ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1748 โพไซดอนขึ้นฝั่ง

บทที่ 1748 โพไซดอนขึ้นฝั่ง

แสงอาทิตย์ทะลุเมฆสีขาวออกมาราวกับดาบอันแหลมคมนับไม่ถ้วนพุ่งลงไปในมหาสมุทร คลื่นทะเลปั่นป่วน ท่ามกลางเสียงลมที่ร้องโหยหวน มหาสมุทรลึกก็ดูไร้ซึ่งความปรานียิ่งกว่าเดิม

ในสถานการณ์แบบนี้ อานไม้ที่เปล่งประกายแวววาวสีทองปรากฏขึ้นบนท้องทะเล และแสงแดดสีทองก็สาดส่องไปที่อานไม้สีทอง แสงนั้นส่องประกายเฉิดฉาย แสงสีทองสะท้อนตัดกัน แสงสว่างจ้าที่แสบตาเข้ามาอย่างรวดเร็วผ่านสายลมและเกลียวคลื่น ทำให้ผู้คนตกใจอย่างมาก

ฉินสือโอวที่เปลือยท่อนบนขี่อยู่บนอานไม้ที่ทาด้วยสีทอง เขาถือตรีศูลเหล็กสีดำยาวไว้ในมือซ้าย และอุ้มเถียนกวาเงือกน้อยไว้ในมือขวา เถียนกวาอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างไม่มีความสุข สองขาเล็กและสั้นยังคงขยับไปมา เพื่อให้หางปลาขยับขึ้นลงตบไปที่อานไม้ ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่ยอมแพ้ ยังพยายามดิ้นรนจะเอาหางปลาที่น่าเกลียดนี้ออกให้ได้

เขาแต่งตัวไม่เยอะ นอกจากตรีศูลแล้ว เขาสวมเพียงผมปลอมยาวสีขาวบนศีรษะ และมีเคราสีขาวหนาอยู่ใต้คาง มีอารมณ์โกรธา หนวดเคราปลิวไปมา บวกกับผงสีทองที่ทาอยู่บนตัวเขา เมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อเขายืนอยู่บนหลังวาฬและแสดงสีหน้าจริงจังและเย็นชา มันทำให้เขาดูเหมือนเทพเจ้าแห่งสงครามที่พุ่งออกมาจากส่วนลึกของมหาสมุทร แข็งแกร่งเกินใคร!

ลูกพี่วาฬหัวทุยว่ายด้วยพละกำลังทั้งหมดของมัน ตัวของมันเลียบไปกับผิวน้ำทะเล เพื่อให้อานของวาฬค่อยๆ ลอยขึ้นราวกับเนินเขาที่ลอยอยู่บนผิวน้ำทะเลขยับไปมาได้ และฉินสือโอวก็คือเทพเจ้าคิงคองที่คอยปกป้องภูเขาลูกนี้ ห้ามรุกราน!

ฉินสือโอวขี่เจ้าวาฬหัวทุยเข้าใกล้เรือข้ามฟากอย่างรวดเร็ว เขาจงใจทำสีหน้าเคร่งขรึม คิ้วสีขาววาดยาวกระดกขึ้น ดวงตาของเขาเหมือนค่ำคืนที่หนาวเหน็บ มือซ้ายถือตรีศูลวางลงบนหลังวาฬ กล้ามเนื้อแขนเป็นมัดๆ ท่าทางเหมือนผู้มีอำนาจกลับสู่บ้านแล้ว

เขาขี่วาฬหัวทุยวนรอบเรือข้ามฟากในจุดที่ไม่ไกลออกไป ฉินสือโอวยื่นมือหยิบหมวกไวกิ้งของเขามาไว้บนตรีศูล ยังคงใช้ตรีศูลค้ำยันยืนตรงต่อไป หลังจากทำท่าสะบัดผมอย่างหยิ่งผยองเกินใครแล้ว ก็บังคับวาฬหัวทุยให้ว่ายไปทางท่าเรือ

ผู้เข้าร่วมงานที่อยู่บนเรือต่างคลั่งไคล้ ตอนที่ฉินสือโอวปรากฏตัว พวกเขาต่างกรีดร้องเสียงดัง คนพวกนี้พกกล้องสะท้อนภาพเลนส์เดี่ยวมาด้วย คนที่ชอบเล่นคอสเพลย์มักจะเป็นช่างภาพกึ่งมืออาชีพด้วย ดังนั้นบนเรือจึงมีทั้งกล้องสั้น กล้องยาวโผล่ขึ้นมาเล็งไปที่ฉินสือโอวกดถ่ายอย่างบ้าคลั่ง ถ่ายไปกรีดร้องไป

“เชี่ย โคตรหล่อ! เขาขี่อะไรมาน่ะ? เขาเป็นโพไซดอนจริงๆ เหรอเนี่ย?”

“บ้าเอ๊ย อย่ามาบังสิ พระเจ้า ฉันไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย หรือว่าฉันเกิดจิตมโนแล้ว?”

“โพไซดอนของฉัน มาหาฉันนี่ ฉันจะมีลูกกับคุณ! พวกเราพี่น้องจะมีลูกให้กับคุณ! โอ้ว โอ้ว โอ้ว พระเจ้า ฉันจะถึงจุดสุดยอดแล้ว!”

แม้กระทั่งตำรวจที่มีสีหน้าบึ้งตึงมาก่อนหน้านี้ยังรู้สึกตื่นเต้น พวกเขาไม่ได้พกกล้องถ่ายรูป จึงเอามือถือมาถ่ายรูปแทน

น่าเสียดายที่วาฬหัวทุยเร็วไม่ทันเรือข้ามฟาก เพียงชั่วครู่เดียวก็ถูกทิ้งไว้ด้านหลัง เมื่อเป็นแบบนี้ร่างของคนที่อยู่บนเรือจึงเล็กลงเรื่อยๆ หลังจากคาดว่าฝ่ายตรงข้ามจะถ่ายรูปไม่เห็นตัวเอง ฉินสือโอวจึงวางตรีศูลแล้วนั่งลง อุ้มเถียนกวาพยายามจัดระเบียบกับหางปลาให้เธออยู่ “เด็กดีนะ เถียนกวา ให้ความร่วมมือกับปาป๊าหน่อยนะ ได้ไหมคะ? กลับไปปาป๊าเอานมให้เราดื่ม นมหวานๆ ด้วย”

ตอนที่อยู่ประเทศจีน เด็กๆ ส่วนมากจะหย่านมอย่างน้อยเมื่ออายุ 5 เดือนหรืออย่างมาก 10 เดือน แต่ที่แคนาดาจะแตกต่างออกไป ที่นี่จะใช้คำแนะนำจากองค์กรอนามัยแห่งชาติ ซึ่งโดยทั่วไปจะหย่านมตอนอายุ 2 ขวบ บางครอบครัวให้ลูกดื่มนมแม่จนถึงอายุ 2 ขวบด้วยซ้ำ

วินนี่ใช้นมแม่ให้เถียนกวาจนถึง 10 เดือนก็เปลี่ยนเป็นใช้นมผง ช่วยไม่ได้ เจ้าเด็กน้อยกินเก่งมาก วินนี่ป้อนให้เธออย่างไรก็ไม่อิ่ม อีกอย่างเธออะไรก็กินหมด แล้วการดื่มนมผงก็เป็นการพัฒนาที่ดีสำหรับสุขภาพ ดังนั้นจึงเปลี่ยนเป็นนมผง

เมื่อเธออายุเกิน 1 ขวบกว่า เด็กหญิงตัวน้อย พอมีฟันงอกออกมาก็เริ่มกินอาหารที่มีลักษณะนิ่มได้ ตอนนี้เธอสามารถกินเค้กชิ้นเล็กๆ ปลานึ่งและอาหารจำพวกเนื้อกุ้งได้ แต่เธอยังต้องจับคู่นมผงให้กับเธอ

วินนี่เตรียมที่จะหย่านมให้เธอในช่วงฤดูใบไม้ร่วง พอเริ่มปรับตัวได้ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง พอถึงฤดูหนาวก็จะไม่มีผลกระทบที่ไม่ดีอะไรแล้ว

เถียนกวาก็ค้นพบว่าตอนนี้ตัวเธอดื่มนมได้น้อยลงเรื่อยๆ การรับรู้รสของเด็กแตกต่างจากของผู้ใหญ่อย่างเห็นได้ชัด ฉินสือโอวใช้นมวัวมาแทนที่ แต่เธอสามารถบอกได้ในคำเดียวหลังจากดื่มว่าต้องการดื่มนมผงมากกว่า

เมื่อได้ยินคำพูดของฉินสือโอว เด็กหญิงตัวน้อยก็เริ่มไหวหวั่น แต่เท้าสองเท้าถูกรัดแบบนี้ก็รู้สึกไม่สบายจริงๆ ดังนั้นเธอก็ยังพยายามดิ้นรนในบางครั้ง

พอเป็นแบบนี้ เมื่อผ่านชายฝั่ง ฉินสือโอวจึงลากแมวน้ำทั้งสองขึ้นมา เมื่อเห็นเจ้าแมวน้ำตัวน้อยของเธอ เถียนกวาก็จะสงบลงในที่สุด เธอกอดแมวน้ำตัวน้อยไว้ในมือข้างหนึ่ง และพวกตัวเล็กทั้งสามก็แนบอยู่ในอ้อมอกของฉินสือโอวนายใหญ่ ฉันจูบคุณ คุณหอมฉัน ช่างเป็นภาพที่ดูมีความสุข

ฉินสือโอวแสยะยิ้ม ความสง่าผ่าเผยของโพไซดอน!

เขาตั้งใจจะขึ้นฝั่งที่ท่าเรือในเมืองเล็ก กลุ่มของม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์และกวางอูฐรออยู่บนริมชายหาดแล้ว พวกเขากำลังว่ายอยู่ในทะเล ด้านหลังพวกมันลากรถม้าขนาดเล็กที่เปลี่ยนมาจากรถลากเลื่อนหิมะอยู่ บนรถมีห่วงชูชีพหลายอัน จึงสามารถลอยบนทะเลได้

วาฬหัวทุยขึ้นฝั่งไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงเปลี่ยนพาหนะในน้ำทะเล นี่เป็นสาเหตุที่เขาเช็กดูว่าม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ว่ายน้ำเป็นไหมในตอนนั้น เพราะถ้าว่ายไม่เป็นคงเจ็บปวดน่าดู เขาคงต้องวิ่งขึ้นไปบนฝั่งเพื่อนั่งรถเทียมม้าน้ำ

วาฬหัวทุยว่ายเข้าหา ฉินสือโอววางเถียนกวาไว้บนรถม้า แล้วทิ้งพวกแมวน้ำไว้

แต่เถียนกวาไม่ยอม สะบัดมือน้อยๆ แล้วร้องตะโกนว่า “จะเอาเพื่อนรัก จะเอาเพื่อนรักด้วย!”

ฉินสือโอวไม่มีตัวเลือกอื่น จึงได้แต่เอาเจ้าแมวน้ำสองตัวไปด้วย พอเป็นแบบนี้ก็แย่หน่อย เพราะเจ้านี่สองตัวน้ำหนักรวมกันก็ประมาณเขาหนึ่งคน ถ้าอยู่บนฝั่งม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์และปอหลัวร่วมมือกันสามารถลากไปได้แน่ๆ แต่ถ้าอยู่บนชายหาดคงทุลักทุเลไม่น้อย

ยังโชคดีที่เขามีพลังงานโพไซดอนเต็มเปี่ยม ป้อนพลังงานให้กับวาฬหัวทุยผู้นำก่อนส่วนหนึ่ง ฉินสือโอวให้มันออกไปจากชายฝั่งเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าโง่นี่ชนเข้ากับชายหาด แล้วเขาก็เปลี่ยนไปขึ้นรถเทียมม้าน้ำ

เดิมทีลักษณะภายนอกของปอหลัวก็เป็นสีทองอยู่แล้ว ฉินสือโอวจึงแค่เปลี่ยนรูปลักษณ์ของม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ เปากงและตี้หลูก็เปลี่ยนเป็นขนสีทอง โดยพ่นผงสีทองไว้หนึ่งชั้นเหมือนกับฉินสือโอว แต่พอผ่านไปหนึ่งวันสีพวกนี้จะหลุดไปเอง ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลใจ

พอขึ้นไปบนรถม้า ฉินสือโอวก็ป้อนพลังโพไซดอนให้กับ ‘ม้าดี’ สามตัว พวกมันลากรถม้าว่ายไปด้านหน้า

มีนักท่องเที่ยวและผู้เข้าแข่งขันจำนวนมากยืนอยู่รอบๆ ท่าเรือ หลังจากที่นักท่องเที่ยวเห็นรถม้าจอดนิ่งอยู่ในทะเล ก็ต่างหยุดมองอย่างอยากรู้อยากเห็น ในขณะที่ผู้เข้าแข่งขันเป็นคนที่อยู่บนเรือลำก่อนหน้านั้น พวกเขาเห็นฉินสือโอวมุ่งหน้าไปยังท่าเรือในเมืองเล็ก จึงตั้งใจรอเขาเป็นพิเศษ

เมื่อเป็นแบบนี้ เมื่อรถม้าทองคำวิ่งมาที่ชายหาดจากทะเล ทันใดนั้นผู้คนบนฝั่งก็บ้าคลั่งขึ้นมา มีคนกรีดร้อง “แม่ง นี่มันคอสเพลย์ขนานแท้!”

ชายหาดมีความนุ่ม ล้อรถม้าจึงสามารถจมลงไปในทรายได้โดยง่าย ฉินสือโอวจงใจปูทางเดินชั่วคราวด้วยแผ่นไม้ไว้ล่วงหน้า ม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์และปอหลัวลากรถม้าวิ่งไปบนแผ่นไม้ตึกๆ และในที่สุดก็ลากเข้าฝั่งได้ด้วยอาการหอบเหนื่อย

ฉินสือโอวนายใหญ่ยืนอยู่บนรถม้า เขาแขวนหมวกไวกิ้งไว้ที่มุมหนึ่งของรถ ส่วนเขายังคงจ้องมองไปที่ด้านหน้าอย่างสง่างามพร้อมยันตรีศูลไว้ น่าเกรงขามอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้!

…………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท