ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1737 แลนดิ้งแล้ว

บทที่ 1737 แลนดิ้งแล้ว

ตี้หลูกับเปากงไม่มีประสบการณ์ในการว่ายน้ำมาก่อน แต่ทว่าเชอร์ลี่ย์มักพาพวกมันมาวิ่งแถวชายทะเลเป็นประจำ ชายทะเลทรายนุ่มละเอียด ม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ยังไม่โตเต็มตัวจำต้องดูแลรักษากีบเท้าเอาไว้ การมาออกกำลังกายในที่แบบนี้จะดีกว่าบนสนามหญ้าขึ้นมานิดหน่อย

พวกมันนึกว่าฉินสือโอวเป็นเหมือนกับเชอร์ลี่ย์ พอมาถึงชายหาดแล้วก็เริ่มวิ่งอย่างดีอกดีใจขึ้นมา

วินนี่สมัครเรียนคลาสขี่ม้าให้เชอร์ลี่ย์ทางออนไลน์ โลลิต้าตั้งหน้าตั้งตาเรียนมาก ก่อนหน้านี้เธอใช้วิธีการฝึกม้าของชนชั้นสูงที่ถูกต้องมาสอนม้าสองตัวนี้ ดังนั้นท่าทางการวิ่งของพวกมันในตอนนี้ทั้งมั่นคงและโอ่อ่า เต็มไปด้วยกลิ่นอายความเป็นผู้ดี ทำให้คนที่เห็นรู้สึกสุขใจสบายตาอย่างแน่นอน

แต่ฉินสือโอวไม่ได้อยากให้พวกมันมาวิ่งเล่น เขาเข้าไปดึงตัวเปากงที่ดื้อที่สุดไว้ ชี้ไปที่น้ำทะเลแล้วพูดว่า “ลงไปอาบน้ำ เร็ว”

เปากงจ้องตาที่ทั้งโตทั้งเป็นประกายนั้นมองดูเขาอย่างสงสัย ฉินสือโอวชี้ไปที่ทะเลหลายครั้ง มันคิดๆ สักพัก แล้วก็ก้าวขาสั้นๆ วิ่งไปที่ชายทะเล เตะคลื่นน้ำตรงชายทะเลเล่นไปเรื่อย เชอร์ลี่ย์เองก็มักจะพาพวกมันมาเล่นแบบนี้ด้วย

ตี้หลูเห็นแล้วก็ทำตาม วิ่งตามเข้าไปด้วย แล้วทำเหมือนกับเปากงโดยการวิ่งเหยียบคลื่นทะเลเล่นอย่างสนุกสนาน แถมยังส่งเสียงร้องดีใจ ‘ฮี้ๆ’ ออกมาเป็นระยะๆ ด้วย

ฉินสือโอวยักไหล่อย่างจนปัญญา เขาคงต้องเข้าไปช่วยพวกเขาด้วยตัวเอง เขายื่นมือไปผลักเปากงเพื่อจะผลักมันลงไปเขตน้ำลึก แต่เปากงกลับวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ท่านชายฉินวิ่งไล่ตาม แต่ก็ไล่ไม่ทัน!

“ให้ตายสิ ฉันล่ะเชื่อกับแกจริงๆ!” ท่านชายฉินด่าพลางหายใจหอบ เมื่อกี้เขาวิ่งไล่ตามไปสองกิโลเมตร ยิ่งวิ่งยิ่งไกล แต่เปากงกลับนึกว่ากำลังเล่นกับมันอยู่

ไม่มีทางเลือก ท่านชายฉินเปลี่ยนแผนแล้ว เขายืนอยู่ที่ชายหาดกวักมือเรียก ม้าสองตัวจ้องมองมาด้วยตาคู่โตนั้น แล้วก็วิ่งมาหาเขาอย่างไม่เต็มใจ เขาจูงเปากงและตี้หลูเดินไปทางท่าเรือ เพื่อที่จะผลักพวกมันลงทะเลจากบนนั้น

ลมทะเลพัดตีอย่างแรง ขนยาวของม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ได้ปลิวสยายไปมา เปากงเงยหน้าขึ้นหาแสงอาทิตย์แล้วส่งเสียงร้องที่สดใสออกมา แสงอาทิตย์สาดส่อง คลื่นทะเลม้วนซัด ให้ความรู้สึกอุกอาจเล็กน้อยเหมือนกัน

ฉินสือโอวถือโอกาสนี้ผลักเปากงไปสุดแรง แต่ว่าเปากงฉลาด มันระวังฉินสือโอวไว้ตลอด พอเขาออกแรงชนไปข้างหน้า มันก็กระโดดหลบออกไปอย่างรวดเร็ว ท่านชายฉินที่ตั้งตัวไม่ทันยืนไม่มั่นคง จึงตกลงไปในน้ำทั้งอย่างนั้น เหมือนกับกระโดดลงทะเลฆ่าตัวตายเลย…

แบล็คไนฟ์ที่อยู่บนฝั่งเห็นแล้วก็ตกใจหน้าถอดสี รีบวิ่งเข้าไปดึงเขามาที่ท่าเรือ แล้วพูดอย่างตกใจว่า “บอส คุณมีเรื่องคิดไม่ตกเหรอครับ? คุณพูดกับพวกเราได้นะครับ ทำไมถึงเลือกแบบนี้ล่ะ?”

ฉินสือโอวถอดเสื้อยืดที่เปียกโชกออก โยนลงไปบนท่าเรืออย่างโกรธแค้น จ้องไปที่เปากงแล้วพูดว่า “แบล็คไนฟ์ ฉันจะปิดทางตรงนี้ไว้ นายไปไล่เจ้าม้าตัวนั้นลงทะเลไป!”

แบล็คไนฟ์พูดด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า “โอเค เรื่องนี้ง่ายครับ คุณรอดูผมแล้วกันครับบอส”

ระหว่างพูด เขาก็หักนิ้วมือแล้วเดินไปข้างหน้า กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ นั้นได้ดันจนเสื้อกั๊กสีเขียวโผล่ออกมา ดูไปแล้วเต็มไปด้วยกลิ่นอายของชายชาตรีอย่างที่สุด

เปากงกะพริบตามองแบล็คไนฟ์ด้วยสายตาสงสัย นี่คือจะทำอะไรเนี่ย? มันไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร จึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

แบล็คไนฟ์กลัวว่าจะทำให้ม้าตัวนี้ตกใจ เขารู้ว่านี่เป็นของรักของหวงขององค์หญิงใหญ่เชอร์ลี่ย์ หากว่าทำร้ายตัวใดตัวหนึ่งแล้วล่ะก็ งั้นพอเชอร์ลี่ย์กลับมาแล้วต้องมาเลาะกระดูกเขาแน่ เมื่อคิดได้แบบนี้ เขาจึงเข้าไปสางขนให้เปากงก่อน จากนั้นก็พามันไปยืนริมท่าเรือ แล้วค่อยผลักก้นมันจากด้านหลัง

แต่แค่เดินไปด้านหลังม้าเท่านั้น เปากงก็ใช้ท่าดีดขาไปด้านหลังที่รวดเร็วราวความเร็วเสียง เตะไปโดนหน้าอกของแบล็คไนฟ์จนเขาลอยออกไปเลย…

“ชิ…ท!!!” แบล็คไนฟ์ทันส่งเสียงออกมาได้แค่เสียงเดียวเท่านั้น จากนั้นก็ถูกถีบจนจมลงไปในคลื่นทะเลเลย

เพราะตกใจในเสียงร้องของเขา ตี้หลูกับเปากงจึงวิ่งออกไปอย่างไม่ลังเลในทันที วิ่งเรียบไปทางท่าเรือไปถึงชายหาด จากนั้นก็ยืนด้วยกันมองไปที่ฉินสือโอวด้วยสายตาไร้เดียงสา

ฉินสือโอวเข้าไปดึงตัวแบล็คไนฟ์ที่โชคร้ายขึ้นมา แบล็คไนฟ์เองก็สะบัดเสื้อลงไปที่ท่าเรืออย่างหัวเสีย ตะโกนว่า “ฟัค ใจกล้าเสียจริงนะ ถึงกลับกล้าเตะฉันเลยเหรอ? เจ็บจริงๆ เลย! บอสคุณยืนดูอยู่นี่ก็พอครับ ผมจะต้องไล่พวกมันลงทะเลให้ได้!”

พูดจบ ทหารใหญ่ชาติอเมริกาก็วิ่งไปทางเปากงกับตี้หลู ทั้งสองตัวกลับมาทำตัวสงบเรียบร้อยอีกครั้งกะพริบตาปริบๆแล้วยืนอยู่ตรงชายหาด ยินยอมให้พี่ทหารใหญ่จับพวกมันอีก

แบล็คไนฟ์สีหน้าเคร่งเครียดกัดฟันอยากจะลากเปากงลงไปในน้ำ แต่ขาทั้งสี่ของเปากงปักหลักไว้บนทราย ยังคงไม่ขยับเขยื้อนสักนิด และมองไปยังแบล็คไนฟ์ด้วยสายตาไร้เดียงสาอีกเช่นเคย

ฉินสือโอวกำลังมองดูทั้งสองฝ่ายเย่อกันอยู่อย่างสนุกสนาน ทันใดนั้นโทรศัพท์เขาก็ดังขึ้น เรื่องนี้ทำให้เขาแปลกใจพอสมควร โทรศัพท์ไอโฟนนี่เจ๋งจริงเชียว ถึงขั้นกันน้ำได้ด้วย เมื่อกี้ที่เขาตกลงไปในทะเลเขานึกว่าโทรศัพท์จะพังไปแล้วเสียอีก

มองดูเบอร์ที่โทรเข้ามา เป็นเบอร์โทรศัพท์สัญญาณดาวเทียมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขาจึงรับสายด้วยความสงสัย ถามว่า “สวัสดีครับ ฉินสือโอวจากฟาร์มปลาต้าฉินครับ ไม่ทราบว่าคุณคือ?”

“หนูคือใครคุณไม่รู้จักเหรอ? ฉิน พวกคุณกำลังทำอะไรกับลูกรักของหนูคะ?” เสียงสดใสของเชอร์ลี่ย์ดังออกมาจากลำโพง

พอได้ยินคำพูดไม่พอใจของเธอแล้ว ท่านชายฉินก็ตกใจมาก ให้ตายสิจริงหรือเปล่าเนี่ย ใครคาบข่าวไปบอกโลลิต้ากัน? คงไม่ใช่เพราะม้าสองตัวนี้ส่งเสียงระยะพันลี้ไปส่งข่าวหรอกนะ?

ในตอนนี้เองที่มีเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มขึ้นมา เพราะมีเสียงของคลื่นและลมทะเล ทำให้เสียงเครื่องยนต์ไม่ได้ดังมาก เสียงแว่วออกมาพอได้ยินเท่านั้น

ฉินสือโอวตั้งสติได้เงยหน้าขึ้นมอง เห็นเครื่องบินพาณิชย์ลำหนึ่งบินอยู่ฟ้าเหนือทะเล เนื่องด้วยความสูงทำให้มองเห็นไม่ชัด

เสียงของเชอร์ลี่ย์ดังขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่ต้องมองแล้ว ก็คือพวกเรานี่แหละ พวกเรากลับมาแล้ว!”

ท่านชายฉินตกใจอีกครั้ง “พวกเธออยู่บนเครื่องบิน? แล้วเธอเห็นบนพื้นได้อย่างไร?”

โลลิต้าหัวเราะออกมาอย่างได้ใจ พูดว่า “แน่นอนว่าหนูมีวิธีสิคะ เหอะๆ ความจริงหนูกะว่าจะมองลงมาดูฟาร์มปลาเสียหน่อย นึกไม่ถึงว่ากลับได้เห็นเรื่องเลวๆ ของคุณกับคุณลุงแบล็คไนฟ์ซะงั้น! หนูจะลงโทษพวกคุณ!”

ฉินสือโอวพูดว่า “โอเคๆ งั้นฉันไม่คุยละ เดี๋ยวไปจัดแจงให้พวกเธอลงจอดก่อน พวกเธอลงจอดอย่างปลอดภัยก่อนค่อยว่ากันแล้วกัน”

“ไม่ต้องแล้วค่ะ พวกหนูจะลงตอนนี้เลย เดี๋ยวเจอกันค่ะ” เชอร์ลี่ย์ทิ้งท้ายคำพูดปริศนาไว้ จากนั้นก็วางสายไปทันที

ฉินสือโอวกำลังสงสัยอยู่ จากนั้นเขาก็เห็นจุดดำๆ ลอยลงมาจากบนท้องฟ้า จุดดำพวกนี้ยิ่งอยู่ยิ่งใหญ่ขึ้น ในที่สุดก็ได้กลายเป็นก้อนเมฆหลากสีหลายก้อนกลางอากาศ

“เฮ้ย กระโดดร่มเหรอ?!” ฉินสือโอวอดที่จะร้องออกมาไม่ได้ “ให้ตายสิ ใครให้พวกเธอกระโดดร่มกันเนี่ย? อันตรายแค่ไหน เจ้าเด็กพวกนี้รู้บ้างไหมเนี่ย?”

แบล็คไนฟ์เห็นแล้วก็ปล่อยเปากงแล้ววิ่งเข้ามา เมื่อได้ยินคำพูดของฉินสือโอวแล้ว เขาก็ปลอบใจว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับ พวกเขาอยู่ในความสูงที่ปลอดภัย กระโดดร่มไม่มีอันตรายอย่างแน่นอนครับ พวกเราเตรียมไปลากพวกเขาจากทะเลกันเถอะครับ ถ้าเกิดอยู่ในทะเลแล้วถูกร่มคลุมไว้แล้วล่ะก็ นั่นล่ะอันตรายของจริงเลย”

ฉินสือโอวพูดอย่างร้อนใจว่า “ใช่ไง ฉันก็หมายถึงแบบนี้แหละ ให้ตายสิ กระโดดร่มลงน้ำอันตรายแค่ไหนรู้ไหม?”

โดยทั่วไปแล้วร่มชูชีพจะมีขนาดใหญ่มาก หลังจากลงพื้นแล้วมักจะลงมาไล่ๆกันกับผู้ที่กระโดด หากอยู่บนพื้นก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่หากอยู่บนทะเลงั้นปัญหาก็จะค่อนข้างใหญ่เลย เพราะว่าหลังจากคนตกลงไปในทะเลแล้วจะจมลงไปในน้ำ พอเป็นแบบนั้นแล้วร่มชูชีพก็จะคลุมไปบนทะเลรอบๆ นั้น แม้ว่าคนจะลอยขึ้นมาแล้วแต่ก็ถูกร่มชูชีพคลุมไว้อยู่ดี

……………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท