ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1740 นากทะเลที่บุกรุกเข้ามา

บทที่ 1740 นากทะเลที่บุกรุกเข้ามา

เจ้านี่มีหัวกลมๆ น้อยๆ มีใบหูที่เล็กและกลม และยังมีรูปร่างอ้วนกลมด้วย บนตัวของพวกมันมีขนสั้นปกคลุมอยู่แน่น สีออกไปทางสีเหลืองหรือสีน้ำตาล เท้าหน้าเล็กและสั้น ส่วนเท้าด้านหลังกว้างและหนา และมีหางที่มีลักษณะแบน เห็นแค่หางที่สะบัดไปทางซ้ายทีขวาทีราวกับเรือที่คุมทิศทางในการเดินหน้า หลังจากนั้นก็ว่ายไปมาอยู่ในทะเลอย่างมีความสุข แต่ละตัวเหมือนกับแคพิบาราฉบับขยายใหญ่

เพียงแวบเดียวฉินสือโอวก็มองออก นี่ไม่ใช่แคพิบาราแต่เป็นนากทะเล ฟาร์มปลาต้าฉินไม่เคยมีร่องรอยการปรากฏตัวของนากทะเล ไม่รู้ว่าพวกมันมาจากไหน

นากทะเลเป็นสัตว์หายากที่พบได้เฉพาะในบริเวณน่านน้ำเย็นของแปซิฟิกเหนือ ตั้งแต่ตอนเหนือของญี่ปุ่นไล่ไปจนถึงชายฝั่งคาบสมุทรคัมชัตคาไปทางตะวันออกผ่านหมู่เกาะอะลูเชียนและชายฝั่งทางใต้ของอ่าวอะแลสกา ไล่ไปตามชายฝั่งแปซิฟิกของอเมริกาเหนือไปจนถึงแคลิฟอร์เนีย ซึ่งหาได้ยากในมหาสมุทรแอตแลนติก

ใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนนับจำนวนคร่าวๆ แล้ว จำนวนนากทะเลที่มาถึงฟาร์มปลามีไม่น้อย ประมาณ 50 กว่าตัวได้ นากทะเลตัวใหญ่พานากทะเลตัวน้อยมา บางตัวก็นอนอาบแดดอยู่บนริมชายหาดอย่างเฉื่อยชา ใช้เท้าหน้าสางขนให้กันและกัน บางตัวกลับดำน้ำอยู่ในทะเล

ใต้ทะเลลึกมีหอยเชลล์อยู่ เหล่านากทะเลที่ดำน้ำอยู่หลังจากที่ขุดเอาหอยเชลล์ขึ้นมาได้ก็กอดมันไว้ตรงหน้าอกราวกับเด็กที่กอดข้าวโพดเอาไว้ ว่ายขึ้นมาบนฝั่งแล้วค่อยเอาเข้าปาก อมไว้สักพักก็กัดเปลือกหอยเชลล์จนแตก หลังจากนั้นก็ดึงเอาเฉพาะส่วนเนื้อนุ่มของมันออกมาแล้วกลืนเข้าปากไป

พอเห็นฉินสือโอว ชาร์คก็โบกมือ ชี้ไปที่นากทะเลหลายตัวที่นอนอาบแดดบนชายหาดแล้วพูดว่า “ดูสิ ใครมาถึงถิ่นเราแล้ว?”

ฉินสือโอวแสร้งทำเป็นตกใจแล้วกล่าวขึ้นว่า “พระเจ้า นี่มันนากทะเลเหรอ? พวกมันมาจากไหนกัน?”

ชาร์คตอบว่า “ผมเดาว่าพวกมันว่ายมาจากเมืองเซนต์จอห์น สองวันก่อนผมดูข่าวเขาบอกว่าเรือขนส่งสัตว์ลำหนึ่งถูกเรือเรือลำใหญ่ชนเข้าจนพลิกคว่ำตรงท่าเรือ สัตว์ในนั้นบ้างก็จมน้ำตายบ้างก็หนีไป ข่าวยังบอกด้วยว่าในนั้นมีนากทะเลจำนวนหนึ่งด้วย”

พอได้ยินตำพูดนี้ ฉินสือโอวก็เข้าใจเรื่องราวขึ้นมาทันที เขาก็ดูข่าวนั้นเหมือนกัน วินนี่ยังสอนให้ลูกสาววาดไม้กางเขนเพื่อภาวนาต่อพระเจ้าเพราะเรื่องนี้ด้วย

บูลพาชาวประมงบางส่วนไปที่เรือเอาแหออกมา ฉินสือโอวถามขึ้น “พวกนายจะทำอะไร?”

ชาร์คตอบแทนเขา “พวกเรากะจะจับพวกมันขึ้นมาแล้วส่งคืนไปที่เมืองเซนต์จอห์น”

ฉินสือโอวพูดอย่างเสียดายว่า “ต้องคืนให้เจ้าของคนนั้นเหรอ?”

เขาเห็นความน่ารักของนากทะเลเหล่านี้ แต่ละตัวอ้วนกลมว่ายไปมาอยู่ในทะเล ก็แค่สกปรกไปหน่อย บนตัวมันเปรอะเปื้อนไปด้วยทั้งสาหร่ายทะเล พืชน้ำและพวกเศษกุ้งและปลา ดังนั้นจึงอยากทำความสะอาดพวกมันด้วยคลื่นทะเล ดูสิว่าจะเก็บพวกมันไว้ที่ฟาร์มปลาได้หรือไม่

เขาเชื่อว่าลูกสาวต้องชอบพวกมันแน่ๆ นี่ก็เป็นการปลูกฝังความรักให้กับเธอได้

อย่างไรก็ตามนากทะเลเป็นสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครองในแคนาดา และการคุ้มครองนั้นแข็งแกร่งมาก ไม่สามารถจับและซื้อขายเป็นการส่วนตัวได้ เรือขนส่งลำนั้นเป็นขององค์กรพิทักษ์สัตว์และต้องการขนส่งนากทะเลกลุ่มหนึ่งไปยังพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเซนต์จอห์น แต่กลับปรากฏว่าถูกเรือลำใหญ่เบียดชนเข้าให้เสียก่อน

ชาร์คกลับตอบว่า “ไม่ ไม่ครับ พวกเราจะหาดูว่าส่วนไหนเป็นคนรับผิดชอบดูแลจัดการนากทะเลที่เมืองเซนต์จอห์น หลังจากนั้นก็ส่งต่อให้พวกเขา เพราะอย่างไรก็ตามก็คงไม่สามารถเอาพวกมันไว้ที่ฟาร์มปลาได้ เจ้าพวกนี้กินเก่งมาก ทำให้ฟาร์มปลาเสียหายได้”

พอเป็นแบบนี้ฉินสือโอวจึงยิ้มออกมา เขานึกว่าชาร์คและคนอื่นๆ เป็นพวกมีคุณธรรมชั้นเยี่ยมเก็บของอะไรได้แล้วคืนเจ้าของเสียอีก นึกว่าจะจับพวกนากทะเลส่งคืนเจ้าของเรือขนส่งนั่น

“ไม่เป็นไร เพื่อน ให้พวกมันอยู่ที่ฟาร์มปลาเถอะ แค่นากทะเลไม่กี่ตัว จะกินได้มากมายขนาดไหนเชียว?”

พอเขาพูดจหลังจากที่เขาพูดจบชาวประมงก็หัวเราะอย่างสนุกสนาน บูลพูดว่า “กัปตันคุณพูดว่าอะไรนะ? พวกมันกินได้เท่าไรน่ะเหรอ? โอเค ผมบอกคุณเลยนะว่าพวกมันสามารถกินได้ถึงหนึ่งในสามของน้ำหนักตัวเองในหนึ่งวัน! สามวันก็เท่ากับกินตัวเองหมดไปหนึ่งตัว!”

“สิ่งสำคัญยิ่งกว่านะบอส คุณรู้ไหมว่าพวกมันกินอะไร? พวกมันชอบกินหอยเม่น! หอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสที่เป็นลูกรักของคุณคืออาหารอันโอชะของพวกมัน ลองคิดดูครับว่า นากทะเลเหล่านี้คือนากทะเลอะแลสกาและสามารถเติบโตได้ถึง 70 ถึง 80 ปอนด์ พวกมันสามารถกินหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสจำนวนมากได้ภายในสามวัน” ซีมอนสเตอร์กางแขนออกกว้างเสริมคำพูดของเขา

ฉินสือโอวยิ้มแล้วชี้ไปที่เขา “อย่านึกว่าฉันไม่รู้นะ พวกมันไม่ใช่แค่กินหอยเม่น มันก็ชอบกินเปลือกหอย กุ้งก้ามกรามและปูเช่นเดียวกับสาหร่ายทะเลและปลาตัวเล็กๆ ซึ่งเป็นอาหารของมันด้วย ดังนั้นพวกมันจึงไม่มีผลกระทบต่อฟาร์มปลา”

เขาเป็นเจ้าของฟาร์มปลา พวกชาวประมงไม่ได้คัดค้านการตัดสินใจของเขา ดังนั้นพอเขาบอกว่าจะเก็บพวกนากทะเลนี้ไว้ที่ฟาร์มปลา พวกเขาก็ไม่พูดอะไร เก็บแหขึ้นเรือทำงานต่อไป

พวกนากทะเลขี้ตกใจกลัว พวกมันกลัวพวกมนุษย์ ดังนั้นตอนที่ชาวประมงล้อมรอบมองไปที่พวกมันจึงทำให้พวกมันตกใจ ตัวใหญ่ลากตัวเล็ก พวกมันต่างวุ่นวายพากันกระโดดลงทะเล โผล่หัวน้อยๆ ขึ้นมาเพื่อประเมินสถานการณ์คนบนฝั่งอย่างเงียบๆ

พอพวกชาวประมงจากไป ฉินสือโอวก็ป้อนพลังโพไซดอนให้พวกมันเพื่อปรับปรุงร่างกาย ในขณะเดียวกันก็ใช้คลื่นทะเลพัดไปที่ตัวของพวกมันเพื่อกำจัดสิ่งสกปรกที่ติดตรงขนทิ้ง แล้วกวักมือเรียกแสดงเป็นนัยว่าให้พวกมันขึ้นมาบนบกได้

นากทะเลตัวอ้วนพวกนี้ดูเหมือนจะไม่มีความรู้สึกที่ดีให้กับมนุษย์ ต่อให้ซึมซับพลังโพไซดอนไปแล้ว ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะขึ้นมาบนฝั่งอย่างว่าง่ายตอนที่ฉินสือโอวกวักมือเรียก ในทางกลับกันแมวน้ำบางตัวที่อยู่ห่างออกไป พอเห็นฉินสือโอวมาที่ชายหาดก็ดีดดิ้นร่างอ้วนๆ ขึ้นมาเพื่อรวมตัวกัน

แต่ทว่า พวกมันก็ไม่ได้ขัดการทำความสะอาดตัวจากคลื่นทะเล ในทางกลับกันหลังจากที่คลื่นกระทบตัวพวกมัน พวกมันกลับมีปฏิกิริยาตอบสนอง ยืดร่างกายออกเพื่อให้คลื่นทะเลล้างตัวมันเอาสิ่งสกปรกออกไป

ฉินสือโอวเข้าใจถึงความหวาดกลัวของนากทะเลที่มีต่อมนุษย์ เจ้าพวกนี้ถูกจับมาจากอะแลสกา และจะถูกส่งไปยังพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเพื่อผสมพันธุ์ สันนิษฐานว่าตอนที่พวกมันถูกจับคงตกใจไม่น้อย จึงทำให้พวกมันต้องหวาดระแวงสัตว์สองเท้าอย่างมนุษย์

พอคิดได้แบบนี้ ฉินสือโอวจึงใช้จิตใต้สำนึกแห่งโพไซดอนม้วนเอาปูและหอยตัวเล็กๆ ที่ลอยอยู่ในทะเลขึ้นมาบนชายหาด วางไว้ในมือแล้วป้อนพวกนากทะเล

ในที่สุดก็มีนากทะเลที่รวบรวมความกล้าและกล้าเข้าใกล้เขา เป็นนากทะเลตัวอ้วนที่ดูงี่เง่าตัวหนึ่ง มันเขยิบมาด้านหน้าใช้จมูกดมกลิ่นหอมของปูในมือของฉินสือโอวก่อน หลังจากนั้นก็จ้องไปที่ฉินสือโอวด้วยตากลมเล็กของมัน

ฉินสือโอวยื่นมือไปข้างหน้า นากทะเลตัวนี้ไม่ได้ยื่นปากเข้าไปกัดเลย แต่ใช้ขาหน้าเล็กๆ ที่อวบอ้วนของมันหนีบเอาปูขึ้นมาแล้วเอาเข้าปาก เคี้ยวหนึบหนับแล้วกลืนลงไป

พอเห็นแบบนี้ ฉินสือโอวก็ยิ้มออกมา เขาหยิบหอยนางรมอีกสองตัวยื่นไปให้นากทะเลตัวอ้วน ตอนนี้เจ้านากทะเลไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะเปลือกจองหอยนางรมในฟาร์มปลาหนามาก มันใช้ฟันกัดอยู่สักพักก็ไร้ผล จึงเอาวางไว้บนชายหาด ใช้ขาหน้าหนีบขึ้นมาแล้วทุบลงไปบนพื้นจนแตก

“ฉลาดจริงๆ” ฉินสือโอวใช้มือลูบไปที่หัวทุยๆ ที่มีขนของมัน ผลปรากฏว่าลูบจนมือมันไปหมด เพราะขนของนากทะเลอุดมไปด้วยน้ำมัน ซึ่งทำให้ตัวพวกมันกันน้ำได้ดีเยี่ยม ป้องกันไม่ให้ขนหนาๆ ของพวกมันซับน้ำแล้วมีน้ำหนักมากส่งผลให้เปลืองแรงเวลาขยับร่างกาย

พอเห็นว่าฉินสือโอวไม่ได้ทำร้ายพวกเดียวกันแล้วยังป้อนอาหารมันอีก ในที่สุดพวกนากทะเลตัวอื่นๆ ก็อดกลั้นความอยากกินไว้ไม่ไหว ขยับเข้ามาใกล้ กะพริบตาน้อยๆ ของมันมองไปที่มือของฉินสือโอว

ฉินสือโอวแบ่งให้พวกมัน นากทะเลพวกนี้ไม่แย่งกันกิน พอพวกมันได้หอยเชลล์และปูก็เอาเข้าปากกัดดังแคร็ก พอกัดจนแตกก็ใช้มือเขี่ยส่วนที่แตกออก แล้วจึงเอาปากดูดเนื้อนุ่มๆ ที่อยู่ข้างในกลืนกินลงไป

…………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท