ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1764 งานประมูลแสนรัดกุม

บทที่ 1764 งานประมูลแสนรัดกุม

จุดลงจอดของเฮลิคอปเตอร์คือบนดาดฟ้าโรงแรมฮิลตันที่โทรอนโต เบลคติดต่อลิฟต์วีไอพีที่ลงโดยตรงไว้ ความสูงสองร้อยกว่าเมตร สิบกว่าวินาทีก็ลดระดับลง แม้ว่าจะปลอดภัย แต่ก็เลี่ยงยากที่จะมีความรู้สึกเสียการทรงตัว เถียนกวาที่เงียบมาตลอดทางพอรู้สึกได้ก็เบิกตากว้างแล้วเริ่มร้องไห้งอแง

ฉินสือโอวกอดสาวน้อยแนบอกด้วยความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแล้วพูดอย่างจนใจ “โรคกลัวความสูงของลูกสาวก็คงไม่ได้ใครแล้ว ความรู้สึกไวจริงๆ ขนาดอยู่ในลิฟต์ยังรู้สึกได้อีกว่าความสูงเปลี่ยนไป”

วินนี่พูดเสียงแข็ง “ที่คุณควรขอพรคืออย่าให้ลูกคนที่สองของเราได้ข้อดีข้อนี้ของคุณไป ไม่อย่างนั้นต่อไปลูกสองคนร้องไห้พร้อมกันฉันคนหนึ่งล่ะที่ดูแลไม่ไหว”

ลิฟต์ลงไวเกินไปจริงๆ ฉินสือโอวรู้สึกว่าแก้วหูจะป่องออกมาข้างนอกอยู่แล้ว หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเขาก็เริ่มหอบหายใจ ด้วยความเร็วแบบนี้ ถ้าลิฟต์มีปัญหาขึ้นมา งั้นคนร่วงลงไปซากก็คงไม่เหลือ

ยังดีที่ไม่นานลิฟต์ก็ลงถึงพื้นอย่างนุ่มนวล พอฉินสือโอวออกจากโรงแรมมาได้อาบแดดฤดูใบไม้ร่วงก็อดถอนใจไม่ได้ ส่วนเถียนกวาพอรู้ว่าถึงพื้นแล้วก็หยุดร้องไห้ มือหนึ่งคว้าเฟอเรทพี่ชายแล้วเอาถูไปบนหน้าเช็ดน้ำตาแวววาวเสียจนเกลี้ยง

เฟอเรทพี่ชาย “…”

เบลคไปที่สถานที่จัดงานกับฉินสือโอวก่อน ระหว่างทางเขาถามด้วยอย่างอารมณ์ดีว่า “พวกสเปนน่าจะร้องเรียนพวกเราให้เยอะๆ หน่อย มูลค่าสมบัติเรืออับปางพุ่งสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน รู้ไหมบริษัทประกันประเมินค่าสมบัติทั้งหมดที่เรามีเท่าไร?”

“กว่า 3 พันล้าน ใช่ไหม?” ฉินสือโอวสนใจราคาของที่ตัวเองมีอยู่แล้ว

เบลคพูดอย่างภูมิใจ “มากกว่านั้น! เริ่มแรกราคาประเมินของสมบัติเราคือสองพันล้าน ตอนนี้เพิ่มได้เป็นเท่าตัว! รัสเซีย จีน อเมริกา แน่นอนว่าขาดชนชั้นสูงเก่าแก่ของยุโรปกับเศรษฐีใหม่ตะวันออกกลางไม่ได้ คราวนี้บริษัทจัดประมูลริชชี่ต้องสู้ศึกใหญ่ทีเดียว แขกที่มาร่วมงานประมูลเยอะจนน่ากลัวทีเดียว!”

ของที่เกี่ยวกับสมบัติเรืออับปางมีขอบเขตกว้างมาก เครื่องเคลือบดินเผา เหรียญทอง เครื่องเงินเครื่องทอง อาวุธ เกราะ รูปปั้น เป็นต้น ไม่แค่จำนวนเยอะเท่านั้น ยังชนิดหลากหลายแถมยังอยู่ในสภาพดีด้วย คุณภาพดี นี่ก็คือสาเหตุที่มูลค่าสมบัติพุ่งสูงขึ้นได้เรื่อยๆ

ตระกูลเบลคเดิมทีอยากจะจัดประมูลสมบัติในงานประมูลฤดูใบไม้ผลิปีหน้า พวกเขามองว่างานโปรโมตของปีนี้เตรียมได้ไม่ดีพอ แต่เบลคแย้ง เขาคิดว่าตอนนี้กระแสของสมบัติกำลังดังเป็นพลุแตก ต่อไปทางบริษัททำการโปรโมตเองก็เทียบกับกระแสโปรโมตที่สเปนฟ้องร้องไม่ได้ ดังนั้นควรจะรีบฉวยโอกาสที่กระแสเรื่องสมบัติกำลังมา เอาสมบัติลงขายในงานประมูลฤดูใบไม้ร่วง

ถ้าเป็นเมื่อก่อน คนในตระกูลเขาจะไม่ค่อยใส่ใจความคิดเห็นของเบลค อย่างมากก็พิจารณาหน่อย แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน หลายปีมานี้เขาดูแลสินค้าประมูลในงานประมูลใหญ่ๆ ของบริษัทจัดประมูลริชชี่จนได้การยอมรับจากตระกูล ถูกมองเป็นประธานรุ่นใหม่ แบบนี้ความคิดเห็นเขาย่อมสำคัญ

ดังนั้นก็เลยมีงานประมูลฤดูใบไม้ร่วงบริษัทจัดประมูลริชชี่ สองบริษัทประเมินทรัพย์สินที่ใหญ่ที่สุดของโลกเอซีซีกับดับเบิลยูเอซี ประเมินมูลค่ารวมของสินค้าประมูลในงานประมูลใหญ่สองสามงานในปีนี้ บริษัทจัดประมูลริชชี่ชนะบริษัทประมูลแนวหน้าอย่างโซเธบี้และคริสตีส์เป็นครั้งแรก ได้เกียรติยศเป็นที่หนึ่งในด้านราคาประมูลครั้งแรก

แน่นอนว่า ‘ราคาประมูลที่หนึ่ง’ ก็คืองานประมูลฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้ นอกจากสมบัติแล้ว บริษัทจัดประมูลริชชี่ยังได้ของดีๆ มาอีก รวมกันแล้วมูลค่าเกินห้าพันล้านดอลลาร์!

ตระกูลเบลคคาดหวังกับการประมูลในครั้งนี้มาก ลงทุนเหมาอาคารนิทรรศการโทรอนโตมาจัดงานประมูล ส่วนนิทรรศการก่อนการประมูล ข่าวประชาสัมพันธ์ก่อนการประมูลและงานแถลงข่าวหลังการประมูลก็จะจัดขึ้นที่นี่เช่นกัน

ฉินสือโอวจดจำสินค้าประมูลพวกนี้ได้เป็นอย่างดี คราวนี้ที่มาร่วมก็แค่มาเป็นพิธี คนสำคัญตระกูลเบลคก็มารอเขากันหมด จุดสำคัญคือการประชุมนี้

บิลลี่กับเบลคมาโทรอนโตได้สองวันแล้ว พวกเขากับสมาชิกสำคัญของตระกูลเบลครออยู่ที่ประตูหน้า พอฉินสือโอวลงจากรถคนกลุ่มหนึ่งก็กรูเข้ามา ที่มาด้วยก็คือยามรูปร่างกำยำล่ำสันสิบกว่าคน

เบลคแนะนำอย่างภูมิใจ “เพื่อน รู้ไหมว่างานประมูลครั้งนี้พวกเราจ้างยามมากี่คน? มีสี่บริษัทจัดหายามที่ดีที่สุด บริษัทกองพลหุ้มเกราะ ซีเอซีไอ เดลิเจนน์ ไททัน จ้างยามชั้นเยี่ยมมาสองร้อยสี่สิบคนมาคุ้มกันงานประมูล!”

เพราะพวกแบล็คไนฟ์ ฉินสือโอวก็เลยพอจะรู้เรื่ององค์กรทหารรับจ้างและบริษัทรักษาความปลอดภัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก สี่บริษัทนี้เป็นแนวหน้าในวงการรักษาความปลอดภัย ในนั้นกองพลหุ้มเกราะก็คือที่ที่พวกแบล็คไนฟ์เคยทำงาน

เบลคไม่รู้ถึงข้อนี้ เขาก็เลยอธิบายถึงความเก่งของยามเสียละเอียด

กองพลหุ้มเกราะคือบริษัทบริหารความเสี่ยงแรกของโลกหลังจากองค์กรอเมริกันแบล็ควอเตอร์ยุบไป ส่วนใหญ่ให้การบริหารความเสี่ยงสำหรับรัฐบาล องค์กรและหน่วยงานด้านมนุษยธรรม ขอบเขตธุรกิจรวมถึงการประเมินความเสี่ยง การจัดการความเสี่ยง การฝึกอบรมด้านความปลอดภัย การปฏิบัติงานกับทุ่นระเบิด เป็นต้น

ตอนนี้มีแม้กระทั่งบางประเทศในโลกที่เชิญบริษัทนี้มาประเมินความมั่นคงแห่งชาติประจำปี อย่างเช่นสเปน โปรตุเกสและกรีซ รายงานการประเมินภัยคุกคามโดยรวมแห่งชาติปีนี้ก็ให้บริษัทนี้ทำ ใช้ข้อมูลนี้เพื่อประเมินภัยคุกคามของผู้ก่อการร้ายและแนวโน้มด้านความปลอดภัยของประเทศเหล่านี้

บริษัทกองพลหุ้มเกราะคนเยอะมีอิทธิพลมาก สำนักงานใหญ่ของพวกเขาอยู่ที่ลอนดอน มีสาขาย่อยใน 38 ประเทศ มีพนักงาน 7500 คน แทบจะมีกิจการไปทั่วโลก

บริษัทซีเอซีไอบริษัทรักษาความปลอดภัยมืออาชีพ พวกเขาก่อตั้งขึ้นในปี 1962 สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองอาร์ลิงตันรัฐเวอร์จิเนียสหรัฐอเมริกา มีสาขาร้อยกว่าที่ในอเมริกาเหนือกับยุโรปตะวันตก มีพนักงานราว 9400

บริษัทนี้เจ๋งกว่า ลูกค้าหลักของพวกเขาคือกระทรวงกลาโหมสหรัฐ หน่วยข่าวกรองความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ศุลกากร ตำรวจหน่วยรักษาการณ์ชายฝั่ง ตุลาการ ฯลฯ เป็นซัพพลายเออร์ด้านความปลอดภัยรายใหญ่อันดับหกของรัฐบาลกลางอเมริกา ซัพพลายเออร์รายใหญ่อันดับ 12 ของกองทัพเรืออเมริกา ซัพพลายเออร์รายใหญ่อันดับ 15 ของกระทรวงกลาโหม ยังเป็นบริษัทที่จดทะเบียนที่ใหญ่ที่สุดอันดับที่ 36 ในพื้นที่วอชิงตัน

ซีเอซีไอรับผิดชอบการกู้เครดิต เทคโนโลยีการจัดการข้อมูล ระบบจัดการข้อมูล ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ระบบเซนเซอร์ ระบบจำลองและงานอื่นๆ ในงานประมูลครั้งนี้ พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านนี้

บริษัทเดลิเจนน์เข้ามารับผิดชอบให้คำปรึกษาด้านความเสี่ยง รายงานสถานการณ์ ข้อมูลเชิงกลยุทธ์ทางธุรกิจในงานประมูลครั้งนี้ ลูกค้าหลักของพวกเขาบริษัทข้ามชาติ ให้ข้อมูลเชิงกลยุทธ์และยุทธวิธีและรายงานการวิเคราะห์ ตลอดจนการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยและบริการผู้คุ้มกันประจำตัว

แบล็คไนฟ์บอกฉินสือโอวว่าบริษัทนี้เก่งด้านรายงานข้อมูลมาก พวกเขาก่อตั้งโดยสำนักข่าวกรองกลางกับสมาชิกเกษียณของหน่วยข่าวกรองอังกฤษ MI5 พนักงานส่วนมากมาจากสำนักข่าวกรองแห่งชาติของอังกฤษ อเมริกา รัสเซีย ผู้นำส่วนใหญ่เป็นผู้ที่รับผิดชอบด้านการเมือง การทูตและการเงิน เช่นริชาร์ด เบิร์ตอดีตนายใหญ่ของสถานทูตอเมริกาในเยอรมนีและ โรเจอร์สผู้ช่วยอาวุโสของบุช ตอนนี้งานฟื้นตัวหลังสงครามของอิรักพวกเขาก็เป็นคนจัดการ

……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท