ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1738 เสน่ห์ของกิจกรรม

บทที่ 1738 เสน่ห์ของกิจกรรม

ร่มชูชีพเหินไปในอากาศอย่างช้าๆ เหมือนขนมสายไหม ฉินสือโอวและแบล็คไนฟ์เงยหน้ามองอยู่ตรงนั้น ฉินสือโอวกระโดดและก่นด่าพวกเด็กๆ เป็นระยะๆ เด็กๆ พวกนี้ชอบทำให้คนคอยเป็นห่วงอยู่เรื่อยสินะ!

เห็นได้ชัดว่าร่มชูชีพลอยไปทางทะเล แบล็คไนฟ์ส่ายศีรษะแล้วพูดขึ้นว่า “พวกเขาไม่มีประสบการณ์ จริงๆ แล้วถ้าร่อนลงบนพื้นทรายจะดีกว่า ตราบใดที่ไม่ใช่มือใหม่ แล้วร่อนลงบนพื้นทรายแล้วมีทรายเป็นตัวรองรับจะปลอดภัยกว่าน่ะ”

ฉินสือโอวบ่นต่อ “บ้าเอ๊ย ไอ้พวกเด็กน้อยพวกนี้เป็นมือใหม่ทั้งนั้น พวกเขาไม่กลัวตายจริงๆ เลยนะเนี่ย!”

แบล็คไนฟ์หันไปมองเขาแล้วไม่พูดอะไร แต่สีหน้าของเขามีความหมายอย่างอื่น

ฉินสือโอวนายใหญ่รู้สึกโมโห จึงพูดว่า “นายหมายความว่าไง? นายไม่เชื่อคำพูดฉัน?”

แบล็คไนฟ์พูดอย่างช้าๆ ว่า “บอส บอสก็รู้ว่าผมนับถือบอสมากที่สุด ผมเชื่อคำพูดที่บอสบอกทั้งหมด แต่ก็ใช่ว่าจะถูกเสมอไป ผมกล้าพนันเลยว่า ตอนที่พวกเขาอยู่ที่ชิคาโก้ ต้องเคยโดดร่มแน่ๆ ชิคาโก้เป็นเมืองแห่งลม เพราะฉะนั้นโดดร่มที่นั่นเหมาะที่สุด”

พอได้ยินแบบนี้ฉินสือโอวถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ จะว่าไปก็ถูกต้อง แม้ว่าพวกเด็กๆ เหล่านี้จะซุกซน แต่พวกเขาก็ไม่อยากตาย ในเมื่อพวกเขาเลือกกระโดดลงมาด้วยวิธีนี้ ก็แสดงพวกเขามีประสบการณ์อย่างเห็นได้ชัด

ร่มชูชีพแต่ละอันค่อยๆ เข้าใกล้ทะเล หลังจากผ่านไปสักระยะ ฉินสือโอวก็มองเห็นเด็กพวกนี้ชัดเจนขึ้น เชอร์ลี่ย์และกอร์ดอนร่อนลงก่อนเพื่อน โบกมืออยู่บนท้องฟ้าให้เขาอย่างมีชัย

ฉินสือโอวโกรธมากที่พวกเขากล้ามาเล่นกีฬาผาดโผนประเภทนี้โดยไม่ปรึกษาเขาก่อน เขาต้องสั่งสอนพวกเขาหนักๆ ในภายหลัง

หลังจากได้เห็นอย่างชัดเจนเขาก็พบว่าเด็กเหล่านี้มีความแตกต่าง เท้าของพวกเขากำลังเหยียบอยู่บนบอร์ดสกีที่ยาวและกว้าง ดังนั้นเมื่อพวกเขาลงสู่ทะเล พวกเขาก็ไม่ได้ตกลงไปในน้ำตรงๆ แต่กลับเหยียบอยู่บนบอร์ดโต้คลื่นลูกใหญ่และพุ่งไปข้างหน้าด้วยแรงของคลื่น

ในขณะเดียวกัน พวกเด็กๆ ก็ปลดหัวเข็มขัดร่มชูชีพออก และร่มชูชีพอันใหญ่ก็ถูกลมทะเลพัดลอยไปด้านหลัง ในขณะที่แต่ละคนทรงตัวบนบอร์ดโต้คลื่นและร่อนไปข้างหน้า อีกอย่างที่พวกเขาใช้เป็นกระดานโต้คลื่นไฟฟ้า ไม่เช่นนั้นคงไม่ได้เร็วและเสถียรขนาดนั้น

“เย้ เย้ เย้!” พวกเด็กๆ ต่างส่งเสียงเชียร์ขณะโต้คลื่นไปด้วย เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเชอร์ลี่ย์ ม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ต่างก็กระดิกหูและเงยหน้ามองด้วยความตื่นเต้น เมื่อเชอร์ลี่ย์ก้าวขึ้นไปยืนบนสกีบอร์ดเผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่งดงามของเธอ พวกมันทั้งสองก็ตื่นเต้นรีบขยับกีบของมันวิ่งลงทะเลไป…

ฉินสือโอวมองดูฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ ร่างของเปากงและตี้หลูค่อยๆ จมหายลงไปในน้ำ หลังจากนั้นค่อยๆ ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ กีบของพวกมันขยับอย่างรวดเร็ว ร่างใหญ่ของพวกมันก็ลอยอยู่บนผิวน้ำทะเลด้วยการพยุงตัว ถือได้ว่าทักษะการว่ายน้ำของพวกมันนั้นยอดเยี่ยมมาก!

“พวกมันสองตัวว่ายน้ำเป็นเหรอ?” ฉินสือโอวถามด้วยความโกรธ

แบล็คไนฟ์พยักหน้า “เห็นได้ชัดเลยว่าพวกมันไม่ได้แค่ว่ายเป็นแต่ทักษะการว่ายน้ำยังเป็นเลิศด้วย”

“ว่ายเป็นเมื่อไรกัน? ทำไมฉันถึงไม่รู้”

“ผมว่าเรื่องนี้ต้องถามเชอร์ลี่ย์ซะแล้ว”

พวกเด็กๆ ยืนทรงตัวบนสกีบอร์ดตลอดทางจนพุ่งเข้ามาที่ชายหาด ในที่สุดบอร์ดยาวก็โบยบินไปรอบๆ พร้อมกับทรายเม็ดละเอียด พวกเขาส่วนใหญ่สามารถร่อนลงจอดได้อย่างมั่นคง มีเพียงเสี่ยวชาร์คเท่านั้นที่ไม่มั่นคงและเดินโซซัดโซเซล้มลงบนพื้น

คนที่เหลือชูนิ้วกลางและล้อเลียน พอฉินสือโอวเห็นก็โกรธหูออกควัน ตะโกนว่า “ใครสอนให้พวกนายใช้คำหยาบกัน? ใครสอนให้พวกนายชูนิ้วกลาง?”

เชอร์ลี่ย์กระโดดลงมาจากบอร์ด กอดแขนเขาไว้แล้วเริ่มออดอ้อนด้วยการแกว่งแขนเขาไปมา หลังจากนั้นถามขึ้นว่า “เมื่อกี้พวกคุณทำอะไรกันอยู่เหรอ? หนูเห็นว่าพวกคุณกำลังจะบังคับลูกๆ ของหนู”

ในเมื่อเจ้าม้าสองตัวว่ายน้ำเป็น ฉินสือโอวก็วางใจ เขาพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอก กำลังหยอกเล่นกับเจ้างั่งสองตัวอยู่ จริงสิ ทำไมพวกเราถึงกลับมากันเร็วจัง? แล้วยังเล่นกระโดดร่มด้วย?”

เชอร์ลี่ย์ไม่ได้จะเอาคำตอบของเขาจริงจัง จึงพูดเลี่ยงออกไปว่า “พวกเราคิดถึงคุณแล้วไง คิดถึงคุณนะ นะ นะ นะ…”

กอดแขนของเขาไว้แล้วแกว่งไปมาเหมือนเดิม แกว่งจนจิตใจของฉินสือโอวนายใหญ่เริ่มไม่เป็นสุข โลลิต้าเริ่มเป็นนางมารน้อยๆ แล้ว ถึงแม้ว่าจะใส่ชุดกีฬาโดดร่ม แต่หน้าอกของเธอก็ยังอ่อนนุ่ม

ดึงมือออกมาอย่างใจเย็น ฉินสือโอวจงใจวางท่าเคร่งขรึมแล้วพูดว่า “รีบบอกมา ทำไมพวกเราถึงกลับมาไวขนาดนี้? ไวส์ไม่ได้จะกลับบ้านได้ง่ายๆ…”

ไวส์โบกไม้โบกมือขัดจังหวะคำพูดของเขา แล้วทำสีหน้าจริงจังกว่าพูดขึ้นว่า “อาจารย์ ผมต้องรีบกลับมาฝึกกำลัง ช่วงเวลาที่อยู่บ้านทั้งพ่อและแม่ของผมชอบพาผมไปเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ จนผมไม่มีเวลาฝึกกำลังเลย!”

ฉินสือโอวลอบถอนใจ น่าเสียดายที่เขาไม่ได้เป็นนักยอดฝีมือตัวจริง ไม่เช่นนั้นลูกศิษย์คนนี้คงจะเป็นที่เชิดหน้าชูตาของวงศ์ตระกูลได้จริงๆ ช่างเป็นเด็กที่มีแรงบันดาลใจ เป็นต้นกล้าที่ดีจริงๆ แต่ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของเขาแล้ว

พวกเด็กๆ ที่รีบกลับมากันในเวลานี้ จริงๆ แล้วก็เพื่อสงครามผู้กล้าที่กำลังจะเริ่มขึ้นเร็วๆ นี้ แม้ว่าพวกเขาจะมีความสุขกับชีวิตหรูหราทุกรูปแบบในชิคาโก้ แต่ก็ไม่ได้มีความโดดเด่นอะไร ไม่เหมือนกับสงครามผู้กล้าที่ดึงดูดกว่ามาก

เครื่องบินของครอบครัวบรูซจอดอยู่ที่ท่าอากาศยานนานาชาตินครเซนต์จอห์น สมแล้วที่เป็นนายทุนระดับสูงสุดในอเมริกา วิเวียนจัดเครื่องบินสองลำให้พวกเด็กๆ พวกเขาบินไปที่เมืองเซนต์จอห์นก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นเครื่องบินกีฬาเพื่อเล่นกระโดดน้ำ

เมื่อก่อนตอนที่อยู่ที่ชิคาโก้ พวกเขาเคยเล่นกีฬาประเภทนี้มาก่อน หนุ่มสาวอเมริกาต่างเล่นกันเป็น พวกเขาเล่นกีฬาผาดโผนประเภทเดี่ยวจนเบื่อ ตอนนี้จึงเอากีฬาผาดโผนจำนวนหนึ่งมาผนึกรวมกัน และการกระโดดร่มลงก็เป็นหนึ่งในนั้น

ฉินสือโอวอยากจะบอกว่าวันหลังอย่าเล่นอะไรที่อันตรายแบบนี้เลย แต่คิดไปคิดมาเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา นี่เป็นวิธีการสั่งสอนสำหรับพ่อแม่แบบจีนโดยทั่วไป ซึ่งในแคนาดาต้องปลูกฝังความอยากรู้อยากเห็นและจิตวิญญาณแห่งการผจญภัยของเด็กๆ ชาวแคนาดาให้ความสำคัญกับด้านนี้มาก

แน่นอนว่ามีการเสียชีวิตที่ผิดปกติในหมู่เยาวชนในอเมริกาเหนือมากกว่าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้

พวกเด็กๆ ปรับแต่งอาวุธและชุดเกราะต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา ฉินสือโอวกล่าวว่าความสนุกของสงครามของผู้กล้าอยู่ที่การสร้างอาวุธเกราะด้วยตัวเอง เชอร์ลี่ย์บอกไปตามเหตุผลว่า “ใช่สิ ชุดเกราะของพวกเราออกแบบกันเอง และภาพด้านบนก็เป็นฝีมือพวกเราที่พ่นกันเองด้วย”

ฉินสือโอวมองไปที่ภาพที่น่าเกลียดบนชุดเกราะที่สวยงามแล้วก็อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก ก่อนหน้านั้นเขายังเคยสงสัยว่า ทำไมชุดเกราะที่เจ๋งแบบนี้ถึงมีภาพที่ไม่สวยงามอยู่บนนั้นได้ ตอนนี้เชอร์ลี่ย์ได้ให้คำตอบกับเขาแล้ว

สิ่งที่สำคัญที่สุดในเมืองในเดือนสิงหาคมคือสงครามผู้กล้า เริ่มแรกชาร์คและคนอื่นๆ เสนอขึ้นมาโดยไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อเริ่มจัดอย่างเป็นทางการ ทุกคนก็จริงจังกับมัน

สำหรับชาวเมืองการเปิดตัวกิจกรรมนี้อีกครั้งมีความหมายที่ต่างจากปกติอย่างยิ่ง การเกิดขึ้นของกิจกรรมนี้ถือเป็นยุครุ่งเรืองของเมือง พูดตามตรงก็คือทุกคนไม่มีอะไรทำเมื่อท้องอิ่ม จึงสร้างกิจกรรมเพื่อรำลึกถึงบรรพบุรุษ

ต่อมาเศรษฐกิจของเมืองก็แย่ขึ้น ทุกคนย้ายออกไปและจากไปเหลือเพียงชาวประมงระดับล่าง แค่เลี้ยงดูครอบครัวก็ไม่มีเวลาแล้ว จะมีแรงและเงินสำรองมาเล่นกิจกรรมดังกล่าวได้อย่างไร?

ตอนนี้กิจกรรมได้เริ่มต้นใหม่ นั่นหมายความว่าความมั่งคั่งและความเข้มแข็งของเมืองค่อยๆ ฟื้นตัวและชีวิตของทุกคนก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมีความหมายเป็นพิเศษ

…………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท