ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1753 จับกุ้งกุลาดำ

บทที่ 1753 จับกุ้งกุลาดำ

เรือสปีดโบ๊ทของชาวเอธิโอเปียอีกลำหนึ่งคิดจะหลบหนี แต่น่าเสียดายที่มีเรือจำนวนมากมาที่เกาะแฟร์เวลในช่วงสองวันที่ผ่านมา โดยเฉพาะจำนวนเรือสปีดโบ๊ทประเภทต่างๆ ที่มีมากกว่า มีแม้แต่เฮลิคอปเตอร์ที่จอดอยู่บนฝั่ง ดังนั้นเรือสปีดโบ๊ทจึงหลบหนีไปไหนไม่ได้

อย่างไรก็ตามคนผิวดำเหล่านี้ฉลาดมาก เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดี พวกเขารีบโยนอาวุธบนเรือลงทะเลทันที จากนั้นยกมือขึ้นมองผู้คนรอบข้างอย่างไร้เดียงสา สวัสดีทุกคน เรามาท่องเที่ยวที่นี่ พวกคุณอย่าโหดร้ายแบบนี้เลยได้ไหม?

นักท่องเที่ยวและผู้เล่นที่เข้าร่วมในรอบนี้ต่างรู้สึกหดหู่ พวกเขาคิดว่านี่เป็นเกมโจมตีที่ทางเมืองจัดขึ้น ปรากฏว่าเมืองนี้ประสบปัญหาการรุกรานจากคนนอกจริงๆ

“ทำไมพวกคุณไม่รวบรวมความกล้าแล้วขึ้นฝั่งล่ะ?” ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนนักฆ่ากล่าวอย่างเสียดาย “คุณควรลองดู พระอัลเลาะห์จะคุ้มครองคุณ พวกคุณสู้เลย ถ้าไม่มีอาวุธ ทางผมนี่มีกริชอยู่ให้คุณยืมได้”

“ใช่ จริงด้วย เห็นแก่พระเจ้า อย่าทำให้พระอัลเลาะห์ต้องขายหน้าเลย รวบรวมความกล้าสิ แล้วให้บทเรียนกับคนบ้านนอกพวกนี้ซะ!”

ชาวเอธิโอเปียกลุ่มหนึ่งเหงื่อเย็นไหลท่วมไปทั้งร่างกาย พวกเขามองไปรอบๆ ด้วยความหวาดกลัว พวกเขาไม่รู้ว่ามีกี่คนที่จ้องมองพวกเขาด้วยสายตามุ่งร้าย ในสายตาของพวกเขาผู้คนเหล่านี้ก็คือคนบ้า

คาดกันว่านี่คงเป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบกับใครบางคนที่ร้องขอให้โจมตีอย่างรุนแรง แต่พวกเขาก็รู้ชัดอยู่ว่า หากพวกเขากล้าต่อกรอย่างรุนแรงกับทางเมือง ถ้าเช่นนั้นแม้แต่ศพของพวกเขาวันนี้ก็คงไม่เหลือไว้!

เรือสปีดโบ๊ทสองลำถูกลากกลับไปในเมือง เจ้าหน้าที่ตำรวจยกปืนขึ้นและจับกุมชาวเอธิโอเปียมีคนตะโกนด้วยสีหน้าเหมือนโดนใส่ร้าย “จับพวกเราทำไม? พวกเราไม่ได้ทำผิดอะไร พวกเราก็แค่อยากมาท่องเที่ยวเท่านั้น”

โรเบิร์ตพูดขึ้นด้วยความรำคาญ “แม่ง อย่ามาเจ้าเล่ห์ซะให้ยากเลย พวกนายคิดว่าทิ้งอาวุธแล้วเรื่องจะจบเหรอ? บอกตรงๆ เลย ที่นี่มีกล้องและวิดีโออัดไม่รู้ตั้งกี่เครื่อง ภาพที่พวกนายถืออาวุธไว้ถูกถ่ายไว้หมดแล้ว!”

ชายหนุ่มชาวเอธิโอเปียชี้ไปที่ผู้คนที่แต่งตัวเป็นโจรสลัดที่อยู่รอบๆ ตัวเขาและตะโกนว่า “พวกคุณดูพวกเขาสิ พวกเขาก็ถืออาวุธด้วยและอาวุธของพวกเขาก็อันตรายกว่า! นี่คือการเลือกปฏิบัติ คุณไม่สามารถจับกุมพวกเราได้ นี่คือการเลือกปฏิบัติ ผมต้องการฟ้องคุณในข้อหาเหยียดสีผิว!”

ตำรวจจับกุมชาวเอธิโอเปียเกือบสี่สิบคนเข้าไว้ด้วยกันอย่างรำคาญใจ แต่สิ่งที่ต้องทำต่อไปนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะพวกเขาไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าคนเหล่านี้เข้ามาเพื่อทำการก่อการร้ายเลย

ฉินสือโอวขึ้นฝั่ง โรเบิร์ตเดินเข้ามาหาแล้วพูดว่า “ตอนนี้จับกุมได้ในนามของการช่วยเหลือในการสอบสวนเท่านั้น หากไม่มีหลักฐานก็ไม่สามารถดำเนินคดีได้ และยิ่งขังพวกเขาไว้ไม่ได้”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าเรื่องราวจัดการได้ยากหน่อย เขาถามว่า “ถ้ามีอาวุธเป็นหลักฐานได้ไหม? ผมให้พวกเพื่อนๆ ลงไปงมอาวุธที่พวกเขาทิ้งลงไปในทะเลขึ้นมาได้ ตรงนั้นน้ำไม่ลึก และน้ำก็คงไม่ได้ทำให้รอยนิ้วมือจางหายไป ถ้างมขึ้นมาแล้วตรวจสอบรอยนิ้วมือก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าอาวุธเป็นของพวกเขา”

โรเบิร์ตชี้ไปยังผู้คนที่มาร่วมงานรอบๆ แล้วพูดว่า “นี่ไม่มีประโยชน์หรอก ลองดูคนพวกนี้สิ อาวุธของพวกเขาน่ากลัวยิ่งกว่า ตราบใดที่พวกคนผิวดำยืนยันหนักแน่นว่ามาเข้าร่วมกิจกรรม ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็หมดหนทาง”

วินนี่อุ้มเถียนกวาแล้วเดินมาทางนี้ เธอขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “พวกเขาพูดอะไรแล้วจะเป็นแบบนั้นก็คงไม่ใช่ล่ะมั้งคะ? คนทุกคนที่มาร่วมงานกิจกรรมได้ลงทะเบียนออนไลน์เรียบร้อยแล้ว ทั้งฐานะ อาชีพ อุปกรณ์การแต่งกายและอาวุธของพวกเขาพวกเรามีบันทึกไว้หมดแล้ว และคนที่มาร่วมในวันที่จัดงานเลย พวกเราทุกคนก็ปฏิเสธที่จะให้ถืออาวุธเข้ามาที่เกาะหมด”

โรเบิร์ตพูดอย่างลำบากใจ “ผมเข้าใจครับ ผมเข้าใจนายกเทศมนตรี แต่นี่เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นโดยภาคเอกชน พวกเขาอย่างมากก็ถือว่าละเมิดกฎ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือพวกเขาไม่นับว่าละเมิดกฎด้วยซ้ำ คุณดูสิ เห็นไหมพวกเขาไม่ได้นำอาวุธเข้ามาในเมืองของเรา ดังนั้นกฎของเราจึงไร้ประโยชน์สำหรับพวกเขา”

ตำรวจนายหนึ่งได้ยินที่พวกเขาถกเถียงกัน ก็เดินเข้ามาแล้วพูดว่า “ใช้แล้วล่ะ เพื่อนผอง กฎเกณฑ์ของพวกคุณไม่มีผลตามกฎหมาย สิ่งเดียวที่สามารถฟ้องร้องได้ในตอนนี้คือพวกเขาจงใจตอบโต้ มีกฎหมายที่จะสามารถอ้างอิงได้ ส่วนอื่นๆ พวกเราอยากช่วยแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ใครให้คุณจัดกิจกรรมแบบนี้ล่ะ? ถ้าไม่มีกิจกรรมนี้ ก็จะสามารถจับกุมพวกเขาได้แน่ๆ!”

ฉินสือโอวได้ยินว่าน้ำเสียงของตำรวจผู้นี้ออกเชิงมีสุขเมื่อเห็นคนอื่นเป็นทุกข์ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเพราะตั้งแต่เมื่อวานนี้ตำรวจต่างเครียดเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องมาตลอด กิจกรรมนี้ทำให้พวกเขาเหนื่อยมาก จึงเป็นเรื่องปกติที่จะมีความคิดเห็นใดๆ

เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็พูดอย่างไม่พึงพอใจว่า “แต่ว่า คุณเคยคิดไหมว่า หากไม่มีกิจกรรมนี้ เราก็คงจะไม่พบพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะลงมือ จับกุมพวกเขาไม่ได้ก็ยังดีกว่าชาวบ้านถูกพวกเขาทำร้ายไม่ใช่เหรอครับ?”

ตำรวจยักไหล่แล้วพูดว่าที่คุณพูดก็มีส่วนถูก หลังจากนั้นก็จากไป อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านพ้นวันนี้แล้ว การรักษาความปลอดภัยของเมืองก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว

พวกเราปรึกษาเรื่องนี้กันคร่าวๆ วินนี่ฟ้องชาวเอธิโอเปียเหล่านี้ในข้อหาการตอบโต้โดยเจตนา มิฉะนั้นตำรวจประจำเมืองจะไม่สามารถจับกุมพวกเขาได้

ในตอนท้ายของกิจกรรมสองวัน ฉินสือโอวนำตรีศูล ชุดเกราะและรถม้าของเขาเก็บไว้บนหิ้ง พวกชาวประมงก็ถอดชุดเกราะและอาวุธของพวกเขาออกและเริ่มการผลิตรอบใหม่

ปลายเดือนสิงหาคม แสงอาทิตย์ส่องสว่าง ที่ฟาร์มปลาเริ่มจับกุ้งกุลาดำแล้ว บัตเลอร์วิ่งมาดูงานที่ฟาร์มปลาด้วยตนเอง เขายังพากลุ่มตากล้องมาถ่ายภาพในขณะที่จับกุ้งด้วย หลังจากนั้นจะนำไปเผยแพร่ในร้านอาหารทะเล

ตอนนี้ร้านอาหารทะเลต้าฉินกำลังจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ทุกวันจะมีวิดีโอของชาวประมงจับปลาและแปรรูปอาหารทะเลเผยแพร่อยู่เสมอ บัตเลอร์หยิบยกคำพูดที่ติดปากว่าให้ผู้บริโภครู้จักอาหารทะเลทุกขั้นตอนตั้งแต่งมจากทะเลจนกินเข้าในปาก

การจับกุ้งกุลาดำไม่ใช่เรื่องง่าย ฟาร์มทั่วไปจะนำมันไปไว้ในบ่อเพาะพันธุ์หรือวางไว้ในตาข่ายที่ล้อมไว้ในพื้นที่ทะเลเพื่อผสมพันธุ์ซึ่งโดยธรรมชาติจะเก็บเกี่ยวได้ง่าย

ฟาร์มปลาต้าฉินจะปล่อยกุ้งโตตามธรรมชาติทั้งหมด ดังนั้นกุ้งที่ออกมาจึงเป็นกุ้งกุลาดำที่เกิดในธรรมชาติอย่างแท้จริง และต้องทำอย่างนี้ถึงจะรู้สึกได้ถึงความเหมาะสมของราคาอาหารทะเลต้าฉินที่สูงลิบลิ่ว

ตามปกติแล้วฉินสือโอวจะเป็นคนสำรวจพื้นที่ทางทะเลเอง ชาวประมงมีความมั่นใจในห้าธาตุพิชิตมังกรของเขามาก ตอนนี้เมื่อเขาบอกว่าจะต้องไปตกปลาที่ไหน ชาวประมงก็จะไปตกที่นั่น

เนื่องจากกุ้งกุลาดำชอบอาศัยอยู่ที่ก้นทะเล จึงเป็นเรื่องยากที่จะจับพวกมันขึ้นมา ดังนั้นต้องดึงดูดพวกมันก่อน จากนั้นเรือประมงจะจับพวกมันทั้งหมดด้วยอวนลากขึ้นมา

ขั้นตอนในการจับกุ้งกุลาดำนั้นยุ่งยากและต้องใช้อวนหลายชนิด เช่น อวนช้อน อวนตาข่ายอวนลาก อวนก้นถุง เป็นต้น อวนบางชนิดใช้ในการจับกุ้งกุลาดำโดยเฉพาะ เมื่อก่อนฉินสือโอวไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำ

ลำแรกเป็นเรือประมงขนาดเล็ก มีติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าอยู่ด้านบนและมีอวนลากแผ่นตะเฆ่ติดท้ายเรือ ที่อวนติดตั้งขั้วไฟฟ้าไว้จำนวนมาก หลังจากที่เรือสตาร์ทแล้วขั้วไฟฟ้าจะได้รับพลังงาน จากนั้นอวนลากแผ่นตะเฆ่จะเคลื่อนที่ไปที่ก้นทะเลและใช้ไฟฟ้ากระตุ้นเพื่อบังคับให้กุ้งกุลาดำออกจากก้นทะเลและลอยขึ้นมา

จากนั้นมีอวนช้อนที่ด้านหลัง ชื่อของอวนนี้เกี่ยวข้องกับเครื่องแต่งกายของอุปรากรจีนซึ่งเหมือนแขนเสื้อขนาดใหญ่ของเสื้อผ้าโบราณ แขนเสื้อมีขนาดค่อนข้างใหญ่ แล้วเก็บตะเข็บที่ด้านหลัง ด้วยวิธีนี้อาศัยแรงภายนอกในการผลักดัน กุ้งที่ลอยอยู่จะถูกรวบรวมในน่านน้ำที่มันไหลผ่าน

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท