ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1743 สั่งสอน

บทที่ 1743 สั่งสอน

เมื่อรู้ว่าเธอกำลังถูกฉินสือโอวแกล้ง ทิญาก็ไม่โกรธ เธอถอยหลังไปสองก้าวและมองเขาด้วยท่าทีที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “แล้วคุณวางแผนที่จะให้ฉันเป็นวัวหรือเป็นม้าล่ะ? วางแผนได้ไม่เลว ถ้าเป็นวัวก็มีนมให้คุณได้ เป็นม้าก็ให้คุณขี่ได้ ใช่ไหมละคะ?”

หัวใจของฉินสือโอวเกือบจะหยุดเต้น ใครกำลังหยอกล้อใครกันแน่?

โชคดีที่ทิญาไม่ล้อเล่นต่อ เธอโบกมือแล้วพูดว่า “ฉันจะกลับไปจัดการงานให้เรียบร้อยก่อน คุณทิ้งเฮลิคอปเตอร์ลำใหม่ไว้ให้ภรรยาและลูกสาวนั่งเถอะ ฉันไม่อยากจะนั่งแล้วทำให้ภรรยาของคุณเข้าใจผิดอะไร”

ฉินสือโอวคิดว่าเธอพูดถูก แต่ก็ยังต้องแสดงความสุภาพไปหน่อย “งานไม่ต้องรีบขนาดนั้นหรอก ช่วงนี้ผมมีแผนผลิตกุ้งกุลาดำ ก็อยู่นี่รอชิมกุ้งของผมก่อน อีกอย่าง หลังจากเฮลิคอปเตอร์มาถึงเพียงครึ่งชั่วโมงก็สามารถพาคุณไปที่อาคารสำนักงานได้ หากคุณนั่งเรือเฟอร์รี่และเดินทางด้วยตัวเองจะใช้เวลาสามหรือสี่ชั่วโมง!”

เขาตัดสินใจแล้ว ถ้าทิญาปฏิเสธเขาอีกครั้ง เขาก็จะไม่เกรงใจแล้ว

น่าเสียดายที่ทิญาถูกเขาชักชวนได้สำเร็จ พิจารณาสักครู่แล้วตอบว่า “บอส คุณพูดถูก ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่เกรงใจแล้วนะคะ คืนนี้จะอยู่ที่นี่ พรุ่งนี้ค่อยกลับไปทำงาน”

ฉินสือโอวอยากจะตบตัวเอง แม่งเอ๊ยใครใช้ให้เราปากไม่ดี สุภาพบ้าอะไร ดูสิตอนนี้ก็ตกหลุมลงไปเองแล้วเนี่ย?

ในเมื่อตัดสินใจจะอยู่ต่อแล้ว ทิญาจึงจะเข้าเมืองไปโรงแรมหาห้อง ห้องที่เธอเคยอยู่ในฟาร์มปลาก่อนหน้านั้นให้พวกชาวประมงอาศัยอยู่ไปแล้ว

หลังจากที่ทิญาจากไปไม่นาน วินนี่ก็ขับรถกลับมา ฉินสือโอวดูเวลาแค่สามโมงครึ่ง จึงพูดว่า “วันนี้คุณเลิกงานไวจัง?”

วินนี่ยิ้มหวานแล้วพูดว่า “ตอนนี้ฉันท้องแล้วไง ในเมืองไม่มีเรื่องอะไรฉันก็เลยกลับมา ไม่จำเป็นต้องไปอยู่แถวนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปฉันต้องระวังในเรื่องการพักผ่อนหน่อย จริงไหมคะ?”

ฉินสือโอวปรบมือรัวๆ “พูดถูกต้อง ไม่ผิดเลยสักนิดเดียว!”

เดิมทีก็เป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นในเมืองใหญ่ขนาดไหน แต่มันก็เป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับครอบครัว เรื่องที่เกิดขึ้นกับวินนี่ต่อให้เล็กขนาดไหนก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับครอบครัวของพวกเขา จุดสำคัญแบบนี้ไม่ควรสับสน

วินนี่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ฉินสือโอวคิดจะนั่งอยู่บนโซฟาเล่นอินเทอร์เน็ต ช่วงจังหวะนี้เองกอร์ดอนก็เดินออกมา เดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้าเขาตลอดเวลา

“นายทำอะไรน่ะ? ถ้าว่างก็ไปตัดหญ้าที่ลานกว้างไป” ฉินสือโอวกล่าวอย่างเคืองๆ

กอร์ดอนกระแอม พูดลากเสียงยาว “ฉิน ตอนนี้ผมขาดเงินอยู่หน่อย”

ฉินสือโอวชี้ไปที่ด้านนอก แล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นนายก็ไปเล็มหญ้าสิ ราคาเดิม หนึ่งตารางได้หนึ่งสตางค์ นายต้องขยันหน่อย วันนี้น่าจะได้ร้อยสองร้อยหยวนอยู่นะ”

กอร์ดอนหมุนโทรศัพท์ในมือจากนั้นก็เขย่าขาของเขาแล้วพูดว่า “ไม่ ผมไม่อยากทำงาน ผมคิดว่าคุณควรให้เงินค่าขนมผมหน่อย แน่นอนว่าหนึ่งหรือสองร้อยหยวนก็เพียงพอแล้ว”

ฉินสือโอวมองไปที่เขา จากนั้นก็วางโทรศัพท์หยิบหมอนขึ้นมาแล้วโยนออกไป พูดด้วยความโมโหว่า “นายไปเรียนสำเนียงเจ้าเล่ห์แบบนี้มาจากไหนกัน? เรียนรู้ท่าทางเจ้าเล่ห์แบบนี้มาจากใคร? มานี่ ฉันต้องสั่งสอนนายหน่อยแล้ว!”

กอร์ดอนตกใจกลัว วิ่งไปข้างนอกตามสัญชาตญาณ ตะโกนอย่างเขินอายว่า “ขอโทษครับ คุณอย่าโกรธผมเลยนะ ผมเลียนแบบแลร์รีมา ผมรับปากว่าวันหลังจะไม่ทำตามแล้ว…”

วิ่งออกไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หยุดวิ่ง ยกมือถือขึ้นมาแล้วพูดว่า “ผมลืมบอกคุณไปใช่ไหมฉิน ในมือผมมีสิ่งที่คุณคงไม่อยากให้ใครเห็นแน่ๆ…”

ฉินสือโอวแย่งมือถือมาได้ในพริบตาเดียว กอร์ดอนตอบสนองไม่ทัน พอเขารู้ตัวอีกที มือถือในมือเขาก็หายไปแล้ว

มือถือเขาไม่ได้ล็อคหน้าจอ ดังนั้นฉินสือโอวจึงเปิดดูได้ง่ายๆ จากนั้นก็ไปที่อัลบั้มเห็นวิดีโอหลายอันอยู่ หลังจากเปิดดูวิดีโอก็ปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือวิดีโอที่เขาอยู่กับทิญาเมื่อกี้

คาดว่ากอร์ดอนอยู่ห่างออกไปตอนที่อัดวิดีโอนี้จึงอัดไม่ได้ยินเสียงใดๆ แต่พอเป็นแบบนี้ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับทิญาดูเหมือนกิ๊กกันมากขึ้น โดยเฉพาะฉากที่เขาพูดล้อเล่นใกล้ๆ หูของทิญา ดูเหมือนกำลังจีบกันมาก

พอเป็นแบบนี้ฉินสือโอวนายใหญ่ก็พลันคิดขึ้นได้ บ้าเอ๊ย เจ้าเด็กนี่คิดจะมาข่มขู่ฉันเหรอ

กอร์ดอนที่อยู่ข้างๆ มองอ้าปากค้าง “พระเจ้า คุณรู้ได้อย่างไรว่าผมอัดวิดีโอแล้ว?”

ฉินสือโอวพูดเสียงเย็น “จะจัดการกับเด็กอย่างนาย ฉันน่ะมีสมอง นายคิดจะทำอะไร ฉันเดาออกหมดแหละ!”

เหตุผลง่ายมากๆ เมื่อกอร์ดอนบอกว่ามีบางสิ่งในโทรศัพท์ของเขาที่ตัวเขาไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ ก็ต้องเป็นภาพถ่ายหรือไม่ก็วิดีโอ นอกจากนี้เขาไม่สามารถรับกับสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นได้

พอมือถือถูกเอาไป กอร์ดอนก็กลืนน้ำลายเฮือก “คุณอย่าคิดที่จะลบวิดีโอนี้ทิ้งนะ คุณลบออกก็ไม่มีประโยชน์ ผมก๊อบปี้เก็บไว้แล้ว ถ้าคุณไม่ให้เงินค่าขนมผมสองร้อยหยวน ผมก็จะให้พี่วินนี่ดู…โอ้ย พระเจ้า! เชี่ย! แม่ง!”

เขาพูดยังไม่ทันจบ ฉินสือโอวโยนหมอนออกไปอย่างแรง หมอนถูกปาไปที่หัวเขาจนเขาโซเซ หลังจากนั้นฉินสือโอวด่าไปก็ตีเขาไป “แก ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย กล้าด่าคนด้วยเหรอ? บอกมา ว่าใครสอน?”

กอร์ดอนเตรียมเผ่น ปากร้องโหยหวน “พี่ฉิน อย่าตีผมเลย ผมไม่กล้าแล้ว ผมก็แค่ล้อเล่นกับคุณ…”

“แม่งยังเรียกซะสนิทอีก พี่แท้ๆ เหรอไง? ต่อให้เรียกว่าพ่อแท้ๆ ฉันก็จะตีนายให้ตาย!” ฉินสือโอวยังคงใช้หมอนตามตีเขาไม่หยุดหย่อน ตีจนกอร์ดอนเดินโซซัดโซเซไปตลอดทาง จะหนีก็หนีไม่ได้

วินนี่พอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินออกมา พอเห็นฉากที่ทั้งสองคนไล่ตามกันอยู่ ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “ทำอะไรน่ะ พวกคุณเล่นอะไรกัน?”

เมื่อกอร์ดอนเห็นวินนี่ตามมาข้างหลังก็ราวกับเห็นพระแม่มารีย์อย่างไรอย่างนั้น ดวงตาพลันสว่างวาบ เขาวิ่งไปซ่อนตัวอยู่ข้างหลังวินนี่และตะโกนว่า “พี่วินนี่ ช่วยด้วย! ฉินอยากจะฆ่าคนปิดปาก ผมมีความลับที่ไม่ดีของเขา เขาเลยอยากฆ่าผมปิดปากให้ความลับมันจมอยู่กับอดีตไป!”

วินนี่ยิ้มแล้วห้ามฉินสือโอวไว้ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ?”

หลังจากที่ฉินสือโอวยื่นมือถือให้เธอก็พูดด้วยความโกรธเคืองว่า “เจ้าเด็กบ้านี่มันอัดวิดีโอที่ผมคุยกับทิญา แล้วเอามาขู่ผม บอกว่าถ้าผมไม่เงินให้เขา เขาก็จะเอาคลิปให้คุณดู นี่เป็นการกระทำที่เป็นการขู่กรรโชก เป็นความผิด!”

วินนี่ดูคลิปผ่านๆ ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “ถ้าอย่างนั้นตกลงแล้วคุณทำอะไรกับเธออยู่?”

ฉินสือโอวไม่กลัวว่าวินนี่จะรู้ความจริง เขาไม่เคยเห็นผู้หญิงที่มีอีคิวสูงกว่าวินนี่เลย เรื่องแบบนี้ไม่สามารถปกปิดได้ แต่ควรพูดอย่างตรงไปตรงมาดีกว่า “ทิญาช่วยผมทำงานที่สำคัญมากงานหนึ่งสำเร็จ ผมเลยชวนเธอให้อยู่ต่อกินข้าวเย็นด้วยกัน เธอเลยแซวผมว่าผมมีอะไรลับลมคมในหรือเปล่า หลังจากนั้นผมก็ล้อเล่นกับเธอเหมือนกัน”

วินนี่พยักหน้ารับ “โอเค ฉันเข้าใจล่ะ หลังจากนั้นเรื่องนี้ก็ถูกกอร์ดอนถ่ายเก็บไว้ได้ ต่อจากนั้นเขาก็เลยเอาเรื่องนี้มาขู่คุณ?”

ฉินสือโอวตอบ “ใช่เลย”

วินนี่กระเถิบออกไป ชี้ไปที่กอร์ดอนแล้วเรียกหู่เป้าฉงหลัวที่กำลังดูอย่างตื่นเต้นตรงหน้าประตูว่า “มาๆ มากดตัวเขาไว้ วันนี้ฉันจะต้องสั่งสอนสักหน่อยแล้วว่าควรทำตัวอย่างไร!”

หู่เป้าฉงหลัวเดิมทีได้ยินเสียงถึงค่อยวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่คิดว่าจะได้มีส่วนร่วมด้วย ดังนั้นพอได้รับคำสั่งจากวินนี่ พวกมันดวงตาเปล่งประกายทันที รีบวิ่งโผเข้ากอร์ดอนกันใหญ่…

……………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท