ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1755 ขยายการผลิตเพิ่มขึ้น

บทที่ 1755 ขยายการผลิตเพิ่มขึ้น

บัตเลอร์จงใจกล่าวถึงส่วนแบ่งร้านอาหารระดับมิชลินติดดาวในยุโรป ซึ่งมีสาเหตุจากอย่างอื่น

การประเมินของร้านอาหารมิชลินจัดขึ้นโดยนักชิมอาหารของยางมิชลินและงานนี้ดำเนินการมาเป็นเวลาหนึ่งศตวรรษ 114 ปีก่อนหน้านั้นที่ผู้ก่อตั้งบริษัท มิชลิน มิชลินสองพี่น้องเห็นโอกาสในการเติบโตของการเดินทางด้วยรถยนต์ พวกเขาเชื่อว่าหากการเดินทางด้วยรถยนต์มีความเจริญรุ่งเรืองเพิ่มมากขึ้น ยางของพวกเขาก็จะขายได้ดีขึ้น

ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับร้านอาหาร แผนที่ ปั๊มน้ำมัน โรงแรม ร้านซ่อมรถ เป็นต้นซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์และเผยแพร่ “มิชลินไกด์” ขนาดเท่าหนังสือคู่มือที่พกพาได้

แน่นอนว่า ตอนเริ่มแรกมิชลินไกด์เล่มนี้เป็นคู่มือทำแจก ยังไม่มีเก็บค่าหนังสือ ครั้งหนึ่งสองพี่น้องมิชลินพบว่ามีคนใช้มิชลินไกด์ที่ออกแบบมาอย่างดีเพื่อมารองใต้โต๊ะที่ปั๊มน้ำมัน พวกเขาตระหนักว่าคู่มือแจกฟรี คนอื่นจะไม่ให้ความสำคัญและเห็นคุณค่า ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ให้ฟรีอีกต่อไป แต่เริ่มขายมิชลินไกด์เล่มนี้ และเริ่มจำกัดขอบเขตเนื้อหาให้แคบลงเน้นไปที่การประเมินอาหารรสเลิศและประเมินร้านอาหารทั่วโลก

อย่างรวดเร็ว ร้านอาหารต่างๆ ต่างหวังว่าจะถูกบันทึกอยู่ในหนังสือและมีความต้องการในการจัดอันดับ

พัฒนาจนมาถึงปัจจุบัน ร้านอาหารที่แนะนำโดยมิชลินไกด์สีแดงเล่มนี้ครอบคลุม 23 ประเทศและมีจำนวนถึง 45,000 แห่ง ในแต่ละปีมิชลินไกด์จะจัดอันดับร้านอาหารใหม่ตามผลงานของร้านอาหารในปีที่แล้วและจะมีการเผยแพร่เวอร์ชันใหม่ “มิชลินไกด์” เล่มสีแดงจึงกลายเป็น “คัมภีร์อาหาร” ที่นักชิมทั่วโลกชื่นชอบ และต่อมา “การคัดเลือกรางวัลสามดาวมิชลิน” ประจำปีค่อยๆ กลายเป็นประเด็นที่นักกินให้ความสนใจเป็นประจำทุกปี

ร้านอาหารแห่งแรกที่ได้รับการประเมินโดยมิชลินคือร้านอาหารท้องถิ่นของฝรั่งเศส มิชลินแจกรางวัลมิชลินสตาร์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2469 ต่อมาในปี พ.ศ. 2474 ได้เปลี่ยนระบบการให้คะแนนของมิชลินเป็นหนึ่งถึงสามดาวในเมืองต่างๆ ของฝรั่งเศส ระบบสามดาวได้รับการแนะนำให้ใช้ในปารีสในปี พ.ศ. 2476 ต่อมาจึงได้ขยายไปยังยุโรปอเมริกาและเอเชีย

นอกจากความโรแมนติกและอาหารรสเลิศแล้ว ชาวฝรั่งเศสยังมีจุดเด่นอีกหนึ่งอย่างนั่นคือความเย่อหยิ่ง แน่นอนว่าขุนนางในโรงเรียนเก่าของยุโรปล้วนแต่หยิ่งผยอง มิชลินมีความคิดดื้อรั้นว่าอาหารรสเลิศระดับโลกอาจปรากฏขึ้นทั่วโลก แต่บริษัทของพวกเขาต้องอยู่ในยุโรปและธุรกิจของพวกเขาก็มุ่งเน้นไปที่ยุโรปเช่นกัน

ดังนั้นร้านอาหารมิชลินในยุโรปจึงมีจำนวนมากที่สุดและสำคัญที่สุดในโลก แม้ว่าต่อมาสหรัฐอเมริกาจะกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการเมืองของโลก แต่พวกเขาก็ยังคงปฏิเสธที่จะเปลี่ยนแปลงหลักการของพวกเขา อย่างน้อยยุโรปก็มีร้านอาหารมิชลินมากที่สุด

บัตเลอร์จงใจบอกกับฉินสือโอวถึงอัตราครอบครองของอาหารทะเลต้าฉินของพวกเขาในร้านอาหารมิชลินในยุโรป สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าส่วนแบ่งตลาดอาหารทะเลในยุโรปของพวกเขาสูงเพียงใด

ฉินสือโอวรู้สึกว่าการใช้มิชลินเป็นตัวเปรียบเทียบเพียวๆ นั้นมีค่าเพียงเล็กน้อย ไม่เหมือนกับที่คนส่วนใหญ่คิด คือมิชลินสตาร์จะสะท้อนถึงคุณภาพของอาหารเท่านั้น แต่ไม่รวมถึงการออกแบบตกแต่งร้านอาหาร คุณภาพการบริการ สิ่งอำนวยความสะดวก เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร หรือบริการจอดรถแทนลูกค้า ปัจจัยเหล่านี้เป็นต้น และยิ่งไม่ใช้ราคาของวัตถุดิบในการวัดระดับของอาหารด้วย

มิชลินตัดสินตามเกณฑ์ 5 ประการ ได้แก่ คุณภาพของวัตถุดิบ ระดับทักษะในการเตรียมอาหาร การผสมผสานของรสชาติ ความสร้างสรรค์ ความคุ้มค่าและความสอดคล้องของมาตรฐานการปรุงอาหาร

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ในการประเมินอาหารของพวกเขา คุณภาพของวัตถุดิบในอาหารนั้นอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญมาก อาหารทะเลต้าฉินนั้นมีคุณภาพดีเยี่ยม ซึ่งถ้าร้านมิชลินทำอาหารทะเลและเลือกพวกเขานั้นมันก็เป็นไปตามเหตุผลอยู่แล้ว

เมื่อเร็วๆ นี้ ฉินสือโอวได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับมิชลินไกด์ เนื่องจากหลังจากที่ร้านอาหารต้าฉินเปิดทำการ ก็ต้องได้รับการประเมินโดยพวกเขาเช่นกัน สแตนลีย์ได้ออกใบรับประกันให้กับเขาแล้วว่าต้องการให้ร้านอาหารต้าฉินเป็นร้านอาหารมิชลินสามดาวแห่งแรกที่มีแบรนด์ร้านอาหารแฟรนไชส์ที่ได้มิชลินสามดาวมากกว่าสองร้าน

เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด บัตเลอร์เปลี่ยนมุมมองและเริ่มรายงานสถานการณ์ปัจจุบันของอาหารทะเลต้าฉินในแง่ของมูลค่าการซื้อขายและรายได้ “ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มูลค่าการซื้อขายทั่วโลกของอาหารทะเลต้าฉินมีมูลค่ารวม 4.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากหักค่าเช่า ค่าโฆษณา ค่าขนส่งและค่าแรง รายได้สุทธิอยู่ที่ประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 420% เมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนแรกก่อนหน้านั้นเป็นรายปี และเพิ่มขึ้นต่อเดือนประมาณ 285%”

ฉินสือโอวพยักหน้าและบัตเลอร์กล่าวว่า “เมื่อเดือนที่แล้วในขณะที่ซีกโลกเหนือเข้าสู่ฤดูร้อน ยอดขายอาหารทะเลก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ มูลค่าการซื้อขายต่อเดือนสูงถึงหนึ่งพันล้านดอลลาร์สหรัฐ นี่เป็นครั้งแรกที่มูลค่าการซื้อขายต่อเดือนของเราสูงถึงหนึ่งพันล้านนับตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์อาหารทะเลต้าฉินมา ตามประมาณการ ในครึ่งปีหลังมูลค่าการซื้อขายจะเกินหกพันล้านและรายได้สุทธิจะแตะที่สี่พันล้าน!”

“คาดไม่ถึงว่ากำลังการบริโภคของตลาดอาหารทะเลโลกจะแข็งแกร่งมากขนาดนี้!” ฉินสือโอวลอบถอนใจ

ถ้าหากตลาดของอาหารทะเลไม่ใหญ่พอ ถ้าเช่นนั้นทำไม แมทธิว จินที่เป็นตัวแทนของกรมประมงถึงได้รีบร้อนที่จะฟื้นฟูฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ขนาดนั้นด้วย? อาหารเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้คน และอาหารเป็นสิ่งที่บริโภคได้เร็วที่สุด ตลาดที่ใช้อาหารเป็นหลักจะเป็นตลาดที่มีศักยภาพมากที่สุดในโลกเสมอ

ในความเป็นจริงศักยภาพของอาหารทะเลต้าฉินยังไม่ได้นำออกมาแสดงด้วยซ้ำ บัตเลอร์มีความกระตือรือร้นที่จะขยายขนาด ตอนนี้อาหารทะเลต้าฉินมี 168 สาขาในอเมริกาเหนือ 114 สาขาในยุโรปและ 50 สาขาในเอเชียและอเมริกาใต้ รวมถึงออสเตรเลียและแอฟริกาที่รวมกันมีสาขาทั้งหมด 340 สาขา หากพิจารณาแล้วผลประกอบการต่อเดือนของแต่ละสาขาจะอยู่ที่ 10 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น

เมื่อได้ยินความประหลาดใจในน้ำเสียงของฉินสือโอว บัตเลอร์ก็ยิ้มและพูดว่า “นี่ถือว่ายิ่งใหญ่หรือยัง? ควรทราบว่า พวกเรากำลังปกครองตลาดผู้บริโภคระดับกลางถึงระดับบนเท่านั้น ผลกำไรที่มากขึ้นอยู่ในตลาดผู้บริโภคระดับกลางถึงล่าง ตอนนี้พ่อค้าอาหารทะเลรายใหญ่กำลังยึดตลาดนี้ แต่น่าเสียดายที่เราไม่สามารถลิ้มรสรสชาติของเค้กก้อนนี้ได้”

ฉินสือโอวโบกมือไปมา ใบหน้าเผยให้เห็นรอยยิ้มที่พึงพอใจ “อย่าพึ่งพูดอะไรที่มั่นใจขนาดนั้น เพื่อนผอง ใครบอกกันล่ะว่าเราไม่สามารถลิ้มรสเค้กก้อนนี้ได้?”

บัตเลอร์มองไปที่เขาอย่างประหลาดใจ หยั่งเชิงถามขึ้นว่า “คุณจะขยายขนาดเหรอ?”

ฉินสือโอวหัวเราะ “ไม่จำเป็น ฉันจะให้น้องชายของฉัน ส่งมอบตลาดล่างให้น้องชายของฉันเป็นคนจัดหาให้ก็จบแล้วไม่ใช่เหรอ? พวกเรามาเตรียมแบรนด์ใหม่ อาหารทะเลต้าฉินก็คงไว้เพื่อเป็นชื่อของวัตถุดิบระดับไฮเอนด์ของโลกเถอะ”

อาหารปลาของฟาร์มปลาต้าฉินสอง มีการผลิตอย่างต่อเนื่องสู่ต่างประเทศ แผนการของเขาถูกต้อง เขาต้องใช้เพื่อนร่วมชาติเป็นคนงาน ชาวจีนเป็นเผ่าพันธุ์ที่เหมาะสมกับการทำงานจริงๆ ฉินสือโอวให้ค่าจ้างที่เพียงพอและคนงานก็มีความสุขในการทำงานล่วงเวลา

หากไม่ใช่เพราะความกังวลของฉินสือโอวที่กลัวจะเกิดเรื่อง เขาจะกำหนดชั่วโมงการทำงานเป็น 8+4+2 เป็นเรื่องปกติด้วยซ้ำ คนงานบางคนมีเวลาพักผ่อนวันละแปดชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว สิ่งที่พวกเขาเสียใจที่สุดในตอนนี้คือทำไมพวกเขาไม่สามารถไปทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์ได้ ขอเพียงแค่ได้เงินเดือนสองเท่า พวกเขาก็ยินดีที่จะทำงานทั้งปี!

ขณะนี้ทั้งสองสายการผลิตอิ่มตัวด้วยการผลิตและผลผลิตอาหารปลาต่อวันอยู่ที่ 160 ตัน ซึ่งเป็นจำนวนที่จัดให้ฟาร์มปลาหนึ่งที่ได้ต่อเดือนเท่านั้น แต่พันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์มีเจ้าของฟาร์มปลาที่เป็นสมาชิกมากกว่า 200 คน ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องขยายการผลิต

……………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท