ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1741 กินเด็ก

บทที่ 1741 กินเด็ก

สิ่งที่น่าสนใจคือ หลังจากที่ฉินสือโอวแบ่งหอยเชลล์และปูตัวเล็กๆ ให้พวกนากทะเลแล้ว ก็แบ่งหอยนางรมที่เปลือกแข็งมากให้พวกมันต่อ นากทะเลเหล่านี้ใช้ฟันกัดดังกึกๆ แต่ก็พบว่ากัดไม่ออก จึงยัดหอยนางรมไว้ใต้รักแร้แล้ววิ่งลงทะเลไป

พวกนากทะเลมุดดำดิ่งลงไปในน้ำจนถึงใต้ทะเล หลังจากนั้นหาของแข็งๆ จำพวกหิน พอหาเจอก็ลอยขึ้นมาด้วยท่ากรรเชียง วางหินบนท้องแข็งของมัน เท้าด้านหน้าหยิบหอยนางรมขึ้นมากระแทกลงไปบนหิน

‘เปาะ เปาะ เปาะ’ เสียงคลื่นทะเลผสมผสานกับเสียงเคาะกระทบหินใสๆ ดังขึ้นมา เสียงนี้เยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะคิดถึงประทัดสีแดงเล็กๆ สมัยเด็กๆ เสียงเหมือนตอนนี้มาก

อาหารจำพวกหอยและปูที่ถูกคลื่นทะเลซัดมาถูกส่งให้พวกนากทะเลพวกนี้จนหมด ฉินสือโอวนายใหญ่ปรบมือเรียกพวกเจ้าแมวน้ำที่ปีนขึ้นมา แมวน้ำลายพิณเหล่านี้นับได้ว่ามีจิตใจดีหน่อย ไม่รู้ว่าอยู่ที่ฟาร์มปลาเห็นฉินสือโอวบ่อยๆ หรือว่าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพลังโพไซดอนที่อยู่ในตัวเขา สรุปก็คือพวกมันยินดีที่จะเข้าหาฉินสือโอวมากขึ้นเรื่อยๆ

หยอกเล่นกับแมวน้ำก็สนุกดี พวกมันเกิดมาก็เลี้ยงลูกบอลได้ จึงชอบใช้หัวของมันเลี้ยงของเล่น ฉินสือโอวเตรียมลูกบอลไว้จำนวนหนึ่ง เขาโยนลงไปในทะเล แมวน้ำพวกนี้ก็รีบกระโดดลงไปในทะเลบุ๋มๆ เหมือนเกี๊ยว แย่งกันใช้หัวเลี้ยงลูกบอลเล่น

เถียนกวาที่จับเอาพี่น้องเฟอเรทเล่นอยู่พอเห็นฉากนี้เธอโยนเพื่อนตัวน้อยทั้งสองออกไปแล้ววิ่งมาทางนี้เหมือนลมกรด หัวเราะคิกคักไปมองดูแมวน้ำเลี้ยงลูกบอลอยู่ริมชายหาด ทั้งหัวเราะไป กระโดดไปและปรบมือไปพร้อมๆ กัน

เห็นลูกสาวมีความสุข ฉินสือโอวจึงยิ้มออกมาเช่นกัน เขาชี้ไปที่เหล่านากทะเลที่ปีนขึ้นมาบนชายหาดแล้วพูดว่า “เถียนกวา ปาป๊าหาเพื่อนกลุ่มใหม่ให้เราเล่นด้วย อยากไปเล่นหรือเปล่า?”

เถียนกวาพยายามเบิ่งตามองเจ้าพวกนากทะเลอย่างพินิจพิเคราะห์ นากทะเลขนฟูตัวกลมเต็มไปด้วยความสุข เด็กๆ ชอบเจ้าขนปุยตัวนี้มากที่สุด เธอดีใจขึ้นมาทันที ร้องเรียกว่า “เป็นน้องชายที่หม่าม๊าคลอดออกมาใช่ไหมคะ? เถียนกวาชอบ!”

ฉินสือโอวยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ พูดขึ้น “เปล่านะ นี่เป็นเพื่อนเล่นที่ปาป๊าหามาให้ลูก น้องชายของเรายังอยู่ในม้องหม่าม๊าอยู่เลย”

เด็กหญิงตัวเล็กๆ วิ่งไปแล้วเอื้อมมือไปจับนากทะเล เจ้านากทะเลที่กำลังกินอยู่พอโดนจับก็ตกใจกลัว โยนหอยนางรมในมือทิ้งไปแล้ววิ่งลงทะเลไป

ความกล้าของนากทะเลมีน้อยมากจริงๆ เพื่อที่จะปกป้องพวกมัน พระราชบัญญัติคุ้มครองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทางทะเลของแคนาดาระบุไว้เป็นพิเศษว่าห้ามทำร้าย ล่าหรือฆ่านากทะเลในบ้านเกิดของนากทะเลในอะแลสกา เจ้าหน้าที่ขององค์กรที่ไม่ได้รับการคุ้มครองไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายรูปคู่กับนากทะเลด้วยซ้ำ เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พวกมันรู้สึกกลัว

แต่เจ้าเด็กน้อยกลับชอบแกล้งเล่นคนที่อ่อนแอกว่าแบบนี้ที่สุด ตอนเด็กๆ เธอวิ่งไล่ตามหู่เป้าฉงหลัว พอโตขึ้นมาหน่อยก็วิ่งไล่ตามพี่น้องเฟอเรท ตอนนี้เริ่มไล่ตามพวกนากทะเลแล้ว

แต่ว่าเธอไม่รู้ว่า หู่เป้าฉงหลัวที่โดนเธอวิ่งไล่ตามจนวิ่งวุ่นไปหมดนั้น เป็นเพราะพวกมันหยอกเธอเล่น พวกมันคิดว่าเจ้านายตัวน้อยนี้เป็นเหมือนเพื่อนเล่นพวกมัน พี่น้องเฟอเรทกลับไม่มีแรงต้าน ไม่อยากถูกรังแกจึงทำได้เพียงวิ่ง

แต่พวกนากทะเลกลับแตกต่างกันออกไป ในสายตาของพวกมันสิ่งมีชีวิตสองขาสั้นๆ ที่อยากจับมันคนนี้เป็นคนนิสัยไม่ดี แต่พวกมันกลับไม่ได้เหมือนเฟอเรทที่ไม่มีแรงต่อต้าน พอเจ้าพวกนากทะเลหายตกใจกลัวก็พบว่ามีแต่เจ้าเด็กน้อยตัวนุ่มคนนี้พยายามจะเป็นอริกัน ดังนั้นจึงปีนขึ้นมาบนฝั่งและวิ่งไปทางเด็กน้อยด้วยความคิดชั่วร้าย

เด็กหญิงตัวเล็กคิดว่าเพื่อนตัวอ้วนและขนยาวเหล่านี้คิดได้แล้วและอยากจะมาเล่นกับเธอ เธอจึงหัวเราะคิกคักและอ้ามือสั้นๆ ออก เพื่อโอบกอดพวกเขา อย่างไรก็ตามเรื่องไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อนากทะเลวิ่งมาหาเธอพร้อมกับกางขาหน้าออก หอยเชลล์และหอยนางรมก็หลุดออกมาจากใต้รักแร้ อุ้งเท้าสองข้างจับพวกมันขึ้นมาและโยนไปที่เด็กหญิงตัวเล็กๆ

‘แคร๊กๆ’ แตกหักวุ่นวายไปหมด ถึงแม้ว่าพวกนากทะเลจะไม่มีความสามารถในการปาข้าวของเหมือนพวกกลุ่มไพรเมต สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่ก็สามารถโยนหอยเชลล์และหอยนางรมออกไปได้ แรงไม่เยอะเพราะพวกมันโยนออกไปเยอะ พอเป็นแบบนี้เด็กหญิงตัวเล็กก็รู้สึกเจ็บปวดและเสียใจหลังจากถูกโยนของใส่ หันหลังกลับและวิ่งร้องไห้โฮ

โชคร้ายที่ทรายมีลักษณะอ่อนนุ่ม พอเธอเหยียบลงไปแล้วว่างเปล่าจึงล้มลงไป พอเป็นแบบนี้เธอก็ยิ่งรู้สึกเหมือนโดนแกล้ง นั่งบนชายหาดเตะขาสั้นๆ สลับไปมา และร้องไห้ฮือ

นากทะเลยืนข้างกันจ้องมองไปที่เด็กหญิงตัวเล็กที่กำลังร้องไห้อยู่ที่นั่นด้วยดวงตาเล็กๆ ของพวกมัน แต่ละตัวกลอกดวงตาไปมา ฉินสือโอวพอเห็นฉากนี้ก็รีบวิ่งเข้ามากอดลูกสาว เขาทำไมถึงรู้สึกว่านากทะเลเหล่านี้วางแผนที่จะฝังสาวน้อยกันนะ

จริงๆ แล้วเหล่านากทะเลก็ถูกแกล้งเหมือนกัน พวกมันไม่เคยหาเรื่องใครก่อน ก็แค่อยากกินอาหารอยู่บนฝั่ง แต่ทำไมกินอาหารแล้วถึงรู้สึกไม่สบายใจ?

นากทะเลขึ้นมาบนฝั่งถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยาก พวกมันก็เหมือนแมวน้ำชอบที่อยู่ในน้ำทะเลที่หนาวเย็นเป็นเวลานาน นี่คือเหตุผลที่พวกมันกินเยอะทุกวัน ซึ่งต่างจากปลาวาฬ สิงโตทะเลและแมวน้ำ พวกนั้นสามารถกักเก็บไขมันไว้ได้มากเพื่อให้ความร้อนและทำให้รู้สึกอบอุ่น แต่นากทะเลทำได้เพียงพึ่งพาขนของมันและเพิ่มการเผาผลาญเพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายและวิธีในการเพิ่มการเผาผลาญก็คือกินไปเรื่อยๆ

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับพวกมันที่จะต้องพักและรักษาความแข็งแรงของร่างกายในช่วงเวลาที่ไม่มีการหาอาหาร สำหรับพวกมันการขึ้นฝั่งเพื่อล่าอาหารถือเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง ผลก็คือถูกเถียนกวาทำลายการพักผ่อนจนหมด แน่นอนว่าจึงมีความคับแค้นใจ

ฉินสือโอวเริ่มไม่เข้าใจว่าแมวน้ำและนากทะเลการอยู่บนฝั่งสามารถประหยัดพลังงานและมีชีวิตที่ดีขึ้น ทำไมพวกมันจึงต้องอยู่ในน้ำ?

ต่อมาเมื่อหาข้อมูลก็เข้าใจว่า เขาคล้ายกับจักรพรรดิจินฮุ่ยที่ “รู้ไม่รอบด้าน” สภาพบนบกในฟาร์มปลาของเขาปลอดภัยซึ่งแตกต่างจากกรณีธรรมชาติทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนากทะเล ประสิทธิภาพในการต่อสู้ของพวกมันแย่มาก และความเร็วในการหลบหนีก็ไม่ไหว หากพวกมันอยู่บนฝั่งเป็นเวลานาน พวกมันจะกลายเป็นเหยื่อถูกกินได้ง่าย

นอกจากนี้แล้ว สัตว์ตัวน้อยเหล่านี้ไม่มีสมองเหมือนมนุษย์ อาหารของพวกมันล้วนอยู่ในทะเล พวกมันคิดว่าทะเลเป็นที่อยู่อาศัยของพวกมัน หากไม่ใช่เพราะฉินสือโอวที่ดึงดูดพวกมัน พวกมันก็คงไม่ได้ปีนขึ้นฝั่งมา

ฉินสือโอวกอดเถียนกวาไว้แล้วเช็ดน้ำตาให้เธอ วินนี่เห็นจากที่ไกล วิ่งเข้ามาถามว่า “โอ้ว โอ้ว โอ้ว ทำไมสาวน้อยถึงร้องไห้แล้วล่ะ? เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”

เถียนกวาโกรธเมื่อได้ยินคำพูดเยาะเย้ยของแม่ เธอเริ่มจำสิ่งต่างๆ ได้แล้ว ไอคิวของเธอเริ่มพัฒนาขึ้นและเธอสามารถวิเคราะห์บางอย่างตามคำพูดและน้ำเสียงของผู้คนได้

ฉินสือโอวอธิบาย เขารู้ว่าถ้าเขาบอกวินนี่ภรรยาขี้เล่นคนนี้ว่ามีนากทะเลมาที่ฟาร์มปลา เธอจะต้องมีความสุขทันทีแน่นอน ก่อนที่เธอจะวิ่งมา พวกนากทะเลก็รีบวิ่งลงทะเลไปและเธอก็ให้ความสนใจแต่กับเถียนกวา จึงไม่ทันสังเกตเห็น

แต่เขากลับไม่คิดว่าภรรยาของเขาจะขี้เล่นได้ถึงระดับนี้ พอได้ยินว่ามีนากทะเล วินนี่ไม่สนใจเถียนกวาที่กำลังหงุดหงิดอยู่ ยืนขึ้นมาด้วยความประหลาดใจแล้ววิ่งเหยาะๆ ออกไปริมชายหาดเพื่อดูพวกนากทะเล

เถียนกวาไม่ทันได้สนใจความหงุดหงิดและร้องไห้ ยื่นมือแล้วชี้ไปที่วินนี่พร้อมร้องเรียกว่า “หม่าม๊า กลับมานะ!”

ฉินสือโอวสงสารลูกสาวคนนี้ของเขาจริงๆ แม่อะไรกันนี่

วินนี่ดูสักพักก็กลับมานั่งยองๆ ด้านหน้าลูกสาว สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที พูดขึ้นว่า “ลูกรักที่เชื่อฟัง วันหลังอย่ามาที่ชายหาดอีกนะ รู้ไหม? พวกนี้คือนากทะเล พวกมันกินเด็ก!”

……………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท