ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1729 สุดยอดเชฟที่มาหาถึงที่

บทที่ 1729 สุดยอดเชฟที่มาหาถึงที่

ตอนพลบค่ำ แอนนี่พาเด็กสองคนมาที่บ้านพักในฟาร์มปลา เธอมาเพื่อส่งเถียนกวา หลายวันมานี้ที่ฉินสือโอวไปอเมริกา วินนี่ก็ต้องทำงานดูแลจัดการงานในเมือง งานดูแลเด็กจึงมอบให้แอนนี่แทน

แน่นอนว่า ถ้างานไม่ยุ่งแล้วล่ะก็ วินนี่ก็จะพาลูกสาวไปทำงานด้วย แต่ว่าตอนนี้เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของปี เวลาที่ไม่ยุ่งจึงเห็นได้น้อยมาก

ยัยตัวเล็กเดินนำอยู่ข้างหน้าด้วยขาสั้นเล็กของเธอ มือที่อวบอ้วนถือบวบอยู่แท่งหนึ่ง ด้านหลังของเธอมีเด็กอ้วนที่ตัวใหญ่กว่าเธอสองเท่าเดินตามมาอยู่ เด็กคนนี้มีสีหน้าบูดเบี้ยวเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ราวกับว่าคนที่นำหน้าเขาอยู่ไม่ใช่เถียนกวาแต่เป็นเสือตัวหนึ่ง

ฉินสือโอวมองดูเด็กสองคนแล้ว ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา รีบวิ่งเข้าไปเพื่ออุ้มลูกสาวพร้อมกับหอมอีกสองที ไม่เจอกันสิบกว่าวันแล้วคิดถึงแทบแย่

ยัยตัวเล็กผลักเขาออกด้วยสีหน้าจริงจัง เธอชูคอเพื่อมองไปทางบ้านพักสองที จากนั้นก็ถอยกลับมามองดูเด็กอ้วน แล้วพูดด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยของเด็กว่า “เถียนกวาเข้าไปล่อหมีชั่วออกมา ถึงตอนนั้นหนิวๆ ก็รอตีมันอยู่หน้าประตู ดีไหม?”

เด็กอ้วนมองดูเธอด้วยท่าทีอ่อนแรง สีหน้าก็เหมือนกับจะร้องไห้ทุกเมื่อ เขาอยากจะพูดอะไร แต่ว่าเหมือนจะกลัวยัยตัวเล็กทำให้ไม่กล้าพูดออกมา ทำเอาฉินสือโอวที่มองดูอยู่รู้สึกเห็นใจอย่างมาก

“ดีไหม?” ยัยตัวเล็กเบิกตาโตจ้องไปที่เขา พร้อมกับชูบวบที่อยู่ในมือขึ้นมา

เด็กอ้วนตกใจจนเดินถอยหลังไปสองก้าว แล้วพูดพึมพำออกมาว่า “หม่ามี๊บอกว่า ห้ามตีกัน…”

ใบหน้าอ้วนกลมของยัยตัวเล็กเคร่งขรึมขึ้นมา พูดว่า “อย่างพวกเราไม่เรียกว่าตีกัน แต่เรียกว่าตีมัน เข้าใจไหม?”

เด็กอ้วนมองไปที่ฉินสือโอวและแอนนี่ ราวกับว่าการที่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยได้มอบความกล้าให้กับเขา เขากลืนน้ำลายไปทีหนึ่งแล้วพูดอย่างกล้าหาญว่า “ไม่ได้ เหนียวเหนียวไม่อยากตีกัน ฮือๆ พวกเราไม่มีทางชนะหมีได้หรอก!”

พอพูดถึงสองประโยคหลังแล้ว เด็กคนนี้ก็ถึงกับสำลักไปเลย ฉินสือโอวมองดูฉากนี้อย่างหมดคำจะพูด ความกล้าของเด็กอ้วนนี่มีน้อยจริงๆ เลย ตอนที่พูดประโยคนี้ออกมา เขาถึงขั้นปิดตาด้วย…

พอฟังคำพูดเขาจบแล้ว เถียนกวาไม่พอใจ เธอลากเด็กอ้วนแล้วพูดพร้อมกัดฟันกรอดว่า “ถ้าไม่ตีหมี งั้นเถียนกวาก็จะตีนาย!”

เด็กอ้วนตกใจสุดขีด ทำได้แต่พูดคำว่า ‘หม่ามี๊บอกว่าห้ามตีกัน’ ซ้ำๆ และแน่นอนว่า เขาได้ปิดตาตลอดที่พูดด้วย เถียนกวาเริ่มหงุดหงิดแล้ว จึงผลักเขาออกไปแล้วพูดว่า “งั้นเถียนกวาจะไปตีหมีเอง!”

เด็กอ้วนรีบเปิดตาแล้วดึงตัวเธอไว้ แล้วพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยว่า “เถียนกวาจะถูกหมีกินเอาได้นะ!”

ไม่รู้ว่าเพราะได้ยินเสียงพูดของเถียนกวาหรือว่าอยากจะมารับลมเย็น หมีโลลิได้ก้าวเท้าสั้นๆ นั้นเดินออกมา แน่นอนว่า มันในตอนนี้ไม่ใช่ลูกหมีอีกต่อไปแล้ว เวลากว่าครึ่งปี ทำให้มันได้เติบโตเป็นหมีขั้วโลกเหนือกึ่งโตแล้ว

เมื่อเห็นหมีตัวหนึ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทีดุดันแล้ว เด็กอ้วนที่หน้าตาเศร้าสร้อยก็ทนไม่ไหว นั่งพรวดลงกับพื้น เกาะขาของเถียนกวาไว้แล้วร้องไห้เสียงหลงออกมา “หมีมาแล้ว! หมีมาแล้ว!”

พอเป็นแบบนี้ทำให้ฉินสือโอวทนต่อไปไม่ไหว เขาพิงประตูแล้วก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมา เถียนกวากะพริบตาโตคู่นั้นปริบๆ พอเห็นเขาหัวเราะเธอก็ฉีกยิ้มหัวเราะฮี่ๆ ออกมา

หมีวิ่งออกมาทางประตู มันมองดูคนกลุ่มนี้ที่ทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้อย่างแปลกใจ สายตานั้นบ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์อย่างแรง มนุษย์ที่โง่เขลา!

เถียนกวากับหมีโลลิเป็นคู่อริกันจริงๆ เมื่อเห็นเดินมันผ่านหน้าไป ยัยตัวเล็กไม่พูดพร่ำทำเพลงปล่อยหมัดออกไปให้หมีโลลิหมัดหนึ่งทันที

หมีโลลิหันกลับมาอย่างไม่พอใจแล้วอ้าปากกว้างส่งเสียงกรีดร้องออกมา “อาวๆ!” เด็กอ้วนที่ร้องไห้เสียงดังก็ตะโกนออกมาด้วยว่า “อ๊าาา…หม่ามี๊บาร์บี้ จะถูกกินแล้ว”

ฉินสือโอวจึงต้องพาหมีโลลิออกไป ฉงต้าพอเห็นภรรยาหมีออกไป ก็บิดขี้เกียจแล้วยืนขึ้นมา แล้วเดินตามออกไปอยู่ข้างหลังด้วย

ตอนนี้ฉงต้าได้กลายเป็นหมีสีน้ำตาลโคโลราโดโตเต็มตัวแล้ว และได้กลายเป็นสัตว์ร้ายในป่าใหญ่อย่างเต็มตัว ร่างกายใหญ่โต กรงเล็บแหลมคม สายตาที่เฉียบแหลม พอยืนอยู่หน้าประตูแล้ว ตาของเด็กอ้วนก็ค้างไปทันที ครั้งนี้ไม่มีเสียงร้องไห้แล้ว เพราะเขาได้ตกใจเสียจนไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้แล้ว

แอนนี่เห็นฉากนี้แล้วก็โกรธมาก พูดกับวินนี่ว่า “ฉันทำบาปเสียแล้ว วินนี่ ฉันทำผิดต่อพระเจ้าแล้ว”

วินนี่ถามว่า “เป็นอะไรไปคะ?”

แอนนี่พูดอย่างโกรธเคืองว่า “ฉันคิดมาตลอดค่ะ ว่าตอนที่พระเจ้าส่งเถียนกวากับบูลน้อยมานั้นต้องสลับเพศกันแน่เลย บางทีลูกของดิฉันอาจจะเป็นลูกสาว ส่วนของคุณเป็นลูกชาย ฉันหมายถึงว่า พระเจ้าบ้าไปแล้วหรือเปล่าที่ให้ลักษณะนิสัยแบบนี้มา?”

วินนี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “คุณควรจะไปขอพรที่โบสถ์นะคะ ฉันก็คิดว่าคุณทำผิดต่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้ามีสติครบดีอย่างแน่นอน เถียนกวาของเราไม่มีปัญหา แต่ว่าความกล้าหาญของบูลน้อยบ้านคุณน่ะไม่ค่อยปกติจริงๆ”

ฉินสือโอวที่อยู่ไม่ไกลหัวเราะเหอๆ เขารู้สึกว่าพระเจ้ามีสติดีอย่างแน่นอน ความกล้าของบูลตรงข้ามกับขนาดร่างกายของเขาเลย จึงสามารถพูดได้ว่าบูลน้อยได้รับสืบทอดความกล้ามาจากพ่อของเขา แต่ว่านี่ก็เป็นหลักฐานว่าเด็กคนนี้คือลูกของบูลอย่างแน่นอน

ระหว่างเดินอยู่ริมทะเล เหล่าชาวประมงกำลังกลับจากออกทะเล เมื่อเห็นท่านชายฉิน คนทั้งกลุ่มก็โบกมืออย่างดีใจ พูดว่า “บอส คุณกลับมาแล้วเหรอครับ ตอนคุณไม่อยู่ทุกคนอยู่สุขสบายมากเลย”

ฉินสือโอวที่เห็นสีหน้ายินดีของเหล่าชาวประมงทำให้ไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงจ้องชาร์คแล้วถามว่า “เมื่อกี้นายพูดอะไรฉันไม่ทันได้ฟัง”

ชาร์ครีบอธิบายว่า “ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นครับ บอส ผมหมายถึงว่า แม้ว่าก่อนหน้านี้คุณจะไม่อยู่ พวกเราก็คิดถึงคุณมากครับ แล้วพวกเราก็ทำตามคำสั่งคุณ ดูแลฟาร์มปลากับนายหญิงเป็นอย่างดีเลย คุณไม่จำเป็นต้องกลับมาก็ได้”

ฉินสือโอวยังคงรู้สึกว่าคำพูดของเจ้าหมอนี่มีปัญหาอยู่ จึงจ้องไปที่ชาร์คต่อ และจ้องด้วยสายตาที่ดุดันโหดร้าย

ชาร์คลูบริมฝีปากไปมาอย่างเสียใจ พูดว่า “ปากโง่ๆ ของผมนี้ ดูท่าว่าจะไม่มีวันประจบหัวหน้าได้สำเร็จแล้ว”

คนอื่นๆพากันหัวเราะสมน้ำหน้า บูลพูดหยอกว่า “เลิกงานแล้ว ฉันจะกลับไปทำเสื้อเกราะของฉันล่ะ พวกนายทายสิว่าถึงเวลาแล้วฉันจะแต่งคอสตูมเป็นตัวอะไร?”

“เป็นวัวที่กระสันหรือเปล่า?” ฉินสือโอวถาม

บูลมองไปที่เขา หัวเราะอย่างมีความสุข พูดว่า “ไม่ ไม่ใช่ครับ เป็นฮีโร่ที่น่าพิศวงคนหนึ่ง”

พูดถึงเรื่องนี้ฉินสือโอวก็ต้องเตรียมทำเสื้อเกราะและอาวุธที่จะใช้ได้แล้ว อุปกรณ์ได้ถูกเตรียมไว้พอสมควร แบบก็มีแล้ว ขอแค่ทำตามแบบเอาของจิปาถะพวกนั้นมาร้อยรวมกันไว้ก็เสร็จแล้ว

วันถัดไปพอว่างแล้วฉินสือโอวก็เตรียมจะไปทำ ตอนนี้แบล็คไนฟ์ได้มาหาเขาแล้วพูดว่า “บอส มีคนชื่อสแตนลีย์ คาร์ลเบิร์ตอยู่นอกฟาร์มปลา เขาบอกว่ามีธุระกับคุณครับ”

สแตนลีย์ คาร์ลเบิร์ต? ฉินสือโอวเกาหัว ชื่อนี้ไม่คุ้นหูเลยนี่นา แบล็คไนฟ์พูดเตือนความจำให้เขาต่ออีกว่า “เจ้าหมอนั่นบอกว่าเขาคือเถ้าแก่ของร้านอาหารมิชลินระดับสามดาวครับ”

ตอนนี้ท่านชายฉินนึกออกแล้ว ก็คือเชฟใหญ่กับเถ้าแก่ร้านอาหารมิชลินสามดาวในรัฐโนวาสโกเชียร้านนั้นนั่นเอง ตอนนั้นที่เขาไปประมูลฟาร์มปลาคาร์เตอร์ได้พบกับหมอนี่เข้า แต่ว่าเขามาหาตัวเองทำไม? ระหว่างพวกเขาไม่น่าจะมีอะไรข้องเกี่ยวกันนี่?

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท