านี้ ทำให้ปลาไหลอเมริกันมีชีวิตอยู่รอดได้ ตอนนี้พวกมันได้ขยายพันธุ์จนกลายเป็นกลุ่มที่ไม่เล็กแล้ว ในแต่ละเดือนสามารถให้ผลผลิตกว่าสองตันเพื่อส่งเข้าไปในร้านอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินเลยทีเดียว

ความสุดยอดของฟาร์มปลาที่อุดมสมบูรณ์ก็คือ เมื่อกี้เพิ่งจะจับปลาไหลอเมริกันที่เยี่ยมยอดได้เอง เครื่องโซนาตรวจหาปลาในห้องบังคับการก็ส่งเสียงติ๊ดๆ ดังขึ้นมา ฉินสือโอวเข้าไปดู ก็เห็นจุดแดงจุดใหญ่ได้เลื่อนผ่านไปบนหน้าจอนั่น

“ฝูงปลาทูน่าครีบน้ำเงิน!” ชาร์คที่อยู่ข้างๆ มองออกได้ในทันที เหล่าชาวประมงไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้ ทุกครั้งที่พวกเขาออกทะเลมักจะบังเอิญเจอเข้ากับปลาใหญ่ที่มีค่าพวกนี้ประจำ แถมยังรู้ด้วยว่าที่ฟาร์มปลามีปลาจำพวกนี้อาศัยอยู่

งานจัดแสดงปลาทั่วโลกของสภาการประมงใกล้จะเริ่มแล้ว แถมปลาทูน่าครีบน้ำเงินในตลาดอาหารทะเลระดับสูงของประเทศแถบเอเชียตะวันออกอย่างญี่ปุ่นก็ได้ลดลงไปพอสมควรแล้ว ฉินสือโอวคิดว่าจะจับขึ้นมาจำนวนหนึ่งแล้วส่งไปขายในตลาด

เรือลำใหญ่ได้ขับไปยังจุดเก็บเกี่ยวจุดต่อไป เบิร์ดถือปลาไหลอเมริกันที่สวยงามสี่ตัวเข้าไปในห้องครัว ตัวที่ถูกแรงสะเทือนทำให้สลบไปมีสองตัว ตัวหนึ่งเป็นแม่ปลาไหลที่ท้องป่องส่วนอีกตัวเป็นลูกปลาไหล หลังจากพวกมันสองตัวตื่นแล้วก็ถูกปล่อยไป ส่วนอีกสี่ตัวที่เหลือนั้นไม่ได้โชคดีอย่างนั้น

เบิร์ดลงมีดอย่างรวดเร็ว เครื่องในของปลาไหลอเมริกันทั้งสี่ตัวก็ได้ถูกล้างจนสะอาดแล้ว เขาทำการตัดหัวและหางของปลาออก แล้วก็นำไปให้ฉินสือโอวเป็นคนไปทำอาหาร

ชาร์คพิงตัวไว้ที่ประตูแล้วพูดว่า “ในท้องแม่ปลาไหลตัวนั้นต้องมีไข่ปลาเยอะแน่เลย ไข่ปลาไหลเป็นอาหารที่ยอดมากเลยนะครับบอส”

ฉินสือโอวกลอกตา พูดว่า “คิดว่าฉันไม่รู้เหรอไง? แต่ฉันไม่คิดจะฆ่าผู้หญิงกับเด็ก”

เมื่อได้ยินคำนี้แล้ว พวกชาร์คก็หัวเราะออกมา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของฟาร์มปลา พวกเขาก็จะไม่ฆ่าผู้หญิงกับเด็กด้วย

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท