ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1744 แผนของวินนี่

บทที่ 1744 แผนของวินนี่

“รู้หรือยังว่าตัวเองผิดตรงไหน?”

“รู้แล้วครับ”

“วันหลังยังกล้าจะทำแบบนี้ไหม? ทุกเรื่องที่ผิกกฎหมาย!”

“ไม่กล้าแล้วครับ!”

วินนี่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ นั่งสบายๆ อยู่บนโซฟาไขว่ห้างขายาวเรียวสวย แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะลงโทษนาย นายจะยอมรับไหม?”

กอร์ดอนพยักหน้าด้วยความสุภาพสุดๆ พยายามประจบ “ยอมรับครับ พี่วินนี่ พี่ทำโทษอะไรผมก็ยอมครับ”

“ดีมาก เรื่องทำความสะอาดที่ฟาร์มปลาในฤดูร้อนนี้ให้นายเป็นคนรับผิดชอบทั้งหมด ไม่มีค่าจ้างนะ”

“ไม่นะ พี่วินนี่!” กอร์ดอนคร่ำครวญ “นี่เป็นการแสวงหาประโยชน์จากการใช้แรงงานเด็กและยังผิดกฎหมายด้วย”

วินนี่ยักไหล่ “ถ้าอย่างนั้นนายก็ไม่ยอมรับแล้วใช่ไหม?”

กอร์ดอนกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น สีหน้าโศกเศร้า พูดว่า “ไม่ครับ ไม่กล้า พี่วินนี่ ผมยอมรับ ผมยอมแล้วยังไม่พอหรือไงครับ?”

ดังนั้นเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ทิญาก็พบว่ากอร์ดอนมองมาที่เธอด้วยสายตาที่เหมือนมองศัตรูอยู่ตลอดเวลา เธอลูบหน้าสวยของเธอด้วยความฉงนสงสัย “เฮ้ หนุ่มน้อย นายกำลังมองอะไรอยู่? บนตัวฉันมีอะไรผิดปกติเหรอ?”

เชอร์ลี่ย์และกลุ่มของเธอหัวเราะอย่างเงียบๆ เมื่อก่อนตอนฉินสือโอวและวินนี่สามีภรรยาทะเลาะกันอย่างรุนแรง พวกเขาก็ต่างหลบและแอบดูอยู่แถวนั้น

กอร์ดอนกลอกตามองบนเหมือนอยากพูดอะไร วินนี่กระแอมออกมาเบาๆ กอร์ดอนรีบเปลี่ยนสีหน้าทันที พูดด้วยรอยยิ้มและเป็นกันเอง “ไม่มีครับ ไม่มีอะไร พี่ทิญา กินกุ้งตัวใหญ่ตัวนี้ดูครับ รสชาติดีมากๆ”

ช่วงพลบค่ำฉินสือโอวไปจับกุ้งกุลาดำเหล่านี้มา จากนั้นใช้วิธีปรุงโดยการนึ่งและจิ้มกับน้ำจิ้มเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีขึ้น

ระยะเวลาการเจริญเติบโตของกุ้งกุลาดำนั้นสั้นมาก มีผลผลิตสองรอบต่อปี ฉินสือโอวใช้เวลาเลี้ยงค่อนข้างนาน หลักๆ ก็คือให้พวกมันสามารถวางไข่และฟักตัวได้ ไม่เช่นนั้น ครึ่งปีก่อนหน้านั้นเขาก็จับขึ้นมาแล้ว

กุ้งกุลาดำวางไข่ในเดือนมิถุนายนและกรกฎาคมของทุกปี พวกมันไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้นาน ภายในเวลาสองปีหากไม่จับพวกมันขึ้นมา พวกมันก็จะตาย เป็นสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรที่มีระยะเวลาของชีวิตค่อนข้างสั้น

ฉินสือโอวอาศัยพวกมันในการวางไข่เพื่อขยายพันธุ์ประเภทนี้ และตอนนี้เข้าสู่เดือนสิงหาคม พวกมันสามารถออกลูกได้แล้ว

กุ้งชนิดนี้สามารถโตได้ตามขนาดเท่าฝ่ามือของคน อันที่จริงรสชาติก็ธรรมดาไม่ดีเท่ากุ้งหวานอาร์กติกที่ราคาต่ำกว่ามาก แต่ทว่ากุ้งกุลาดำสามารถเจริญเติบโตจนมีขนาดใหญ่มาก คนผิวขาวเวลากินอาหารทะเลไม่เพียงแค่ชิมรสชาติของมัน แต่ยังกินที่ขนาดด้วย เนื้อเยอะหนามน้อย รสชาติอร่อยก็เพียงพอแล้ว

กุ้งหวานอาร์กติกมีมูลค่าหลังจากเข้าสู่ตลาดเอเชีย โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นและชาวจีนที่ไม่เห็นว่าการปอกกุ้งหวานยุ่งยากอะไร และหลายๆ คนก็ชอบที่จะกินมันทั้งเปลือกด้วย

แต่คนผิวขาวทำแบบนั้นไม่ได้ คอของพวกเขาสูงส่ง เป็นหมีขั้วโลกที่ไม่กินอาหารที่มีเปลือก แต่เวลาที่พวกเขากินอาหารมักจะใช้ส้อมและมีด ซึ่งพอเป็นแบบนี้ก็ไม่สะดวกในการแกะเปลือกกุ้งหวานตัวน้อยๆ ดังนั้นจึงมีคนรับประทานไม่เยอะ

กุ้งเป็นที่ต้องการของตลาดมากที่นี่ เจ้านี่ตัวหนึ่งมีน้ำหนักครึ่งปอนด์ ตัวใหญ่และปอกง่าย เป็นที่ชื่นชอบของชาวอเมริกันและชาวแคนาดามากที่สุด

พลังโพไซดอนช่วยปรับปรุงคุณภาพของกุ้ง กุ้งกุลาดำที่ผลิตในฟาร์มปลาต้าฉินมีเนื้อสดอร่อย หลังจากนึ่งแล้วใช้มือแกะเปลือกออก เผยให้เห็นเนื้อนุ่มสีแดงที่มีความยืดหยุ่นซึ่งพอใช้มือบีบลงไปหนักๆ ก็จะมีน้ำพ่นออกมา

กุ้งกุลาดำธรรมดาไม่ได้มีรสชาติดีแบบนี้ เมื่อกินเข้าไปก็รู้สึกธรรมดามาก ฉินสือโอวเคยกิน มันให้ความรู้สึกเหมือนเคี้ยวไก่ที่ผ่านการคั้นน้ำออกแล้วแบบนั้น นุ่มก็นุ่มอยู่แต่ไม่มีกลิ่นหอม ไม่ใช่อาหารโปรดของเขาเลย

ทิญาก็เคยกินแล้วแน่นอน มีฟาร์มกุ้งหลายแห่งในกลุ่มพันธมิตรการประมง เมื่อมีการรวบรวมข้อมูลสถิติขนาดใหญ่จำเป็นต้องสื่อสารกับเจ้าของฟาร์มปลา จึงมักจะมีผู้คนส่งอาหารทะเลบางส่วนมาเพื่อให้ทดลอง

เธอใช้มีดหั่นกุ้งมังกรที่แกะเปลือกแล้วออกเป็นชิ้นๆ แล้วใช้ส้อมจิ้มจุ่มมันลงไปในวาซาบิ กินหนึ่งคำก็เอ่ยปากชมหนึ่งที “อร่อยมาก! รสชาติดีเหลือเกิน! ไม่เคยกินกุ้งที่มีรสชาติดีแบบนี้มาก่อนเลย!”

วินนี่แกะเปลือกกุ้งไปก็ยิ้มไป คอยเติมเข้าไปในจานทิญาอยู่ตลอด พูดอย่างอ่อนโยนว่า “กินเยอะๆ หน่อย ชอบกินก็กินเยอะๆ เลย”

ทิญารู้สึกประหลาดใจหน่อยเมื่อได้รับการเอาใจ มาหนึ่งตัวเธอก็กินเข้าไปหนึ่งคำ ฉินสือโอวอยากจะหยิบไปกินหนึ่งตัว วินนี่ใช้สายตาดุๆ ปรามเขาไว้ “คุณแกะเองไม่เป็นหรือไง?”

ฉินสือโอวนายใหญ่รู้สึกเหมือนโดนแกล้ง พูดขึ้นว่า “คุณแกะให้ทิญาเยอะขนาดนี้ เธอก็กินไม่หมดหรอก”

วินนี่ยิ้มสวยแล้วพูดขึ้น “ไม่หรอกมั้ง? ทิญาชอบกินขนาดนี้ เธอต้องกินหมดอยู่แล้ว จริงไหมคะ?”

พวกเออร์บัก แซนเดอร์ส และอันเดร์มองไปที่วินนี่และทิญาด้วยสายตาแปลกๆ สายตาดูแปลกมากกว่าเดิม

ทิญาไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจที่วินนี่มีให้ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อปลา เนื้อกุ้งพออยู่ที่จาน เธอก็จัดการเรียบ จนท้ายสุดกินจนหน้าสวยๆ ของเธอเริ่มซีดขาว ส่ายศีรษะอย่างแรง “กินไม่ไหวแล้ว กินไม่ลงแล้วจริงๆ ค่ะ”

วินนี่พูดโน้มน้าว “แต่ก็ต้องกินเยอะหน่อยนะ เธอเป็นหญิงสาวทำงานในเมืองเซนต์จอห์นคนเดียว ฉินก็ขี้เกียจ ความรับผิดชอบอันหนักอึ้งของพันธมิตรก็ตกมาอยู่ที่คุณใช่ไหมละคะ? ดังนั้นต้องกินเสริมเยอะๆ”

ขณะที่พูดไป เธอก็พูดกับฉินสือโอวว่า “วันหลังจำไว้ด้วยว่าต้องเตือนฉันให้ส่งอาหารดีๆ ไปให้ทิญาอาทิตย์ละครั้ง พวกเราต้องปฏิบัติต่อเธอเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน”

ฉินสือโอวรู้สึกชื่นชมและภาคภูมิใจในความรู้สึกอันสูงส่งของวินนี่ ช่างเป็นผู้หญิงที่ดีจริงๆ คอยให้หน้ากับสามีของเธอในที่สาธารณะแบบนี้

หลังจากทานข้าวเสร็จ ฉินสือโอวขับรถส่งทิญาไปโรงแรมในเมือง ระหว่างทางพูดอย่างพึงพอใจว่า “เป็นอย่างไรบ้าง พี่วินนี่ของเธอเป็นคนดีมากใช่ไหม?”

เดิมทีสีหน้าของทิญาที่ดีๆ อยู่พลันเปลี่ยน ‘พั่บ’ เป็นบึ้งตึง เธอพูดว่า “คุณคิดว่าทำไมพี่วินนี่ต้องดีกับฉันขนาดนี้ด้วย?”

ฉินสือโอวยักไหล่ พูดอย่างมีความสุขว่า “รักในสิ่งที่คนรักของเขารักด้วยล่ะมั้ง เธอเป็นผู้ช่วยฉัน ช่วยแบ่งเบาภาระให้ฉันได้เยอะขนาดนั้น ก็เลยต้องดีกับเธอหน่อย”

ทิญาหัวเราะออกมา ท่าทางงดงาม “บอส คุณนี่ไร้เดียงสาจริงๆ โอเค ฉันเตือนคุณหน่อยละกัน เพียงแค่จัดอาหารให้ฉันตามที่นายหญิงบอก อย่างมากสักครึ่งปีฉันก็กลายเป็นสาวอ้วนแล้ว!”

ฉินสือโอวเข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไรและพูดอย่างไม่พอใจ “เธอพูดแบบนี้ก็หมายถึงเป็นคนไร้คุณธรรมแล้ว วินนี่คิดถึงสุขภาพของเธอต่างหาก”

ทิญาไม่โต้ตอบ กัดฟันแล้วพูดว่า “ฉันเชื่อเลย ฉันเชื่อมากๆ!”

ในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นเฮลิคอปเตอร์สองลำที่เขาสั่งก็มาถึง ดอลฟินลำเล็กอยู่หน้า ลำใหญ่อยู่หลัง เฮลิคอปเตอร์สองลำที่หรูหราบินมาที่ฟาร์มปลาโดยตรง

จริงๆ แล้วเฮลิคอปเตอร์ทั้งสองลำมาถึงเมืองเซนต์จอห์นตั้งแต่เมื่อวานนี้ แต่ถูกส่งไปที่สนามบินเพื่อประกอบก่อน วันนี้ส่งไปถึงฟาร์มปลาโดยมีฉินสือโอวเป็นคนรับของ

เมื่อประตูดอลฟิน AS365 เปิดออก การตกแต่งที่หรูหราปรากฏขึ้นในสายตาของเขา เขานั่งอยู่ตรงส่วนคนขับเพื่อสัมผัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้าสักหน่อย ด้านหน้าของเขาคือแผงหน้าปัดที่วิจิตรงดงามที่ทำให้คนตาลายได้ ห้องคนขับมีขนาดค่อนข้างใหญ่ แสดงให้เห็นถึงความหรูหราของเฮลิคอปเตอร์ธุรกิจชั้นนำ

พอกระโดดลงจากเฮลิคอปเตอร์ ฉินสือโอวก็สั่งให้เบิร์ดขับตาม ให้นักบินกลุ่มบริษัท ยูโร ส่งทิญากลับสำนักงานใหญ่ CBD ที่เมืองเซนต์จอห์น

ทิญามีความสุขมากที่ได้มีโอกาสทดสอบเที่ยวบินของเฮลิคอปเตอร์สุดหรูเช่นนี้ แต่คำกำชับครั้งสุดท้ายของฉินสือโอวก็ทำให้เธอไม่มีความสุขขึ้นมา “ฟังฉันนะทิญา ตอนเธออยู่บนเครื่องก็ระวังหน่อย นี่เป็นเที่ยวบินทดสอบ ฉันไม่รู้เกี่ยวกับเฮลิคอปเตอร์ลำนี้ว่ารายละเอียดเป็นอย่างไรบ้าง หากพบว่าสถานการณ์ไม่ดี ก็ให้โดดลงจากเครื่องบิน เข้าใจไหม? ฉันเตรียมร่มชูชีพไว้ให้เธอแล้ว เธอไปอย่างสบายใจเถอะ”

…………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท