ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1736 พาม้าไปว่ายน้ำ

บทที่ 1736 พาม้าไปว่ายน้ำ

กลางคืนฉินสือโอวนอนกับอ้วนโรจริงๆ ด้วย อากาศในคืนฤดูร้อนอุณหภูมิค่อนข้างสูง เขาจึงกางเตนท์นอนในสวนแทน อ้วนโรมานอนเบียดกับเขา จากนั้นแมวหูพับของโดนัลด์สองตัวก็มาร่วมวงด้วย พวกเขากลายเป็นทีมเล็กๆ ทีมหนึ่งไปเลย

ตอนเช้าฟาร์มปลาของทั้งสองได้ทำการโปรยอาหารปลาอีกครั้ง ผลตอบรับยังคงดีเหมือนเดิม เมื่อเป็นแบบนี้ฉินสือโอวก็วางใจแล้ว เขาจับมือกับทั้งสองคนบอกว่าถ้ามีโอกาสจะมาเที่ยวเล่นที่นี่อีก จากนั้นก็กลับไปที่เกาะแฟร์เวล

ต้นเดือนสิงหาคม เรื่องสิทธิความเป็นเจ้าของในสมบัติที่จมลงไปของเรือขวานดำ ทางศาลได้ทำการเปิดศาลครั้งที่สองแล้ว

การคาดเดาของเออร์บักถูกต้อง ศาลแคนาดาไม่ได้เอนไปทางรัฐบาลสเปน ดูเหมือนว่ากระทรวงการต่างประเทศของสเปนจะไม่ได้อะไรกลับไปด้วย เพราะการตัดสินของศาลในครั้งนี้คือให้ยกฟ้องคดีของทางสเปน

ตามกฎข้อบังคับของแคนาดาแล้ว ในคดีระหว่างประเทศ รัฐบาลสเปนที่เป็นฝ่ายโจทก์สามารถฟ้องได้อีกหนึ่งครั้ง แต่สงสัยคงรู้ว่าตัวเองไม่มีโอกาสแล้ว ทางรัฐบาลสเปนจึงไม่ได้ฟ้องต่อ คดีนี้จึงปิดฉากลงแบบนี้ไป สมบัติที่จมลงไปกับเรือขวานดำที่มีมูลค่ามากกว่าสองพันล้านได้ถูกเก็บไว้ที่แคนาดา

เพราะคดีความเป็นเหตุ ทำให้มูลค่าของสมบัติพวกนี้สูงขึ้นไปอีก เบลคบอกว่าตอนนี้ราคาน่าจะเฉียดสามพันล้านแล้ว เพราะเขาได้รับการเสนอราคามาแล้ว มาจากเหล่าเศรษฐีรัสเซีย ประเทศจีน และตะวันออกกลางที่ล้วนแสดงออกว่าสนใจ

สำหรับจุดจบแบบนี้ ฉินสือโอวได้คาดคิดไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ตื่นเต้นมาก แม้ว่าจะเป็นสามพันล้าน แต่หลังจากจ่ายภาษีไปแล้วเงินที่ได้รับจริงๆ มากสุดก็แค่แปดร้อยหรือเก้าร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น

เงินจำนวนนี้สำหรับคนส่วนมากแล้วถือเป็นเงินจำนวนมากก้อนหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ทั้งชีวิตยังไม่สามารถหาเงินได้หนึ่งเปอร์เซ็นต์ของเงินจำนวนนี้เลย แต่สำหรับฉินสือโอวแล้ว เงินพวกนี้ไม่สำคัญ หากว่าร้านอาหารต้าฉินของเขาสามารถไปทั่วโลกได้เหมือนกับที่วางแผนไว้แล้วล่ะก็ งั้นกำไรต่อเดือนก็คือหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว!

หลังผ่านการตรวจสอบจากนักสืบหลายสำนักแล้ว พบว่าเบื้องหลังของสแตนลีย์ขาวสะอาด เขากับตระกูลมอร์รี่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันแม้แต่นิด

เจ้าหมอนี่ฉลาดมาก เหมือนเขาจะรู้ว่าถ้าตัวเองได้เป็นซีอีโอของร้านอาหารต้าฉินแล้วฉินสือโอวจะเน้นเรื่องอะไรที่สุด เขาไม่ได้ติดต่อกับผู้จัดจำหน่ายอาหารทะเลทั้งหมดเลย ก่อนหน้านี้ร้านอาหารของเขาก็ใช้เพียงแต่ผลิตภัณฑ์จากอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินเจ้าเดียวเท่านั้น

เมื่อเป็นแบบนี้ ฉินสือโอวจึงเอาความคิดเรื่องแผนการร้ายวางไว้ก่อน แล้วทำการจ้างสแตนลีย์ให้เป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการดำเนินงานของร้านอาหารต้าฉินอย่างเป็นทางการ แน่นอนว่า ตอนที่ทั้งสองฝ่ายทำการเซ็นสัญญากัน สแตนลีย์ก็ได้ลงมือทำอาหารอีกมื้อหนึ่งด้วย ครั้งนี้สำหรับอาหารเย็น แถมคนที่มาร่วมด้วยยังมากกว่าเดิมอีก

สแตนลีย์สาบาน เขาจะต้องทำให้ศูนย์การดำเนินงานหลักของร้านอาหารต้าฉินอยู่ที่ทวีปยุโรปและเอเชียให้ได้ เท่านี้ก็จะได้ไม่ต้องอยู่ที่อเมริกาเหนือแล้ว เขาดูออก ขอแค่ฉินสือโอวอยู่ไม่ไกลพอ เขาก็คือเชฟส่วนตัวของฟาร์มปลาต้าฉิน นี่น่ะแย่กว่าการดูแลร้านอาหารมิชลินสามดาวมากเลย

ทุกอย่างดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น ทางเมืองได้เตรียมจัดกิจกรรมสงครามผู้กล้าอย่างเต็มที่ บรรยากาศของงานฉลองได้เริ่มมีให้เห็นเรื่อยๆ ฉินสือโอวใช้งานบอลลูนของตัวเองอีกครั้ง พอบอลลูนขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว บรรยากาศของงานฉลองก็ยิ่งคุขึ้นมา

สุดท้ายฉินสือโอวก็ยังเลือกที่จะแต่งตัวเป็นเทพโพไซดอน โพไซดอนไม่เพียงแต่สามารถควบคุมท้องทะเลได้เท่านั้น ยังสามารถแสดงวีรกรรมบนบกได้อีกด้วย ในตำนานได้กล่าวไว้ว่าเขาสามารถควบม้าขนทองกีบทองแดงไปบนทะเลได้ ในทะเลฉินสือโอวมีวาฬหัวทุยให้ขี่ อย่างนี้แล้วม้าขนทองกีบทองแดงสามารถใช้ให้เป็นพร็อพบนบก แค่นี้เขาก็ขึ้นบกได้แล้ว

แน่นอนว่า หน้าที่ของม้าขนทองกีบเท้าทองแดงได้ตกเป็นของเปากงและตี้หลู ม้าสามตัวที่โพไซดอนควบในท้องทะเล ท่านชายฉินใช้ม้าสองตัวบวกกับกวางอูฐแทน รู้สึกว่าเท่เหมือนกัน

เพื่อที่จะให้ชุดคอสตูมของตัวเองเต็มไปด้วยความโดดเด่น ท่านชายฉินถึงกับช่วยกันคิดบทแสดงแบบเต็มรูปแบบพร้อมกันกับพวกชาวประมงด้วย เริ่มจากเขาขี่วาฬหัวทุยวนไปรอบเกาะหนึ่งรอบก่อน จากนั้นค่อยหยุดตรงจุดที่เป็นท่าเรือของเมือง จากนั้นให้ตี้หลู เปากงและปอหลัวทั้งสามตัวรออยู่ตรงชายทะเล พวกมันลากรถเลื่อนหิมะไว้ ถึงเวลาตอนที่ฉินสือโอวออกจากตัวของวาฬหัวทุยไปที่รถลากเลื่อนหิมะแล้ว ก็ให้เจ้าสามตัวนั้นลากเขาออกมาจากทะเล…

ตามแผนที่วางไว้ ช่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ฉินสือโอวตัดสินใจว่าจะทำตามนี้เลย

แต่ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างยาก นั่นก็คือตี้หลูกับเปากงจะต้องว่ายน้ำเป็นด้วย ห้ามเป็นเหมือนพวกหมาป่าขาวที่กลัวทะเลเด็ดขาด หากว่าพวกมันไม่กล้าลงน้ำ งั้นก็จบเลย เรื่องก็ไปต่อไม่ได้แล้ว

ดังนั้น ท่านชายฉินจึงทำการฝึกให้พวกม้าขนทองกีบทองแดงลงทะเลแต่เนิ่นๆ ปอหลัวไม่น่าห่วง กวางอูฐล้วนว่ายน้ำเก่งอยู่แล้ว ส่วนปอหลัวยังเป็นมือดีในนั้นด้วย ตอนนี้ก็รอดูแต่ตี้หลูกับเปากงแล้ว

“ม้าว่ายน้ำเป็นไหม?” ฉินสือโอวเกาหัวถามพวกชาวประมง เขายังไม่เคยเห็นม้าไปว่ายน้ำในทะเลเสียด้วยสิ

ก่อนหน้านี้เขาไปหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตมา ม้าแข่งกับม้าทำศึกแทบจะทุกตัวจะว่ายน้ำเป็น โดยเฉพาะม้าแข่ง ในปัจจุบันการว่ายน้ำคือการฝึกร่างกายของม้าแข่งไปแล้ว เพราะเห็นว่าสามารถฝึกฝนการทำงานของปอดและหัวใจของม้าได้ นอกเหนือจากนี้ หากว่าข้อเท้าม้าได้รับบาดเจ็บ หากต้องการจะรักษาความสามารถในการออกกำลังของพวกมันไว้ ก็ต้องพาพวกมันไปว่ายน้ำ

แต่ในเน็ตยังมีบอกอีกว่า ม้าพวกนี้ไม่ได้ว่ายน้ำเป็นมาตั้งแต่เกิด แต่เพราะมีคนสอนให้ว่ายเป็น เมื่อเป็นแบบนี้ท่านชายฉินก็เริ่มเคว้งแล้ว เขาไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครดี จึงมาถามพวกชาวประมงเสียเลย

เมื่อได้ยินคำถามของเขา บูลก็พูดเหมือนสมเหตุสมผลว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นสิครับ ไม่อย่างนั้นพวกม้าน้ำม้าทะเลจะมาจากไหนล่ะ? พวกมันเข้าไปในแม่น้ำทำให้มีม้าน้ำ เข้าไปในทะเลทำให้มีม้าทะเล ใช่ไหมล่ะ? ”

คำตอบนี้แทบจะทำให้ฉินสือโอวถุยข้าวออกมา แต่ดันมีชาวประมงที่เห็นด้วยแล้วพยักหน้าตามซะงั้น

มาถึงแคนาดาหลายปีแล้ว มีบางครั้งที่ฉินสือโอวมักจะได้รับของที่น่าสนใจจำพวกหนึ่ง ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากมายที่ถูกมองว่าเป็นเพียงความรู้ทั่วไปในประเทศจีน แต่ว่าในแคนาดา กลับกลายเป็นข้อเท็จจริงที่รู้กันแค่คนส่วนหนึ่งเท่านั้น

อย่างเช่นทฤษฎีการวิวัฒนาการของมนุษย์ เด็กในประเทศจีนยังรู้เลยว่าคนวิวัฒนาการมาจากสัตว์ แต่เนื่องด้วยความเชื่อที่แตกต่างคนแคนาดาจึงไม่ยอมรับในจุดนี้ ถึงขั้นว่าในเนื้อหาการเรียนรู้ของหลายๆ พื้นที่ก็ไม่มีข้อมูลในข้อนี้ด้วย

เห็นว่ารัฐบีซีเคยมีโรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่งที่นำทฤษฎีการวิวัฒนาการนี้ใส่เข้าไปในเนื้อหาการเรียนรู้ด้วย สุดท้ายได้ถูกพ่อแม่ของเด็กในพื้นที่ส่งเรื่องฟ้องโรงเรียนไปถึงศาล เพราะคิดว่าโรงเรียนมีเจตนาจะชักนำและบิดเบือนความเชื่อของพวกเด็กๆ ไปในทางที่ผิด ที่น่าสนใจก็คือ ทางศาลได้ตัดสินว่าโรงเรียนแพ้คดีด้วย สุดท้ายเนื้อหาที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก็ได้ถูกยกเลิกใบอนุญาตให้นำมาใช้อีกด้วย

นอกเหนือจากนี้ยังมีความรู้ทั่วไปอีกหนึ่งข้อที่คนแคนาดามากมายไม่รู้ หรืออย่างน้อยก็คนในเกาะแฟร์เวลที่ไม่รู้มีเยอะมาก นั่นก็คือหลังจากน้ำกลายเป็นน้ำแข็งแล้วปริมาตรของมันจะเพิ่มมากขึ้น ฉินสือโอวรู้สึกว่า ฤดูหนาวของเซนต์จอห์นนั้นหนาวมาก พบเห็นน้ำแข็งได้บ่อย คนท้องถิ่นต้องรู้กันหมดถึงจะถูก แต่กลับไม่ใช่อย่างนั้น เหล่าชาวประมงยังคงยืนยันแน่วแน่ว่าร้อนขยายเย็นหด หลังจากน้ำถูกความเย็นทำให้เป็นน้ำแข็งแล้วจะหดตัวลง…

ฉินสือโอวไม่คาดหวังว่าเจ้าพวกนี้จะให้คำตอบเขาได้ เขาปล่อยตี้หลูกับเปากงออกมา แล้วพาพวกมันเดินไปทางทะเล

ในที่สุดก็ได้เป็นอิสระแล้ว ม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์สองตัวออกมาแล้วก็ดีใจสุดขีด ตี้หลูยังดี มันเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง นิสัยจึงเรียบร้อย แต่เจ้าเปากงนี่สิที่ดวงตาล่อกแล่กไปมา มองสำรวจรอบทั้งสี่ทิศเหมือนกำลังวางเส้นทางหนีอย่างนั้นแหละ

ฉินสือโอวเห็นหน้าตาเจ้าเล่ห์ของเปากงแล้วก็หัวเราะออกมา พูดว่า “พอแล้วน่า เดี๋ยวฉันพาพวกนายไปดูโลกที่กว้างขวางกว่าผืนดินเอง แผ่นดินกว้างขวางมีที่ให้แสดงฝีมือมากมาย พวกนายต้องแสดงฝีมือสุดฤทธิ์เลยนะ”

……………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท