ตอนพลบค่ำ แอนนี่พาเด็กสองคนมาที่บ้านพักในฟาร์มปลา เธอมาเพื่อส่งเถียนกวา หลายวันมานี้ที่ฉินสือโอวไปอเมริกา วินนี่ก็ต้องทำงานดูแลจัดการงานในเมือง งานดูแลเด็กจึงมอบให้แอนนี่แทน
แน่นอนว่า ถ้างานไม่ยุ่งแล้วล่ะก็ วินนี่ก็จะพาลูกสาวไปทำงานด้วย แต่ว่าตอนนี้เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของปี เวลาที่ไม่ยุ่งจึงเห็นได้น้อยมาก
ยัยตัวเล็กเดินนำอยู่ข้างหน้าด้วยขาสั้นเล็กของเธอ มือที่อวบอ้วนถือบวบอยู่แท่งหนึ่ง ด้านหลังของเธอมีเด็กอ้วนที่ตัวใหญ่กว่าเธอสองเท่าเดินตามมาอยู่ เด็กคนนี้มีสีหน้าบูดเบี้ยวเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ราวกับว่าคนที่นำหน้าเขาอยู่ไม่ใช่เถียนกวาแต่เป็นเสือตัวหนึ่ง
ฉินสือโอวมองดูเด็กสองคนแล้ว ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา รีบวิ่งเข้าไปเพื่ออุ้มลูกสาวพร้อมกับหอมอีกสองที ไม่เจอกันสิบกว่าวันแล้วคิดถึงแทบแย่
ยัยตัวเล็กผลักเขาออกด้วยสีหน้าจริงจัง เธอชูคอเพื่อมองไปทางบ้านพักสองที จากนั้นก็ถอยกลับมามองดูเด็กอ้วน แล้วพูดด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยของเด็กว่า “เถียนกวาเข้าไปล่อหมีชั่วออกมา ถึงตอนนั้นหนิวๆ ก็รอตีมันอยู่หน้าประตู ดีไหม?”
เด็กอ้วนมองดูเธอด้วยท่าทีอ่อนแรง สีหน้าก็เหมือนกับจะร้องไห้ทุกเมื่อ เขาอยากจะพูดอะไร แต่ว่าเหมือนจะกลัวยัยตัวเล็กทำให้ไม่กล้าพูดออกมา ทำเอาฉินสือโอวที่มองดูอยู่รู้สึกเห็นใจอย่างมาก
“ดีไหม?” ยัยตัวเล็กเบิกตาโตจ้องไปที่เขา พร้อมกับชูบวบที่อยู่ในมือขึ้นมา
เด็กอ้วนตกใจจนเดินถอยหลังไปสองก้าว แล้วพูดพึมพำออกมาว่า “หม่ามี๊บอกว่า ห้ามตีกัน…”
ใบหน้าอ้วนกลมของยัยตัวเล็กเคร่งขรึมขึ้นมา พูดว่า “อย่างพวกเราไม่เรียกว่าตีกัน แต่เรียกว่าตีมัน เข้าใจไหม?”
เด็กอ้วนมองไปที่ฉินสือโอวและแอนนี่ ราวกับว่าการที่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยได้มอบความกล้าให้กับเขา เขากลืนน้ำลายไปทีหนึ่งแล้วพูดอย่างกล้าหาญว่า “ไม่ได้ เหนียวเหนียวไม่อยากตีกัน ฮือๆ พวกเราไม่มีทางชนะหมีได้หรอก!”
พอพูดถึงสองประโยคหลังแล้ว เด็กคนนี้ก็ถึงกับสำลักไปเลย ฉินสือโอวมองดูฉากนี้อย่างหมดคำจะพูด ความกล้าของเด็กอ้วนนี่มีน้อยจริงๆ เลย ตอนที่พูดประโยคนี้ออกมา เขาถึงขั้นปิดตาด้วย…
พอฟังคำพูดเขาจบแล้ว เถียนกวาไม่พอใจ เธอลากเด็กอ้วนแล้วพูดพร้อมกัดฟันกรอดว่า “ถ้าไม่ตีหมี งั้นเถียนกวาก็จะตีนาย!”
เด็กอ้วนตกใจสุดขีด ทำได้แต่พูดคำว่า ‘หม่ามี๊บอกว่าห้ามตีกัน’ ซ้ำๆ และแน่นอนว่า เขาได้ปิดตาตลอดที่พูดด้วย เถียนกวาเริ่มหงุดหงิดแล้ว จึงผลักเขาออกไปแล้วพูดว่า “งั้นเถียนกวาจะไปตีหมีเอง!”
เด็กอ้วนรีบเปิดตาแล้วดึงตัวเธอไว้ แล้วพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยว่า “เถียนกวาจะถูกหมีกินเอาได้นะ!”
ไม่รู้ว่าเพราะได้ยินเสียงพูดของเถียนกวาหรือว่าอยากจะมารับลมเย็น หมีโลลิได้ก้าวเท้าสั้นๆ นั้นเดินออกมา แน่นอนว่า มันในตอนนี้ไม่ใช่ลูกหมีอีกต่อไปแล้ว เวลากว่าครึ่งปี ทำให้มันได้เติบโตเป็นหมีขั้วโลกเหนือกึ่งโตแล้ว
เมื่อเห็นหมีตัวหนึ่งเดินเข้ามาด้วยท่าทีดุดันแล้ว เด็กอ้วนที่หน้าตาเศร้าสร้อยก็ทนไม่ไหว นั่งพรวดลงกับพื้น เกาะขาของเถียนกวาไว้แล้วร้องไห้เสียงหลงออกมา “หมีมาแล้ว! หมีมาแล้ว!”
พอเป็นแบบนี้ทำให้ฉินสือโอวทนต่อไปไม่ไหว เขาพิงประตูแล้วก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมา เถียนกวากะพริบตาโตคู่นั้นปริบๆ พอเห็นเขาหัวเราะเธอก็ฉีกยิ้มหัวเราะฮี่ๆ ออกมา
หมีวิ่งออกมาทางประตู มันมองดูคนกลุ่มนี้ที่ทั้งหัวเราะทั้งร้องไห้อย่างแปลกใจ สายตานั้นบ่งบอกถึงความไม่สบอารมณ์อย่างแรง มนุษย์ที่โง่เขลา!
เถียนกวากับหมีโลลิเป็นคู่อริกันจริงๆ เมื่อเห็นเดินมันผ่านหน้าไป ยัยตัวเล็กไม่พูดพร่ำทำเพลงปล่อยหมัดออกไปให้หมีโลลิหมัดหนึ่งทันที
หมีโลลิหันกลับมาอย่างไม่พอใจแล้วอ้าปากกว้างส่งเสียงกรีดร้องออกมา “อาวๆ!” เด็กอ้วนที่ร้องไห้เสียงดังก็ตะโกนออกมาด้วยว่า “อ๊าาา…หม่ามี๊บาร์บี้ จะถูกกินแล้ว”
ฉินสือโอวจึงต้องพาหมีโลลิออกไป ฉงต้าพอเห็นภรรยาหมีออกไป ก็บิดขี้เกียจแล้วยืนขึ้นมา แล้วเดินตามออกไปอยู่ข้างหลังด้วย
ตอนนี้ฉงต้าได้กลายเป็นหมีสีน้ำตาลโคโลราโดโตเต็มตัวแล้ว และได้กลายเป็นสัตว์ร้ายในป่าใหญ่อย่างเต็มตัว ร่างกายใหญ่โต กรงเล็บแหลมคม สายตาที่เฉียบแหลม พอยืนอยู่หน้าประตูแล้ว ตาของเด็กอ้วนก็ค้างไปทันที ครั้งนี้ไม่มีเสียงร้องไห้แล้ว เพราะเขาได้ตกใจเสียจนไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้แล้ว
แอนนี่เห็นฉากนี้แล้วก็โกรธมาก พูดกับวินนี่ว่า “ฉันทำบาปเสียแล้ว วินนี่ ฉันทำผิดต่อพระเจ้าแล้ว”
วินนี่ถามว่า “เป็นอะไรไปคะ?”
แอนนี่พูดอย่างโกรธเคืองว่า “ฉันคิดมาตลอดค่ะ ว่าตอนที่พระเจ้าส่งเถียนกวากับบูลน้อยมานั้นต้องสลับเพศกันแน่เลย บางทีลูกของดิฉันอาจจะเป็นลูกสาว ส่วนของคุณเป็นลูกชาย ฉันหมายถึงว่า พระเจ้าบ้าไปแล้วหรือเปล่าที่ให้ลักษณะนิสัยแบบนี้มา?”
วินนี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “คุณควรจะไปขอพรที่โบสถ์นะคะ ฉันก็คิดว่าคุณทำผิดต่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้ามีสติครบดีอย่างแน่นอน เถียนกวาของเราไม่มีปัญหา แต่ว่าความกล้าหาญของบูลน้อยบ้านคุณน่ะไม่ค่อยปกติจริงๆ”
ฉินสือโอวที่อยู่ไม่ไกลหัวเราะเหอๆ เขารู้สึกว่าพระเจ้ามีสติดีอย่างแน่นอน ความกล้าของบูลตรงข้ามกับขนาดร่างกายของเขาเลย จึงสามารถพูดได้ว่าบูลน้อยได้รับสืบทอดความกล้ามาจากพ่อของเขา แต่ว่านี่ก็เป็นหลักฐานว่าเด็กคนนี้คือลูกของบูลอย่างแน่นอน
ระหว่างเดินอยู่ริมทะเล เหล่าชาวประมงกำลังกลับจากออกทะเล เมื่อเห็นท่านชายฉิน คนทั้งกลุ่มก็โบกมืออย่างดีใจ พูดว่า “บอส คุณกลับมาแล้วเหรอครับ ตอนคุณไม่อยู่ทุกคนอยู่สุขสบายมากเลย”
ฉินสือโอวที่เห็นสีหน้ายินดีของเหล่าชาวประมงทำให้ไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงจ้องชาร์คแล้วถามว่า “เมื่อกี้นายพูดอะไรฉันไม่ทันได้ฟัง”
ชาร์ครีบอธิบายว่า “ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นครับ บอส ผมหมายถึงว่า แม้ว่าก่อนหน้านี้คุณจะไม่อยู่ พวกเราก็คิดถึงคุณมากครับ แล้วพวกเราก็ทำตามคำสั่งคุณ ดูแลฟาร์มปลากับนายหญิงเป็นอย่างดีเลย คุณไม่จำเป็นต้องกลับมาก็ได้”
ฉินสือโอวยังคงรู้สึกว่าคำพูดของเจ้าหมอนี่มีปัญหาอยู่ จึงจ้องไปที่ชาร์คต่อ และจ้องด้วยสายตาที่ดุดันโหดร้าย
ชาร์คลูบริมฝีปากไปมาอย่างเสียใจ พูดว่า “ปากโง่ๆ ของผมนี้ ดูท่าว่าจะไม่มีวันประจบหัวหน้าได้สำเร็จแล้ว”
คนอื่นๆพากันหัวเราะสมน้ำหน้า บูลพูดหยอกว่า “เลิกงานแล้ว ฉันจะกลับไปทำเสื้อเกราะของฉันล่ะ พวกนายทายสิว่าถึงเวลาแล้วฉันจะแต่งคอสตูมเป็นตัวอะไร?”
“เป็นวัวที่กระสันหรือเปล่า?” ฉินสือโอวถาม
บูลมองไปที่เขา หัวเราะอย่างมีความสุข พูดว่า “ไม่ ไม่ใช่ครับ เป็นฮีโร่ที่น่าพิศวงคนหนึ่ง”
พูดถึงเรื่องนี้ฉินสือโอวก็ต้องเตรียมทำเสื้อเกราะและอาวุธที่จะใช้ได้แล้ว อุปกรณ์ได้ถูกเตรียมไว้พอสมควร แบบก็มีแล้ว ขอแค่ทำตามแบบเอาของจิปาถะพวกนั้นมาร้อยรวมกันไว้ก็เสร็จแล้ว
วันถัดไปพอว่างแล้วฉินสือโอวก็เตรียมจะไปทำ ตอนนี้แบล็คไนฟ์ได้มาหาเขาแล้วพูดว่า “บอส มีคนชื่อสแตนลีย์ คาร์ลเบิร์ตอยู่นอกฟาร์มปลา เขาบอกว่ามีธุระกับคุณครับ”
สแตนลีย์ คาร์ลเบิร์ต? ฉินสือโอวเกาหัว ชื่อนี้ไม่คุ้นหูเลยนี่นา แบล็คไนฟ์พูดเตือนความจำให้เขาต่ออีกว่า “เจ้าหมอนั่นบอกว่าเขาคือเถ้าแก่ของร้านอาหารมิชลินระดับสามดาวครับ”
ตอนนี้ท่านชายฉินนึกออกแล้ว ก็คือเชฟใหญ่กับเถ้าแก่ร้านอาหารมิชลินสามดาวในรัฐโนวาสโกเชียร้านนั้นนั่นเอง ตอนนั้นที่เขาไปประมูลฟาร์มปลาคาร์เตอร์ได้พบกับหมอนี่เข้า แต่ว่าเขามาหาตัวเองทำไม? ระหว่างพวกเขาไม่น่าจะมีอะไรข้องเกี่ยวกันนี่?
………………………