ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1754 จักรวรรดิต้าฉิน

บทที่ 1754 จักรวรรดิต้าฉิน

การกระตุ้นด้วยไฟฟ้าทำให้กุ้งกุลาดำลอยขึ้นจากก้นทะเลขึ้นมา และมีอวนขนาดใหญ่ห้อยตามอยู่ด้านหลัง จากนั้นกุ้งตัวใหญ่ตัวอวบอ้วนแต่ละตัวก็ถูกดึงเข้ามาในอวน โดยมีการรวบรวมเก็บอวนขึ้นมาทุกๆ สองกิโลเมตร นำเอากุ้งกุลาดำที่จับได้ออกจากอวน แล้วจึงทิ้งอวนลงทะเลไปใหม่อีกครั้ง

แต่ละครั้งอวนจะจับกุ้งกุลาดำได้ประมาณ 1 ตัน กุ้งชนิดนี้โตเร็วซึ่งดีกว่ากุ้งล็อบสเตอร์มาก บัตเลอร์รออยู่ที่ท้ายเรือ หลังจากลากอวนกุ้งขึ้นมาได้แล้ว เขาก็สวมถุงมือและจับให้ดูสองสามตัวเพื่อเป็นการแสดงให้ตากล้องดู จากนั้นอธิบายเอกลักษณ์และเนื้อหาทางโภชนาการของกุ้งชนิดนี้

ฉินสือโอวเตรียมหม้อนึ่งขนาดเล็กอุ่นด้วยเตาไม้ DIY ของเขาเอง ใส่กุ้งกุลาดำตัวใหญ่ลงไปเพียงหนึ่งนาทีก็เปิดฝาออกได้ กุ้งกุลาดำที่เดิมเป็นสีอมเทาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงสด

บัตเลอร์หยิบมันขึ้นมาและโยนมันไปมาระหว่างสองมืออย่างโอเว่อร์ ด้านหนึ่งก็ตะโกนว่ามันร้อนและลวกมือมาก ในขณะที่อีกด้านหนึ่งก็แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นที่น่าทึ่งของกุ้งตัวนี้หลังจากปรุงเสร็จ

ฉินสือโอวไม่ค่อยคุ้นเคยกับฉากแบบนี้ เขารู้สึกว่าบัตเลอร์กำลังเล่นละคร แต่ว่าเขามีความสุขก็โอเคแล้ว มีผลช่วยในด้านธุรกิจก็ดีเช่นกัน เขาทิ้งงานหน้ากล้องให้กับลุงหนวดยาว ส่วนเขาก็ไปกำกับการทิ้งอวนต่อ

พื้นที่การเจริญเติบโตของกุ้งได้รับการกำหนดแน่นอน ในช่วงแรกเขาไม่ได้ปล่อยกุ้งกุลาดำให้โตตามธรรมชาติเป็นจำนวนมาก แต่อาศัยการขยายพันธุ์ของพวกมันเองมากกว่า ตอนนี้พอจับขึ้นมาก็มีจำนวนไม่เยอะ ฉินสือโอวประเมินว่าหลังจากที่งมขึ้นมารอบนี้แล้ว ก็คงไม่มีผลผลิตในปีนี้ ส่วนที่เหลือก็เอาไว้เป็นตัวอ่อนขยายพันธุ์ต่อไป

เรือฮาวิซทแปลงเป็นเรืออวนลากแผ่นตะเฆ่ ซึ่งเหมาะกับนำมาจับกุ้งกุลาดำพอดี มันแล่นไปบนทะเลเป็นแนวนอน หลังจากวนไปได้สองสามรอบกุ้งกุลาดำก็ถูกจับขึ้นมาได้เกือบหมดแล้ว

อย่างไรก็ตามเนื่องจากเรือประมงแล่นได้ค่อนข้างช้า เวลาจึงล่วงเลยไปถึงช่วงบ่ายหลังจากที่จับกุ้งกุลาดำเสร็จ เวลาที่เหลือจึงไม่เหมาะสำหรับกิจกรรมอื่นๆ แล้ว ฉินสือโอวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “เพื่อนกลับเถอะ กลับไปขนกุ้งแช่แข็งขึ้นเครื่องบิน จากนั้นพวกนายก็เลิกงานได้ อยากทำอะไรก็ทำ”

พวกชาวประมงตะโกนร้องด้วยความดีใจ “อายุยืนหมื่นปี!”

นีลเซ็นพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เยี่ยมเลยครับ ผมจะได้อยู่กินข้าวมื้อใหญ่เป็นเพื่อนกับแพรีสพอดี”

ฉินสือโอวพยักหน้า “ถ้านายจะมีนัดกับแฟน ก็กลับไปได้เลย ไม่ต้องทำงานอื่นแล้ว ยังมีนายอีกเบิร์ด นายไปอยู่เป็นเพื่อนกับเจ้าหญิงน้อยดีกว่านะ”

เบิร์ดชายแกร่งหยิบบุหรี่ขึ้นเป่าเต็มปากแล้วพูดอย่างเซ็งๆ ว่า “ไม่จำเป็นหรอกครับ ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวเถอะ เธอต้องใจเย็นๆ”

ฉินสือโอวถามด้วยความตกใจ “ทำไมเหรอ?”

เบิร์ดยักไหล่แล้วพูดขึ้น “ไม่มีอะไรหรอกครับ เรื่องอึดอัดนิดหน่อยของคู่หนุ่มสาว ผมไปทำงานก่อนละบอส”

ฉินสือโอวมองไปทางนีลเซ็นอย่างบอกไม่ถูก นีลเซ็นแบมือออกอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดขึ้นว่า “ผมก็ไม่แน่ใจครับ แต่หลังจากสงครามผู้กล้าเริ่มขึ้น ดูเหมือนความสัมพันธ์ของเบิร์ดกับนิกิไม่ค่อยจะดีเท่าไร เธอไม่ได้ไปร่วมงานสงครามผู้กล้าด้วยซ้ำ”

พอได้ยินแบบนี้ ฉินสือโอวรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของสามีภรรยาคู่นี้อาจจะเกิดวิกฤติขึ้นแล้ว เขาไม่รู้ว่าฮิลตัลคนน้องไม่ได้ไปร่วมงานสงครามผู้กล้าด้วย เพราะสองวันนั้นวุ่นวายไปหมด แล้วยังเรื่องการรุกรานของชาวเอธิโอเปียอีก จึงไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องของคนในฟาร์มปลาเลย

แต่ทว่าเห็นได้ชัดว่าเบิร์ดไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อให้คนอื่นถามก็เสียเวลาเปล่า ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงบ่นนีลเซ็น “นายมีแฟนแล้ว เลยไม่อยากมีเพื่อนที่ดีแล้วหรือไง? ไม่ใช่ว่าฉันว่านายหรอกนะเพื่อน นายไม่สนใจเบิร์ดมากไปละ”

นีลเซ็นรีบพิจารณาตัวเอง หลังจากนั้นบอกว่าคืนนี้หลังจากที่เขาพบกับแพรีสแล้ว จะกลับมาสนอกสนใจเบิร์ดให้ดีกว่านี้

เรือประมงกลับมาที่ท่าเรือ ฉินสือโอวให้คนงานขนของที่ชาวประมงและบัตเลอร์พามาทำงานให้เสร็จ ส่วนทั้งสองก็กางร่มกันแดดบนชายหาด ตากลมทะเลและดื่มเบียร์เย็นๆ ไปด้วย

เมื่อเร็วๆ นี้ฟาร์มปลาก็เงียบลงอีกครั้ง โรงเรียนประถมและมัธยมต้นของแคนาดาเปิดทำการในช่วงกลางเดือนกันยายน บรูซและภรรยาของเขาได้ส่งเครื่องบินพิเศษมาเพื่อพาไวส์กลับ ส่วนเชอร์ลี่ย์และคนอื่นๆ ก็ถือโอกาสตามไปชิคาโกเที่ยวอีกครั้ง

ฉินสือโอวไปที่สวนองุ่นเพื่อเก็บองุ่นแดงและองุ่นดำ ฤดูเก็บเกี่ยวองุ่นมาถึงแล้ว หลังจากปลูกได้ 2 ปี ต้นกล้าองุ่นก็เข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวแล้วการเติบโตขององุ่นในปีนี้เป็นเรื่องน่ายินดีมาก แต่ละพวงห้อยอยู่บนเถาวัลย์จนเถาวัลย์สีเขียวถูกดึงต่ำลงมา

ใช้น้ำล้างลวกๆ ฉินสือโอวยกขึ้นมาแล้วถามบัตเลอร์ว่า “นายชอบรสชาติแบบไหน?”

คุณลุงหนวดเฟิ้มเอนกายอยู่บนเก้าอี้ หัวเราะร่าแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันชอบหน้าอกใหญ่ๆ แน่ล่ะว่าก้นก็ต้องใหญ่ด้วย เป็นไงล่ะ รสชาติของฉันพอได้ใช่ไหม?”

ฉินสือโอวเป่านกหวีดและกวักมือเรียกหมีโลลิมา จากนั้นชี้ไปที่บัตเลอร์ที่เต็มไปด้วยความสยองขวัญ โบกมือไปมาอย่างแรงและตะโกนว่า “ฉันล้อเล่น พี่น้อง อย่าจริงจังเลย ฉันแค่ล้อเล่นน่ะ”

“หน้าอกใหญ่ ก้นใหญ่ หมีขั้วโลกของบ้านฉันไม่ใช่แบบนี้เลยเหรอ? ฉินสือโอวหยอกล้อพูดขึ้นว่า “ให้มันช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อของนาย นายไม่อยากได้เหรอ?”

“ไม่ๆๆ ฉันไม่ต้องการ จริงๆ แล้วฉันชอบของผู้ชาย” บัตเลอร์หัวเราะแห้ง

ฉินสือโอวจ้องมองไปที่ตัวฉงต้าด้วยเจตนาร้าย เมื่อเห็นหมีตัวใหญ่เหมือนภูเขา บัตเลอร์อยากจะคุกเข่าลงไปเลย เขาถือองุ่นและวิงวอนว่า “นายกินผลไม้ดีๆ เถอะ ได้ไหม? ฉิน ปล่อยฉันไปเถอะ กว่าฉันจะมาฟาร์มปลาได้สักครั้งไม่ง่ายเลยนะ”

หลังจากล้อเล่นกันสักพัก บัตเลอร์ก็รายงานสถานการณ์กิจการร้านอาหารทะเลต้าฉินในช่วงครึ่งปีแรกให้เขาฟัง “ตอนนี้อเมริกาเหนือเป็นศูนย์กลางธุรกิจของเรา มีการเปิดร้านค้าแบรนด์ทั้งหมด 120 แห่ง สหรัฐอเมริกาได้รับรองว่าแต่ละรัฐจะมีร้านค้าอย่างน้อยสองแห่งและแคนาดามีอย่างน้อยหนึ่งร้านในแต่ละรัฐ”

“ตลาดในเอเชียยังไม่พัฒนาไปในทางที่ดีมากนัก ครอบครัวมอร์รี่เปลี่ยนโฟกัสของการดำเนินงาน พวกเขาครอบครองตลาดจำนวนมากในประเทศของคุณและอินเดีย ตอนนี้อาหารทะเลต้าฉินได้กินตลาดในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และสิงคโปร์แล้ว นอกจากนี้ยังมีเมืองใหญ่สองสามแห่งในทางใต้ของประเทศคุณที่ดำเนินงานได้ดี แต่โดยภาพรวมพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลมอร์รี่”

“พวกเขาเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ?” ฉินสือโอวพูดอย่างไม่ยอมแพ้

บัตเลอร์กล่าวว่า “ไม่ ตอนนี้ตลาดหลักในเอเชียยังคงเป็นตลาดระดับล่างและตลาดระดับกลาง ตลาดระดับบนนั้นยากที่จะได้มา โดยเฉพาะบริเวณนั้นอยู่ห่างจากฟาร์มปลามากเกินไป การขนส่งอาหารทะเลไปจะไม่สดเท่าการขายในท้องถิ่นแน่นอน”

ฉินสือโอวพยักหน้า อาหารทะเลที่ใช้ในร้านอาหารที่พี่เขยเป็นเจ้าของร่วมกันกับต้วนเหล่ย คืออาหารทะเลต้าฉิน ซึ่งกินตลาดเรียบในบริเวณนั้น อย่างไรก็ตามเขาเกือบจะให้ราคาทุนกับร้านอาหารพี่เขย มิฉะนั้นร้านอาหารคงรับไม่ไหวกับราคาอาหารทะเลต้าฉินที่ประเทศจีน

เมื่อพิจารณาจากข้อเสนอแนะจากร้านอาหารของพี่เขย ผู้คนในประเทศยังคงยอมรับกับอาหารทะเลต้าฉิน เพราะทุกครั้งที่ส่งอาหารทะเลไปที่ร้านอาหารจะมีลูกค้าที่ได้ข่าวอย่างรวดเร็วสั่งไปจนเกลี้ยง

บัตเลอร์พูดต่อว่า “ครอบครัวมอร์รี่ยังคงครองตลาดในทวีปออสเตรเลีย อย่างที่ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และฟิจิ พวกเขามีตลาดมากมายและเราไม่สามารถแข่งขันกับพวกเขาได้เลย ในความเป็นจริงในทวีปออสเตรเลีย อาหารทะเลของสองร้านของเราสามารถจัดสรรให้กับตลาดเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น ตลาดที่มากกว่าในส่วนอื่นๆ ยังอยู่ในมือของอาหารทะเลในท้องถิ่น”

“นอกจากนี้ยังมียุโรป นี่เป็นสนามรบที่สองของเรา อาหารทะเลต้าฉินเป็นที่นิยมอย่างมากในตลาดอาหารทะเลระดับสูงและระดับกลางของยุโรป มีร้านอาหารสามดาว 82 แห่งที่นั่นใช้วัตถุดิบของเราทั้งหมด ในร้านอาหารหนึ่งดาวและสองดาว 1,950 แห่ง มีร้านอาหารจำนวน 1,780 แห่งใช้วัตถุดิบของเรา”

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท