ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1739 แขกที่ไม่ได้รับเชิญในฟาร์มปลา

บทที่ 1739 แขกที่ไม่ได้รับเชิญในฟาร์มปลา

ขณะที่ดูข่าวช่วงเย็น ท่าเรือของเมืองเซนต์จอห์นเกิดอุบัติเหตุขึ้น เมื่อเรือสำราญ 10,000 ตันเข้าเทียบท่าเรือ เรือขนส่งขนาดเล็กเร่งความเร็วและพยายามยึดทางน้ำ ซึ่งเรือสำราญก็เร่งความเร็วขึ้นมาเช่นกัน จึงพุ่งเข้าชน ท้ายสุดเรือขนส่งขนาดเล็กก็เสร็จเรียบร้อย

อุบัติเหตุเรือชนกันในทะเลเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก ซึ่งพบได้ยากกว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์บนบกที่มีนับไม่ถ้วน สาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้คือไม่รู้ว่าทำไมเรือขนส่งถึงรีบร้อนขนาดนั้นและต้องการยึดทางน้ำและเข้าสู่ท่าเรือก่อนเวลา

ในความเป็นจริงไม่มีอะไรผิดปกติกับพฤติกรรมของเรือขนส่งนี้มาก ฉินสือโอวเคยเห็นชาร์คขับเรือยอชต์ บางครั้งพวกเขาขับเรือยอชต์ไปที่เมืองเซนต์จอห์น หากมีเรือขนาดใหญ่มากกว่า 5,000 ตันเข้ามาจะเทียบท่าเรือ เขาก็จะเร่งความเร็วเพื่อยึดทางน้ำ

การนำเรือขนาดใหญ่เทียบท่าเรือเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมาก ต้องมีการรายงานต่อกรมศุลกากร มีการยืนยันและการตรวจสอบจากทางศุลกากร เป็นต้น บางลำต้องใช้เวลานานสองถึงสามชั่วโมง ด้วยเหตุนี้เรือที่รออยู่ด้านหลังก็ทำได้เพียงรอเท่านั้น หากมีเหตุฉุกเฉินอะไรก็จะล่าช้าออกไป

ต่อมามีข่าวแจ้งว่า เรือขนส่งลำนี้บรรทุกสัตว์บางชนิด สัตว์เหล่านี้อยู่ในห้องโดยสารนานเกินไปและมีอาการขาดออกซิเจน พวกเขาจึงจำเป็นต้องเทียบท่าเรือเพื่อปล่อยสัตว์ออกมาอย่างเร่งด่วน น่าเสียดายที่เรือลำนี้โชคไม่ดี จึงถูกเรือลำใหญ่เบียดทับ โชคยังดีที่ทางท่าเรือได้ช่วยเอาไว้ทันเวลา จึงไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บถึงตาย

ขณะที่ดูข่าวในโทรทัศน์ไป วินนี่ก็วาดไม้กางเขนบนหน้าอกตัวเองไปด้วย พูดด้วยน้ำเสียงที่ทนไม่ได้ว่า “น่าเสียดายจริงๆ ขอพระเจ้าทรงยอมรับพวกเขาด้วย”

ฉินสือโอวพูดขึ้น “ไม่เป็นไรนะ ที่รัก คุณไม่เห็นเหรอว่าไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและคนตาย”

วินนี่เหลือบมองไปที่เขาทีหนึ่ง “ฉันภาวนาให้สัตว์น้อยบนเรือต่างหาก มานี่สิ เสี่ยวเถียนที่รัก มาภาวนาให้สัตว์น้อยบนเรือกัน พูดตามหม่าม๊านะ”

เถียนกวามองไปที่เธอด้วยความงุนงง คาดว่าคงไม่เข้าใจว่าบนเรือมีสัตว์น้อยอะไรบ้าง แล้วพวกมันเกี่ยวข้องอะไรกับตัวเองด้วย

หลังจากนั้นวินนี่จึงเริ่มอธิบายให้เธอฟังก่อนว่าบนเรือมีสัตว์อะไรบ้าง เธอเรียกหู่เป้าฉงหลัว พวกแมวป่ามาล้อมรอบเถียนกวาไว้ แล้วบอกเจ้าเด็กน้อยว่าบนเรือก็มีสัตว์แบบนี้อยู่ ต่อจากนั้นก็สอนเธอให้ภาวนาต่อพระเจ้า

เวลานี้ฉินสือโอวไม่สามารถออกความคิดเห็นใดๆ ได้ วินนี่กำลังปลูกฝังให้ลูกรู้จักรักและศรัทธาในตัวพระเจ้า ในครอบครัวชาวแคนาดาเด็กๆ จะต้องเรียนรู้ในความศรัทธาทางศาสนาเมื่ออายุสองหรือสามขวบ

วินนี่วาดไม้กางเขน เชอร์ลี่ย์และคนอื่นๆ ก็วาดไม้กางเขน พวกเด็กๆ ยิ่งเคร่งในศาสนา เมื่อเห็นเป็นเช่นนี้ เถียนกวาจึงโยนขนมในมือทิ้งไป รีบขยับมือสั้นๆ ของเธอวาดไปเรื่อยบนหน้าอก

วินนี่จับมือน้อยๆ ของเธอเพื่อที่จะสอน หลังจากนั้นเธอก็ยิ้มกับฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “ที่รัก ลูกสาวของพวกเราเป็นเด็กที่น้อยน่ารักที่ถนัดซ้ายด้วยนะ”

ฉินสือโอวผงะ ถึงค่อยสังเกตเห็นว่าเถียนกวาใช้มือซ้ายวาดไม้กางเขน ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยสังเกตการใช้มือที่ถนัดของลูกสาวเขาเลย เพราะว่าจะกินอะไรก็เป็นเขาและวินนี่ที่ป้อนเอาเป็นส่วนมาก ตอนที่ลูกสาวเล่นแล้วถือโน่นนี่เขาก็ไม่เคยสังเกต ดังนั้นเขาจึงไม่เคยรู้เลยว่าลูกสาวเขาถนัดซ้าย

สีหน้าของวินนี่เต็มไปด้วยความภูมิใจ แถมยังจับมือซ้ายของเถียนกวาเล่นไปมาสักพัก ฉินสือโอวไม่เข้าใจ พูดขึ้นว่า “ทำไมคุณถึงดูดีใจขนาดนั้น? ถนัดซ้ายต้องแก้ให้ถูกนะ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา วินนี่ก็ถามด้วยความประหลาดใจว่า “ทำไมล่ะ? ทำไมพวกเราต้องเปลี่ยนมือที่ถนัดของเธอด้วย? ถนัดซ้ายดีออก คุณไม่รู้หรอกเหรอ คนที่ถนัดมือซ้ายจะมีโอกาสเป็นศิลปินและนักกีฬาสูงกว่ามือขวา”

เชอร์ลี่ย์เห็นด้วยกับวินนี่ “ใช่ค่ะ พาวลิสก็ถนัดซ้าย เขาจะกลายเป็นนักแข่งรถที่ยอดเยี่ยมมาก”

นี่ก็เป็นสิ่งที่ฉินสือโอวไม่เคยสังเกตมาก่อน พาวลิสเป็นคนถนัดซ้ายจริงๆ ด้วย เขาหันไปมอง เป็นจริงดั่งคาด พาวลิสถือมีดด้วยมือซ้ายและถือส้อมด้วยมือขวา ซึ่งแตกต่างจากมารยาทในการรับประทานอาหารของชาวตะวันตกทั่วไป

เมื่อรับประทานอาหารตะวันตกมักจะต้องใช้มีดรับประทานอาหารในการตัดอาหารจำพวกสเต๊ก ดังนั้นจึงต้องใช้มือที่ถนัดเพื่อที่จะได้มีแรง โดยปกติจะถือส้อมมือซ้าย ถือมีดมือขวา แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ได้กำหนดตายตัว เพราะอย่างไรก็ตามถนัดแบบไหนก็ใช้แบบนั้น

ไม่มีอะไรที่จะโต้แย้ง ในเมื่อวินนี่ไม่อยากเปลี่ยนมือที่ถนัดของเถียนกวาก็ไม่ต้องเปลี่ยน เขาอธิบายคร่าวๆ ให้ฟังว่า ที่บ้านเกิดของเขา เด็กที่ถนัดซ้ายจะถูกแก้ให้ถูกต้อง

วินนี่ไม่ค่อยเข้าใจจึงพูดว่า “ถนัดซ้ายดีออก คุณดูสิ ท่าทางของเธอน่ารัก และก็ไม่เหมือนใครด้วย”

ฉินสือโอวไม่อยากเถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงทำได้เพียงสรุปว่าเป็นความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมไป เขาไม่คิดว่าการเปลี่ยนมือที่ถนัดให้ถูกต้องนั้นเป็นปัญหาอะไร เมื่อก่อนเขามีคู่หูตัวเล็กที่ถนัดซ้าย ถ้าไม่แก้จะส่งผลทั้งต่อการหัดเขียนตัวอักษร เพราะตอนเรียนเขาใช้มือซ้ายจับปากกา

ภาษาจีนแตกต่างจากภาษาอังกฤษ เขียนตัวอักษรอังกฤษจะใช้มือซ้ายหรือมือขวาเขียนก็ได้ทั้งนั้น คนส่วนมากมือไหนว่างก็ใช้มือนั้นในการเขียน แต่การเขียนตัวอักษรจีนโดยเฉพาะตอนที่ฝึกเขียนตัวอักษรที่ซับซ้อนอย่างจีนตัวเต็ม ใช้มือซ้ายเขียนจะเปลืองแรงมาก ดังนั้นพ่อแม่ของคนจีนจึงมักจะเปลี่ยนมือที่ถนัดของลูกๆ ตอนที่ยังเด็กๆ ก่อน

เจ้าเด็กน้อยไม่ได้สนใจมือถนัดอะไรทั้งนั้น พอเธอใช้มือซ้ายวาดไม้กางเขนแล้ว ก็ใช้มือขวาหยิบขนมขึ้นมาใหม่ เงยหน้าน้อยๆ มองไปที่วินนี่ ถามด้วยเสียงเล็กๆ ว่า “เถียนกวากินข้าวได้ไหมคะ?”

วินนี่หอมเธอไปหนึ่งที มองไปที่มือขวาของเธอด้วยความแปลกใจ แล้วพูดว่า “แน่นอน กินข้าวกันเถอะ ทำไมถึงเปลี่ยนไปใช้มือขวาแล้วล่ะ?”

เจ้าเด็กน้อยไม่สนใจหรอก ความจริงแล้วเธอใช้ได้ดีทั้งมือซ้ายและมือขวา ใช้มือไหนทำอะไรได้ดีก็ใช้มือนั้น

เหตุการณ์นี้เป็นเพียงเหตุการณ์เล็กๆ ในชีวิต ฉินสือโอวจึงไม่ได้ไปสนใจมันมาก วันต่อมาเขาและชาวประมงออกทะเลในตอนกลางวัน เมื่อพวกเขาว่างพวกเขาก็ไปที่โกดังเพื่อสร้างชุดเกราะของตัวเอง แน่นอนพวกเขาจะช่วยกันสร้างชุดเกราะ เพราะการสร้างชุดเกราะไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว

ซีมอนสเตอร์ยกเตาหลอมเหล็กในโกดัง ชาวประมงแต่ละคนมีชุดเครื่องมือพร้อม ค้อน คีมและประแจเบอร์ต่างๆ เลื่อยไฟฟ้า มีดตะไบ กรรไกรเหล็ก เป็นต้น ต่างยุ่งและขะมักเขม้นกันตลอดทั้งวัน

ฉินสือโอวซื้อหมวกเหล็กมาจำนวนหนึ่ง เขาแบ่งให้กับพวกชาวประมง และใช้ในการทำหมวกกันน็อกที่เข้ากับชุดเกราะ

ยุ่งมาตลอดสองวัน หมวกกันน็อกทำออกมาเกือบเสร็จแล้ว จริงๆ แล้วโพไซดอนไม่ใส่หมวกกันน็อก เขาทำอันหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้ดูหล่อ พอถึงเวลานั้นค่อยเอาไปแขวนที่รถก็โอเคแล้ว ดังนั้นเพื่อเร่งงาน เขาจึงรีบไปที่โกดังเพื่อสร้างอุปกรณ์ของตัวเองแต่เช้าตรู่โดยไม่คำนึงถึงการออกกำลังกายในตอนเช้า

บางทีอาจจะเป็นเพราะอยู่ที่แคนาดามานานแล้ว ฉินสือโอวตอนนี้จึงชอบทำของ DIY

ในขณะที่ติดตั้งเขาควายบนหมวกกันน็อก จู่ๆ เสียงของชาร์คก็ดังออกมาจากอินเตอร์คอม “เฮ้ บอส รีบมาเร็ว ฟาร์มปลามีแขกที่ไม่ได้ต้อนรับมากลุ่มหนึ่งแหละ!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินสือโอวก็รีบวิ่งไปที่ชายหาดพร้อมกับค้อนเหล็ก ชาร์คบอกว่าเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ เขานึกว่ามีคนบุกเข้าไปในฟาร์มปลาผ่านทะเล

หลังจากวิ่งมาถึงชายหาด เขาเห็นว่าพวกชาวประมงไม่ได้ออกทะเลไป แต่ต่างรวมตัวกันอยู่ตรงชายหาดชี้ออกไปทางทะเล แต่เขาก็ไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ในทะเล ดังนั้นจึงปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไป

ช่วงนี้มัวแต่ยุ่งกับการสร้างชุดเกราะ เขาจึงไม่ได้จัดการดูแลอะไรมากกับฟาร์มปลาต้าฉิน ในความเป็นจริงตอนนี้ฟาร์มปลาต้าฉินกำลังมาถูกทางแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรเลย เขาต้องการเพียงแค่จัดการฟาร์มปลาต้าฉินสองและสามเท่านั้น

หลังจากที่จิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงสู่ทะเล ปกคลุมผืนน้ำทะเล จากนั้นเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นกลุ่มผู้บุกรุกแปลกๆ ปรากฏตัวขึ้นที่ชายหาด

…………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท