ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1730 แนะนำตัวเอง

บทที่ 1730 แนะนำตัวเอง

ฉินสือโอวไปรับสแตนลีย์ที่หน้าประตูฟาร์มปลามาข้างในด้วยความสงสัยเต็มหัว

การเจอกันครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งที่แล้ว เชฟใหญ่คนนี้ได้เปลี่ยนการแต่งกายใหม่ เสื้อเชฟสีขาวได้เปลี่ยนไปเป็นชุดสูทสีเงิน ดูมีชีวิตชีวามาก ดูไม่เหมือนเชฟแต่เหมือนมือดีในโลกธุรกิจมากกว่า

สแตนลีย์เดินไปพลางชื่นชมทิวทัศน์ของฟาร์มปลาไปพลาง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมเคยติดตามทวิตเตอร์ของคุณกับของเมืองนี้มาก่อน มีคนมากมายที่บอกว่าทิวทัศน์ในฟาร์มปลาของคุณสวยงามดั่งรูปวาด ตอนนี้พอได้มาเห็นเองกับตาแล้ว สมคำร่ำลือจริงๆ ครับ”

ฉินสือโอวพูดอย่างถ่อมตนว่า “นั่นน่ะเพราะทุกคนกรุณากับผมเท่านั้นครับ ความจริงแล้วของที่ดีกว่าฟาร์มปลาเป็นอาหารทะเลนะครับ มื้อกลางวันนี้คุณอยากทานอะไรครับ? ผมไปจับมาให้คุณ พวกเราทำการเตรียมวัตถุดิบไว้ก่อน พอถึงตาคุณแสดงฝีมือจะได้สะดวกครับ”

สแตนลีย์จ้องตาโตไปที่เขา เห็นทีเขาคงจะไม่เคยเจอคนที่ซื่อสัตย์และตรงไปตรงมาแบบนี้มาก่อนแน่เลย

ฉินสือโอวหัวเราะเหอๆ ออกมา รีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “โอเค ดูเหมือนว่ามุกของผมจะไม่สนุกแล้ว งั้นไม่ทราบว่าคุณมาหาผมนี่มีเรื่องอะไรครับ?”

เขาเชิญให้สแตนลีย์นั่งลงบนเก้าอี้เอนใต้ร่มไม้ จากนั้นก็กลับไปเตรียมไอซ์ไวน์ ไอซ์ไวน์ที่คุณลุงฮิคสันหมักในครั้งนี้มีล็อตหนึ่งที่ปริมาณแอลกอฮอล์ต่ำสามารถนำมาเป็นเครื่องดื่มได้ กลิ่นหอมอบอวน อร่อยกว่าน้ำผลไม้มาก

สแตนลีย์ดื่มไปคำหนึ่งแล้วก็ยกคิ้วขึ้นมา ชูนิ้วโป้งบอกว่า “ไวน์นี่รสชาติดีมากเลยครับ นึกไม่ถึงว่าคุณฉินยังเป็นนักหมักไวน์ฝีมือดีด้วยนะครับ ถ้ามีโอกาสผมคงต้องมาขอคำแนะนำหน่อยแล้ว ความจริงแล้วผมก็ชอบเหล้าหมักมากนะครับ เหล้าที่ร้านอาหารของผมใช้เกือบจะทั้งหมดเป็นเหล้าที่ผมหมักเองทั้งนั้นเลย”

ฉินสือโอวคิดในใจว่าเขาหมักเป็นแค่เบียร์เท่านั้นแหละ ไวน์และไอซ์ไวน์ไม่ได้เรื่องเลย เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องพึ่งคุณลุงฮิคสัน

พูดคุยเรื่อยเปื่อยกันไปสักพัก ในที่สุดแสตนลีย์ก็พูดถึงเหตุผลที่เขามาว่า “คุณฉิน ผมได้ยินมาว่าคุณกับตระกูลฮิลตันได้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกัน และคุณกำลังจะเปิดแบรนด์ร้านอาหารหนึ่งในตระกูลฮิลตันด้วยใช่ไหมครับ?”

พอดีกับที่ฮิลตันคนน้องวิ่งผ่านมาพอดี ช่วงนี้เธอชื่นชอบในความฉลาดของหู่จือและเป้าจือ จึงวิ่งมาเรียกหู่จือกับเป้าจือให้ไปจับปูกับเธอแถวริมทะเลโดยเฉพาะ เจ้าแลบราดอร์ไม่อยากเล่นกับผู้หญิงคนนี้ พวกเขาสะบัดหางให้กับคุณพ่อฉิน เสียดายคุณพ่อฉินไม่ได้ปกป้องพวกเขา แต่กลับปล่อยให้ฮิลตันคนน้องลากพวกเขาไปต่อหน้าต่อตา

จะไม่รักคุณพ่อเท่าเดิมอีกแล้ว พวกแลบราดอร์คิดอย่างไม่พอใจ

เมื่อเห็นฮิลตันคนน้อง สแตนลีย์แปลกใจมาก พูดว่า “ตระกูลฮิลตันเสียแม้กระทั่งลูกสาวให้กับคุณเลยเหรอครับ?”

“หมายความว่าอย่างไรครับ?” ฉินสือโอวถามด้วยความสงสัย

“ก็คือ คุณหนูเล็กของตระกูลฮิลตันหลงใหลในตัวคุณแล้วใช่ไหมครับ?” สแตนลีย์พูดด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉา

ฉินสือโอวปัดมืออย่างทำอะไรไม่ได้แล้วพูดว่า “คุณคิดผิดแล้วครับ เป็นเพื่อนของผมคนหนึ่ง ชายชาตรีคนหนึ่งครับ ยัยคนนี้รู้สึกดีกับเขา จึงตามมาอยู่ที่ฟาร์มปลาของผม เธอกับผมไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลยครับ”

สแตนลีย์โล่งอกพูดว่า “ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง เมื่อกี้ผมตกใจแย่เลย”

ฉินสือโอวจ้องมองเขาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร พูดว่า “เมื่อกี้คือคุณสงสัยในเสน่ห์ของผมเหรอครับ?”

สแตนลีย์รีบส่ายหัว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงโอเวอร์ว่า “ไม่ใช่ ไม่ใช่แน่นอนครับ ผมจะไปสงสัยในเสน่ห์ของคุณได้อย่างไรครับ? ความจริงสิ่งที่ผมชื่นชมที่สุดก็คือความมั่นคงในรักของคุณนะครับ หากว่าสิ่งที่ผมเดาไว้เป็นความจริง ก็แสดงว่าคุณไม่ได้มั่นคงขนาดนั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงคงน่าเศร้าน่าดู”

ฉินสือโอวรู้สึกว่าเจ้าหมอนี่พูดเป็น ไม่ยอมรับไม่ได้ คำพูดของเขาทำให้ท่านชายฉินรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

ในเมื่อพูดถึงเรื่องการร่วมมือกันของเขากับตระกูลฮิลตัน งั้นฉินสือโอวก็พอรู้ว่าเขาจะมาทำไมแล้วล่ะ แต่ว่าเขาแปลกใจนิดหน่อย สแตนลีย์มีร้านอาหารมิชลินระดับสามดาวอยู่ร้านหนึ่งแท้ๆ เขาจะสนใจในร้านอาหารแฟรนไชส์แบบนี้เหรอ?

เชฟหลักของร้านอาหารมิชลินระดับสามดาว ซึ่งก็คือราชาแห่งโลกอาหารและเครื่องดื่ม พวกเขาไม่ชายตามองร้านอาหารแฟรนไชส์ที่เน้นกระจายการขายแบบนี้หรอก แม้ว่าโรงแรมฮิลตันจะค่อนข้างมีระดับ แต่พวกเขาก็น่าจะไม่สนใจถึงจะถูก

คำพูดของสแตนลีย์หลังจากนั้นได้ปัดความคิดของเขาตกไป เขากระแอมทีหนึ่ง พูดว่า “คุณฉิน ผมอยากจะแนะนำตัวเองก่อน ผม สแตนลีย์ คาร์ลเบิร์ต มาจากตระกูลอาหารคาร์ลเบิร์ตในอิตาลี เคยเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยไลเดินประเทศเนเธอร์แลนด์สาขาการจัดการโรงแรมจากนั้นก็ได้เข้าเรียนปริญญาโทสาขาที่เกี่ยวข้องในมหาวิทยาลัยลอนดอนในอังกฤษด้วย…”

ฉินสือโอวตั้งใจฟังการแนะนำของสแตนลีย์ เขาทำการแนะนำประวัติการศึกษาและประสบการณ์การทำงานของเขาจำนวนหนึ่ง อย่างเช่นหลังจากเรียนจบแล้วเคยเป็นเทรนเนอร์ระดับอาวุโสในโรงแรมฮิลตันและเคยเป็นผู้อำนวยการให้กับโรงแรมนานาชาติแมริออทสาขาซาอุดีอาระเบียในตะวันออกกลางอีกด้วยเป็นต้น

เขาฟังแล้วก็รู้สึกว่าแปลกๆ สแตนลีย์ประสบการณ์ของเจ้าหมอนี่ทั้งมากมายและตื่นตาตื่นใจ เขาเคยเป็นผู้บริหารระดับสูงของโรงแรมระดับสูงหลายที่ อย่างบริษัทแมริออทอินเตอร์เนชันแนลที่เขาเคยทำงานก็เป็นหนึ่งในบริษัทด้านอุตสาหกรรมโรงแรมอันดับหนึ่งของโลก ในประเทศอเมริกาและประเทศอื่นๆ อีก 69 ประเทศบริษัทนี้มีตำแหน่งการจ้างงานกว่า 2800 ตำแหน่งและจ้างพนักงานกว่า 128,000 คน ผลประกอบการต่อปีคือสี่หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

แต่ว่า เขาน่าจะเป็นเชฟที่ฝีมือดีสิ ไม่อย่างนั้นจะมาเปิดร้านอาหารมิชลินระดับสามดาวได้อย่างไร?

พอเห็นสายตาที่สงสัยของเขาแล้ว สแตนลีย์ก็ชะงักไป แล้วพูดว่า “ผมเข้าใจคุณครับ คุณฉิน คุณคงสงสัยอย่างมาก ในเมื่อตำแหน่งของผมล้วนเป็นระดับผู้บริหาร แล้วทำไมถึงมาเป็นเถ้าแก่และเชฟของร้านอาหารมิชลินสามดาวได้ใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้าพูดว่า “ใช่ครับ พูดตามตรงผมแปลกใจมากครับ คุณเป็นอัจฉริยะเหรอครับ?”

สแตนลีย์หัวเราะแห้งๆ พูดว่า “ไม่ใช่แบบนั้นหรอกครับ ความจริงร้านอาหารระดับสามดาว เป็นมรดกที่พ่อของผมทิ้งไว้ให้ครับ ก่อนหน้านี้พ่อผมเป็นคนบริหารมาโดยตลอด หลังจากท่านเสียชีวิตแล้วก็ส่งต่อมาให้ผม”

ฉินสือโอวพูดว่า “แต่นี่ก็ไม่สมเหตุสมผลอยู่ดีนะครับ แม้ว่ามิชลินจะทำการประเมินร้านอาหารกันทุกปี แต่หากว่าเกิดกรณีพิเศษอย่างเช่นเปลี่ยนเจ้าของ พวกเขาก็จะทำการประเมินใหม่นี่ครับ อีกอย่างผมเคยชิมฝีมือการทำอาหารของคุณมาแล้ว พิเศษมากจริงๆ นะครับ”

สแตนลีย์ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ผมต้องอธิบายนิดหน่อยครับ การประเมินของมิชลินไม่ได้ประเมินแค่ฝีมือการทำอาหารของเชฟเท่านั้น ยังมีวิสัยทัศน์ในการบริหารร้านอาหารและการสรรค์สร้างวัฒนธรรมอาหารจำพวกนี้ด้วยครับ ในด้านเหล่านี้ผมถึงเกณฑ์ทั้งหมดเลย ฝีมือของผมก็ถือว่าไม่เลว ผู้ชายทุกคนในตระกูลคาร์ลเบิร์ตล้วนเป็นนักทำอาหารกันทั้งนั้น แต่ว่า ผมไม่อยากเป็นเชฟ!”

คำพูดสุดท้ายเขาแทบจะพูดออกมาพร้อมกับกัดฟันเลย “ผมไม่อยากใส่เสื้อที่เต็มไปด้วยน้ำมันอยู่ในครัว สูดกลิ่นน้ำมันแล้วก็ต่อสู้ให้กับกิเลสการกินของคนอื่น! ผมเกลียดงานแบบนี้ หากไม่ใช่เพราะพ่อที่เสียไปแล้วของผม ผมไม่มีทางกลับมาสืบทอดร้านอาหารของเขาแน่ครับ!”

ฟังถึงตรงนี้ ฉินสือโอวเข้าใจความหมายของเขาคร่าวๆ แล้ว ถามว่า “งั้นที่คุณมาที่นี่ ก็เพื่อมาแนะนำตัวเอง อยากจะมาร่วมบริหารร้านอาหารต้าฉินกับผมใช่ไหมครับ?”

สแตนลีย์พยักหน้า แล้วทำการขอโทษก่อนว่า “ต้องขอโทษจริงๆ นะครับคุณฉิน เมื่อกี้ผมเผลอตัวไปหน่อย หวังว่าคุณจะสามารถเข้าใจถึงความมุ่งมั่นในหน้าที่การงานของผู้ชายคนหนึ่งนะครับ”

จากนั้นเขาก็จิบไอซ์ไวน์อีกคำแล้วพูดต่อว่า “ใช่ครับ ผมอยากจะมาสมัครตำแหน่งผู้บริหารของร้านอาหารของคุณ ผมรอโอกาสนี้มาสองปีแล้ว ในที่สุดวันที่ผมรอก็มาถึงแล้ว!”

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท