ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1750 สนามรบหลัก

บทที่ 1750 สนามรบหลัก

พออยู่ดีๆ เมื่อคนสนใจเขาน้อยลง ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงนั่งบนรถม้าพร้อมกับอุ้มลูกสาวของเขาในอ้อมแขน ขาหย่อนอย่างสบายๆ และมองไปรอบๆ อย่างเบื่อหน่าย

โชคดีที่เขายังคงเป็นหนึ่งในจุดสนใจ มีคนมาถามด้วยรอยยิ้ม “สวัสดี คุณราชาแห่งท้องทะเล ฉันขอถ่ายรูปกับรถม้าของคุณได้ไหม?”

ม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ถูกย้อมให้เป็นสีทอง ตัวปอหลัวเองก็เปลี่ยนเป็นสีทอง ดังนั้นรถม้าคันนี้จึงให้ความรู้สึกของรถม้าทองคำมากๆ รูปลักษณ์ภายนอกดูดี แต่แน่นอนว่าเทียบไม่ได้เลยกับอานวาฬทองชุบของเขา ถ้าหากเขายังขี่อยู่บนหลังวาฬหัวทุยล่ะก็ จะต้องเป็นตัวเอกแน่นอน

ช่วยไม่ได้ ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบบนโลกใบนี้ แม้ว่านั่งบนวาฬหัวทุยจะดึงดูดสายตาจากคนอื่นได้ แต่ก็ขึ้นฝั่งไม่ได้ เมื่อขึ้นฝั่งแล้วก็ต้องใช้รถม้าทองคำที่เลียนแบบมา คนส่วนมากยังคงไม่สนใจในสิ่งนี้ ยิ่งไปกว่านั้นรถม้าของเขามีกวางมูสมาร่วมแจมด้วย…

ฉินสือโอวโพสท่า ชายหนุ่มในชุดเกราะเหล็กวิ่งขึ้นไปบนรถม้าอย่างมีความสุข หลังจากนั้นก็พูดขึ้นว่า “คุณครับ ช่วยกระเถิบออกไปหน่อยได้ไหมครับ ผมแค่อยากถ่ายกับรถม้า…”

แม่งเอ๊ย! ฉินสือโอวนายใหญ่รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที เจ้าเด็กน้อยกล้าดูถูกฉันเหรอ นายแม่งเชี่ยแบบนี้ที่บ้านรู้บ้างไหมเนี่ย?

โชคยังดีที่ยังมีคนอยากถ่ายรูปคู่กับราชาแห่งท้องทะเล ร่างกายท่อนบนของฉินสือโอวยังนับว่ามีเสน่ห์ดึงดูดอยู่มาก มีผู้หญิงขึ้นมาถ่ายรูปคู่กับเขาอย่างใกล้ชิด เมื่อเป็นแบบนี้ถึงค่อยบรรเทาความโกรธของราชาแห่งท้องทะเลได้หน่อย

เมื่อมีคนเริ่ม ภายหลังจึงมีคนอื่นๆ มาขอถ่ายรูปด้วย ด้วยเหตุนี้ราชาแห่งท้องทะเลและลูกสาวแห่งท้องทะเลจึงเริ่มยุ่งกับงานแล้ว

ในขณะที่กำลังถ่ายรูป อยู่ดีๆ ก็มีมือหนึ่งยื่นไปตรงหน้าเขาพร้อมชามที่แตก ฉินสือโอวตกใจ หันไปมอง เป็นคนที่แต่งเป็นขอทานคนหนึ่งมาขอเงิน

“โอเค ได้ๆ…” ประโยคนี้พูดออกมาเป็นภาษาจีน

ฉินสือโอวประหลาดใจที่ขอทานต่างชาติรับรู้ข่าวสารไวขนาดนี้เลยเหรอ? เกาะแฟร์เวลจัดงานกิจกรรม มีขอทานมาร่วมงานด้วยเหรอเนี่ย? แถมขอทานคนนี้ยังรู้จักใช้ภาษาจีนในการขอทานอีก เห็นๆ อยู่ว่าเป็นคนผิวขาว มีความสามารถรอบด้านเกินไปแล้วมั้ง?

“ขอเงินหน่อย ขอเงินหน่อย” ขอทานยังคงพูดด้วยภาษาจีนเสียงแข็ง ชามแตกยังคงส่ายไปมาอยู่หน้าเขา

ฉินสือโอวฟังเสียงแล้วรู้สึกคุ้นหู เขามองประเมินดูสักพักก็มองออกมา “ไอ้บ้าเอ๊ย ไอ้แลร์รี ฮิวจ์? เชี่ย นายทำไมแต่งออกมาเป็นแบบนี้ล่ะ?”

ทั้งตัวของขอทานถูกคลุมด้วยเศษผ้าเก่าๆ แล้วยังมีผมยุ่งๆ บนศีรษะอีก ตรงเอวผูกเชือกไว้จูงสุนัขอีกหนึ่งตัว ดังนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเขามีความสัมพันธ์ที่สนิทกับฮิวจ์คนน้อง คงดูไม่ออกเลย

พอเห็นว่าเขาจำเขาได้แล้ว ฮิวจ์คนน้องก็ยิ้มร่าออกมา “เฮ้ ฉิน การรับรู้ของนายนี่มันไม่เลวเลยจริงๆ ใช่แล้ว ฉันเอง เป็นอย่างไรบ้างการแต่งกายของฉัน เท่ไหม?”

ฉินสือโอวสูดดมกลิ่นเหม็นแล้วพูดขึ้น “บ้าเอ๊ย นายเอาชุดนี้มาจากไหนเนี่ย? กลิ่นประหลาดมากๆ”

แลร์รี ฮิวจ์ส่ายศีรษะไปมา พูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ฉันซื้อมาจากคนจรจัดสองคนแล้วเอามาประกอบกันเป็นชุดเดียว…”

“นายบ้าไปแล้วหรือไง? ใส่ชุดคนจรจัดจริงๆ ได้อย่างไรกัน?” ฉินสือโอวอุ้มลูกสาวแล้วถอยห่างไปด้านหลัง

“ก็นี่เป็นสงครามผู้กล้า ทุกอย่างต้องสมจริงหน่อย ในเมื่อฉันแต่งเป็นขอทานมาขอเงิน ฉันก็ต้องใช้ชุดของคนจรจัดจริงๆ สิ!” ฮิวจ์คนน้องอธิบายตามเหตุผล

ฉินสือโอวชื่นชมในตัวเขา แล้วก็ก่นด่า “นายนี่มันเป็นหนุ่มน้อยที่ดีจริงๆ บ้าเอ๊ย นายไม่ต้องเข้ามาใกล้ฉันเลย!”

เขาไม่ได้ดูถูกคนจรจัดเร่ร่อน ที่แคนาดาคนจรจัดหลายคนเป็นศิลปินหรือปัญญาชนอาวุโสที่ใฝ่หาชีวิตอิสระ

อย่างไรก็ตาม บนคนพวกนี้คงมีพวกแบคทีเรีย ไวรัสและหมัดอยู่ไม่น้อย เขาไม่อยากเอาสิ่งพวกนี้มาถูกตัวลูกสาวของเขา สาวน้อยยังมีผิวที่บอบบาง ถ้าติดเชื้อหมัดพวกนี้ วินนี่ต้องฆ่าเขาตายแน่ๆ

ถ้าคนตรงหน้าเป็นคนจรจัดจริงๆ เขาคงจะไม่ถอยออกห่างเพื่อที่จะได้สอนลูกสาวในเรื่องความเมตตาและเคารพในศักดิ์ศรีของบุคคลอื่น แต่เนื่องด้วยคนข้างหน้าเป็นแลร์รี ฮิวจ์ที่แต่งกายเป็นคนจรจัด เขาถึงได้ไม่ต้องสนใจศักดิ์ศรีของไอ้บ้านี่

ฮิวจ์คนน้องปลอบประโลมเขาว่า “ไม่ต้องห่วงนะ ฉันน่ะจำกัดแบคทีเรียไวรัสและฆ่าเชื้อชุดนี้แล้ว”

ฉินสือโอวมองไปทางเขาอย่างไม่เชื่อ “ถ้านายฆ่าเชื้อแล้ว ทำไมไอ้กลิ่นเน่านี่มันถึงยังอยู่ล่ะ?”

ฮิวจ์คนน้องหัวเราะเสียงดัง “เพราะฉันใช้วิธีฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อและโรยผงฆ่าเชื้อบนเสื้อผ้า ไม่ได้เอาไปซักสักหน่อย”

”ไปไกลๆ เลย!” ฉินสือโอวยกตรีศูลขึ้นมา ราชาแห่งท้องทะเลจะลุกขึ้นสู้เพื่อปกป้องลูกสาวของเขาแล้ว

แลร์รี ฮิวจ์ยกชามขึ้นมาอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นนายก็ต้องให้เงินหน่อยสิ นายคงไม่ได้ไม่มีจิตเมตตาขนาดนั้นใช่ไหม? ฉิน นายต้องเข้าใจนะว่าเถียนกวามองไม่ออกว่าฉันเป็นใคร นายจะไล่คนจรจัดไปงั้นเหรอ?”

ฉินสือโอวกะพริบตาปริบๆ เขามองไปที่ลูกสาว เด็กหญิงตัวน้อยกำลังมองประเมินแลร์รี ฮิวจ์ด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยู่ ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “แต่ว่าฉันไม่ได้พกเงินเลย ฉันขึ้นมาจากทะเล จะพกเงินยังไงเล่า”

ฮิวจ์คนน้องยักไหล่ “ฉันไม่สนใจเรื่องนั้นหรอก”

ฉินสือโอวนายใหญ่รู้สึกหงุดหงิดกับท่าทางของเขามาก แม่ง ใช่นายมันอ่อนแอ แต่นายก็มีเหตุผล นายมันจน นายมันอวดเก่ง อย่างไรก็ตามเขาก็ไร้หนทางแล้วจริงๆ จึงทำได้เพียงไปถามบูล “พกเงินมาหรือเปล่า?”

บูลพูดไปตามเหตุผลว่า “แน่นอน พกสิ ใครออกจากบ้านแล้วจะไม่พกเงินบ้าง?”

ฉินสือโอวโบกไม้โบกมือ “ไม่ต้องพูดมาก เอากระเป๋าตังมาให้ฉันหน่อย ฉันจะใช้”

บูลล้วงออกมาอย่างมีความสุข ฮิวจ์คนน้องเอื้อมมือไปหยิบมันต่อ หลังจากเปิดมัน เขาก็เอาเงินที่อยู่ข้างในออกมาทั้งหมดแล้วยัดมันเข้าไปในเสื้อผ้าสกปรกของเขา จากนั้นก็ส่งต่อกระเป๋าเงินให้ฉินสือโอวและจากไปอย่างพึงพอใจ

“เชี่ย นั่นมันสองพันหยวนเลยนะ!” บูลร้องตะโกนด้วยความโมโห

ฉินสือโอวกล่าวอย่างอ่อนแรง “กลับไปแล้วไปหาฉัน ฉันให้เลยสามพัน”

พอได้ยินคำพูดนี้บูลก็รู้สึกผิด เกาหัวแล้วพูดขึ้นว่า “แบบนั้นรู้สึกไม่ดีจะตาย อย่างนี้ก็ไม่เท่ากับว่าผมหาได้สองพันหยวนหรอกเหรอ?”

ฉินสือโอวจ้องไปที่เขา บูลยิ้มอย่างประหม่า “บอส ผมล้อเล่น”

“สรุปเมื่อกี้คือเท่าไรกันแน่? อย่าบังคับให้ฉันต้องไปถามจากแลร์รี ฮิวจ์”

“นั่นคือแลร์รี ฮิวจ์ ไอ้บ้าแม่งเหรอ?! เชี่ย! ถ้ารู้ก่อนหน้านั้นผมไม่ให้เงินมันหรอก ผมยังนึกว่าเป็นคนจรจัดมาที่เมืองเราจริงๆ!”

“เงิน! เท่า! ไร!”

“หนึ่งพันสองร้อยหยวนครับ!” บูลแสยะยิ้ม

ฉินสือโอวชูนิ้วกลาง แต่พอคำนึงว่ามันไม่เหมาะเพราะในอ้อมอกยังอุ้มเถียนกวาอยู่ จึงถลึงตาไปที่เขา แล้วพูดขึ้นว่า “เงินพวกนี้สูญหายไปหมดละ ถือซะว่าเป็นบทเรียนของนาย กล้ามาหลอกบอสของนาย?”

งานนี้จัดขึ้นเป็นเวลาสองวันติดต่อกัน และยังประสบความสำเร็จอย่างมากด้วย โดยเฉพาะราชาแห่งท้องทะเลของฉินสือโอว ร่างที่กล้าหาญของเขากำลังควบอยู่บนทะเลได้รับการบันทึกและโพสต์ลงใน YouTube โดยมีการคลิกมากกว่า 5 ล้านครั้งในวันเดียว นอกจากนี้ชุดนางฟ้าของวินนี่ยังทำให้ผู้คนประหลาดใจได้ไม่น้อย ท่าทางที่สง่างามของเธอที่บินอยู่ในอากาศได้ถูกถ่ายทำเพื่อเป็นข่าวในโฆษณา

วันเสาร์ส่วนใหญ่ทุกคนจะแสดงชุดและการแต่งกายของพวกเขา วันอาทิตย์ถึงเป็นวันแห่งการต่อสู้ ค่ายต่างๆ สามารถนัดต่อสู้ได้ และนี่คือแก่นแท้ของสงครามผู้กล้า ดาบและปืนที่พวกเขาถือทั้งหมดคือของจริง!

ฉินสือโอวไม่อยากเข้าร่วมกิจกรรมแบบนี้ เขาพาลูกสาวมาด้วยจึงกลัวเจอจะเกิดอุบัติเหตุ ผลปรากฏว่าทะเลกลับเป็นสนามรบหลัก!

……………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท