ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1732 รอยยิ้มมีพิษ

บทที่ 1732 รอยยิ้มมีพิษ

สแตนลีย์พูดคุยอย่างออกรสออกชาติสักพักแล้วก็เตรียมจะกลับ ฉินสือโอวรีบรั้งเขาไว้ พูดว่า “เพื่อน พวกเราชาวจีนให้ความสำคัญเรื่องการต้อนรับแขกมาก ตอนนี้ก็ถึงเวลาทานอาหารแล้ว จะให้คุณกลับไปได้อย่างไรกัน? อยู่กินอาหารที่ฟาร์มปลาสักมื้อเถอะครับ”

นี่คือจะให้ตัวเองอยู่ต่อเพื่อเป็นคนทำกับข้าวให้นี่นา สแตนลีย์ไม่ได้โง่ จึงเดาจุดประสงค์ของฉินสือโอวออกได้ในทันที

แต่ความจริงแล้วเรื่องกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น ฉินสือโอวตบอกแล้วพูดว่า “เดี๋ยวผมให้คุณลองชิมอาหารของชาวประมงดู ผมกล้าพูดเลยว่าคุณไม่เคยกินอาหารแบบนี้มาก่อนแน่นอน มาครับ ให้เหล่าชาวประมงของผมแสดงฝีมือให้คุณเห็นกัน”

“แน่ใจว่าไม่ต้องให้ผมเป็นพ่อครัวหลักจริงเหรอครับ?” สแตนลีย์ถามด้วยความไม่ไว้วางใจ เขาไม่ถือสากับการทำกับข้าวเล็กๆ น้อยๆ แต่พอเห็นชาวประมงหลายสิบคนในฟาร์มปลาแล้ว หากว่าให้เขาดูแลรับผิดชอบทั้งหมด งั้นคงต้องเหนื่อยกว่าการบริหารร้านอาหารของตัวเองเป็นแน่ ร้านอาหารสามดาวของเขาก็มีลูกค้าแค่วันละไม่กี่สิบคนเท่านั้นเอง

อย่างไม่ต้องสงสัย กระเพาะของเหล่าชาวประมงนั้นไม่ใช่สิ่งที่สุภาพบุรุษแต่งตัวเนี้ยบสามารถเทียบได้แน่นอน โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นอีวิลสันที่เป็นเหมือนคนยักษ์แล้ว เขาเชื่อว่าเจ้าหมอนี่คนเดียวสามารถกินอาหารในร้านของเขาในปริมาณสำหรับสิบคนได้แน่นอน

ดังนั้น หากว่าให้เขามาทำกับข้าว เขาก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่ แต่ว่าถ้าไม่ต้องให้เขาออกโรง งั้นเขาก็เต็มใจที่อยู่ต่ออีกสักพัก แม้จะไม่ได้พูดถึงเรื่องการร่วมมือกันทำร้านอาหาร แต่แค่ทิวทัศน์ของฟาร์มปลา ก็มีค่าพอให้คนอยากอยู่ต่อได้แล้ว

การที่สามารถอยู่บนจุดสูงสุดของหนึ่งสายอาชีพได้นั้น ไม่ว่าจะวิสัยทัศน์หรือประสบการณ์จะต้องไม่ปกติอย่างแน่นอน ฉินสือโอวกับสแตนลีย์คุยกันได้สนุกสนานมาก นอกเหนือจากนี้เขายังได้เรียนรู้เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ในการทำอาหารตะวันตกอีกด้วย

เคล็ดลับพวกนี้ล้วนเป็นเทคนิคพิเศษที่ตระกูลคาร์ลเบิร์ตกลั่นกรองมาจากประสบการณ์หลายปีของพวกเขาเลย ถ้าเป็นในนิยายยุทธจักรก็คือสุดยอดเคล็ดวิชาที่ถ่ายทอดให้แก่ผู้ชายเท่านั้น แต่สแตนลีย์กลับพูดออกมาหมดเปลือกเลย ขอแค่ฉินสือโอวถามเขาก็จะตอบในทันที ไม่มีอึกอักหรือหมกเม็ดอะไรทั้งนั้น

บางทีเขาอาจจะแสดงให้ฉินสือโอวเห็นถึงความจริงใจของเขาโดยผ่านวิธีการนี้ก็ได้

ทุกครั้งที่เหล่าชาวประมงออกทะเลจะได้ผลเก็บเกี่ยวดีทุกครั้ง แม้ว่าพวกเขาจะมีเป้าหมายที่กำหนดไว้อยู่แล้ว แต่ว่าในฝูงปลาก็มักจะมีปลาชนิดอื่นปนมาด้วยอยู่แล้ว และก็ยังมีสัตว์ทะเลจำพวกหอยและกุ้งปูอีกด้วย

พอพวกเขากลับมาแล้ว ฉินสือโอวพูดว่า “เพื่อนฝูงทั้งหลาย วันนี้มีแขกพิเศษมาเยี่ยมพวกเรา พวกเราต้องต้อนรับเขาให้ดี มาเถอะ มาทำอาหารทะเลชุดใหญ่ที่มีเอกลักษณ์ของพวกเราชาวประมงที่สุดกันเถอะ”

เหล่าชาวประมงอึ้งไปสักพัก แล้วก็พยักหน้าพูดว่า “ดีๆๆ”

เมื่อเห็นความเป็นมิตรของคนเหล่านี้แล้ว สแตนลีย์ก็ลุกขึ้นมายิ้มแล้วโบกมือให้ ในใจเขารู้สึกเกรงใจเล็กน้อย ดูชาวประมงพวกนี้ช่างซื่อสัตย์ ช่างจริงใจเหลือเกิน ความคิดของเขาเมื่อกี้นี้ใจแคบเกินไปแล้ว

จากนั้นภายใต้การมองดูของสแตนลีย์ เหล่าชาวประมงก็ทำการก่อตั้งหม้อเหล็กใบใหญ่ขึ้นบนชายหาด แล้วเอาปลาโอแถบ ปลากุเรสีทอง หมึกกระดอง แล้วก็หอยเชลล์ ปูเสฉวนบกกับปูแดง ใส่ลงไปในหม้อทั้งหมดแล้วก็เริ่มตุ๋น

แสตนลีย์ยิ้มแล้วพูดว่า “นี่เป็นวิธีการทำอาหารที่ตามใจฉันมาก เสร็จแล้วขั้นต่อไปคืออะไรครับ? พูดตามตรง ผมยังไม่เคยเห็นวิธีการทำอาหารแบบนี้มาก่อนเลย”

ฉินสือโอวพูดว่า “ขั้นต่อไปเหรอ? ไม่มีขั้นต่อไป มีแค่นี้เท่านั้น หลังจากตุ๋นเสร็จออกมาแล้วทุกคนหยิบจานมาคนละใบ ชอบอะไรก็ใช้มือหยิบเอาก็ได้แล้ว โอ้ ถ้าหากคุณอยากจิ้มน้ำจิ้มแล้วล่ะก็ ที่นี่พวกผมมีน้ำขิงกระเทียมบดซีอิ๊วกับน้ำส้มสายชูอยู่นะ คุณจะเอาอะไรครับ?”

รอยยิ้มบนหน้าของสแตนลีย์ได้หายวับไปในทันที ก็เหมือนกับน้ำแข็งเยือกเย็นในฤดูหนาวที่ถูกเทลงไปในน้ำร้อนของขั้วโลกเหนือ ‘ซู้ม’ ทีเดียว น้ำร้อนได้กลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว

“กินแบบนี้เหรอครับ? อาหารทะเลสไตล์ชาวประมง?” สแตนลีย์ถามด้วยความสงสัย

ฉินสือโอวยักไหล่แล้วพูดว่า “ใช่ครับ นี่น่ะคือวิธีการทำอาหารที่มีเอกลักษณ์ที่สุดของที่นี่เลยนะครับ ผมบอกคุณนะ ความจริงแล้วรสชาติไม่เลวเลย โดยเฉพาะน้ำซุปทะเลในตอนท้าย ที่ทุกคนมารวมตัวกันแล้วใช้ช้อนตักดื่มน่ะ เป็นอย่างไร สุดยอดมากเลยใช่ไหมครับ?”

สแตนลีย์มองไปที่เขาอย่างแน่นิ่ง “คุณอย่าบอกผมนะว่า ช้อนของทุกคนจะตักน้ำซุปจากหม้อโดยตรงเลย”

“ไม่อย่างนั้นล่ะ จะให้ไปตักที่ไหนได้อีกครับ?”

สแตนลีย์มองดูสีหน้าของฉินสือโอวอย่างตั้งใจ หน้าตาได้รูป เค้าโครงหน้าดูแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยว สีหน้าดูซื่อสัตย์และจริงใจ สายตาแน่วแน่และเปิดเผย ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เป็นใบหน้าของคนใสซื่อที่หล่อเหลาคนหนึ่ง

แต่เขาไม่ยอมรับไม่ได้เลย ตัวเองแม่งดูคนผิดแล้ว เจ้าหมอนี่เป็นคนที่เจ้าเล่ห์มากมายคนหนึ่งเลย

ในตอนนี้มีชาวประมงใช้กระบวยไม้อันใหญ่อันหนึ่งตักน้ำซุปจากในหม้อมาชิม จากนั้นก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ดี รสชาติจืดเกินไป โรยเกลือหน่อยสิ” พูดจบ เขาก็เอาน้ำซุปที่เหลือในกระบวยเทกลับไปในหม้อ

มีชาวประมงพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันตรงนั้นอย่างจริงจังอีกว่า “ถ้าให้ดีที่สุดพวกเราน่าจะใส่มันฝรั่งลงไปด้วยนะ ชิ้นมันฝรั่งที่อมน้ำซุปอาหารทะเลนี้เข้าไปน่ะ รสชาติสุดยอดมากเลย!”

“ใส่แอปเปิลกับบลูเบอร์รีลงไปหน่อย แบบนี้อาหารทะเลจะได้มีกลิ่นหอมของผลไม้ด้วย รสชาติจะได้ดียิ่งขึ้น”

“ไม่ดีหรอก อาหารทะเลกับผลไม้จะเอามาต้มรวมกันได้อย่างไร? ให้ฉันพูดนะฉันว่าใส่กระดูกแพะลงไปหน่อยดีกว่า บอสเคยพูดไว้ไม่ใช่เหรอ ที่ประเทศของเขา ปลากับแพะมารวมกันคือรสชาติที่ดีที่สุดน่ะ”

“ไอ้โง่ ปลากับแพะมารวมกันทำให้ได้เป็นคำว่าสดใหม่ในภาษาจีน ไม่ได้หมายความว่าการทำแบบนั้นรสชาติดีที่สุด…”

มองดูเหล่าชาวประมงที่เถียงกันไปพลางใส่นู่นนี่ลงไปในหม้อไปพลางแล้ว สีหน้าของสแตนลีย์ก็ซีดมากขึ้นเรื่อยๆ เขายังเห็นมีคนหยิบกุ้งมังกรออกมาจากหม้อแล้วเริ่มแกะกินเลย แถมยังใช้มือหยิบออกมาจากหม้อโดยตรงอีกด้วย!

ต้องรีบจบเรื่องทันที เขาปัดมือพูดว่า “คุณฉิน ผมมีข้อเสนออันหนึ่ง ให้ผมมาทำอาหารทะเลหม้อนี่แทนดีไหมครับ? ฮ่าๆ คุณดูสิผมมาเยี่ยมคุณด้วยมือเปล่า ถ้ายังให้คุณต้องเปลืองแรงทำกับข้าวอีก ผมเกรงใจน่าดู”

ฉินสือโอวพูดอย่างลำบากใจว่า “แบบนี้ไม่ดีมั้งครับ? อย่างไรเสียคุณก็เป็นแขก”

สแตนลีย์ยิ้มแล้วพูดว่า “ดี ดีแน่นอนครับ ผมหวังว่าคุณจะไม่เห็นผมเป็นแขก ผมอยากจะทำงานร่วมกับคุณจริงๆ นะครับ”

ฉินสือโอวพยักหน้า “ในเมื่อคุณพูดอย่างนี้แล้ว งั้นผมก็ต้องยอมรับแล้วล่ะ มา เพื่อนฝูงทั้งหลาย ไปเตรียมตัวกัน สแตนลีย์เพื่อนของพวกเราจะเป็นคนรับผิดชอบอาหารมื้อนี้เอง ฉันบอกพวกโง่อย่างพวกนายเลยนะ วันนี้พวกนายโชคดีมาก สแตนลีย์เป็นผู้สืบทอดของตระกูลทำอาหารในอิตาลีคาร์ลเบิร์ต แถมเขายังเป็นเชฟหลักของร้านอาหารมิชลินสามดาวอีกด้วย!”

“ว้าว สุดยอด!” เหล่าชาวประมงชื่นชมโดยชูนิ้วโป้งกันขึ้นมา

สแตนลีย์ยิ้มและพยักหน้าตอบ แต่ทำไมเขารู้สึกว่าสายตาของชาวประมงพวกนี้ไม่ได้เป็นสายตาชื่นชมอย่างเดียว แต่แฝงความนัยอย่างอื่นด้วย? แล้วแฝงไปด้วยอะไรล่ะ? เขาคิดอยู่สักพัก เหมือนครั้งแรกที่ฉินสือโอวไปร้านอาหารของเขา เขาก็ใช้สายตาแบบนี้มองฉินสือโอวด้วยเหมือนกัน

เขาไม่มีเวลามากพอในการคิด เหล่าชาวประมงพากันหลีกทางให้แล้ว จากนั้นก็นำวัตถุดิบมาส่งให้เพื่อเชิญให้เขาแสดงฝีมือ

มีทั้งปลาทูน่าครีบเหลือง หอยงวงช้าง ปลาไหลอเมริกัน ปลาลิ้นหมา ปูดันเจเนสส์ กุ้งมังกร ปลายอดม่วง ปลาลายญี่ปุ่น ปลาหัวเมือก ปลาไหลเจ็ดดาว เพรียงตีนเต่า ปลาอีโต้มอญ ปลาจะละเม็ดเงิน แถมยังมีปลาบรู๊ก ซิลเวอร์ไซด์ที่พบเห็นได้น้อยอีกด้วย….

นู่นนิดนั่นหน่อย วัตถุดิบทุกรูปแบบถูกส่งมาให้ สแตนลีย์ตาค้างอ้าปากหันไปมองฉินสือโอว

รอยยิ้มของท่านชายฉินจริงใจและใสซื่อกว่าเดิม “วัตถุดิบของฟาร์มปลาของเราค่อนข้างเรียบง่าย หวังว่าคุณเชฟใหญ่คาร์ลเบิร์ตอย่าได้ใส่ใจ แต่ว่าที่ห้องแช่แข็งยังมีวัตถุดิบที่ไม่เลวอยู่ เดี๋ยวอีกสักพักผมให้ลูกน้องไปเอามาให้คุณครับ”

สแตนลีย์ “รอยยิ้มของคุณมีพิษ!”

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท