ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1757 ไล่ขึ้นฝั่ง

บทที่ 1757 ไล่ขึ้นฝั่ง

หลังจากบัตเลอร์จากไป ฉินสือโอวก็ตกอยู่ในโลกเขาที่พึงพอใจ ไม่ต้องการอะไรอีกครั้ง เป็นช่วงเวลาที่เข้าสู่ต้นฤดูใบไม้ร่วง ในทุกๆ วันเขาจะอยู่เป็นเพื่อนวินนี่ มองดูเด็กๆ จากนั้นก็พาเด็กๆ ปีนภูเขาเพื่อชมทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ร่วงเป็นครั้งคราว ชีวิตผ่านไปอย่างมีรสชาติ

ผิดกับเถียนกวาที่ไม่มีเวลา เพราะนากทะเลถูกชาวพื้นเมืองโจมตี แมวน้ำไม่พอใจมากที่มีสัตว์ต่างสายพันธุ์บุกเข้ามาในดินแดนของตน หลังจากสังเกตและทดสอบมาระยะเวลาหนึ่ง ในที่สุดพวกมันก็ตัดสินใจขับไล่นากทะเลออกไป

เดิมทีฉินสือโอวไม่รู้เรื่องนี้ นากทะเลขี้ตกใจง่าย วินนี่ไม่อนุญาตให้ชาวประมงและคนในฟาร์มปลาไปรบกวนพวกมัน ดังนั้นพื้นที่ทะเลเล็กๆ ที่พวกมันอาศัยอยู่จึงกลายเป็นอาณาจักรเล็กๆ ที่เป็นอิสระ

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ พวกนากทะเลก็อยู่อย่างสบายใจได้ไม่กี่วัน พวกแมวน้ำเห็นแววพวกมันไวมาก แต่ก็เห็นว่าพวกมันมีขนนุ่มๆ เนื้อแน่นๆ จึงไม่กล้าที่จะขัดแย้งกับพวกมันในตอนแรก เช่นเดียวกับนิทานเรื่องเจ้าลาเฉียนที่เสือต้องเผชิญหน้ากับเจ้าลาน้อย เจ้านี่ดูขนาดร่างกายแล้วพอๆ กับตัวเอง พวกแมวน้ำเมื่อคิดถึงความปลอดภัย จึงยังคงอยู่อาศัยอย่างสงบสุขกับพวกนากทะเลไปก่อน

หลังจากผ่านไปเกือบเดือน ในที่สุดพวกแมวน้ำได้เรียนรู้เกี่ยวกับพลังการต่อสู้ของนากทะเลหลังจากสังเกตมาเป็นเวลานาน เจ้าพวกที่มีฟันหน้าใหญ่เหล่านี้ไม่มีพลังในการต่อสู้เลย และยังขี้ขลาดมากด้วย พอมีลมพัดหรือใบหญ้าไหวหน่อยก็รีบมุดลงไปในน้ำทะเล

หลังจากเข้าใจจุดนี้ พวกแมวน้ำก็กลายเป็นเย่อหยิ่งขึ้นมา เจ้าพวกนี้พอมีเวลาว่างก็วนไปดูที่ถิ่นของพวกนากทะเล เดินชนมันหน่อย สัมผัสถูกหน่อย แย่งอาหารพวกมัน และยังขับถ่ายในถิ่นพวกมันด้วย

พวกนากทะเลขี้ขลาด แต่พวกมันมีความรู้สึกเป็นเจ้าของอาณาเขตเช่นเดียวกับสัตว์อื่นๆ และจิตใจที่คิดปกป้องอาณาเขตของพวกมันก็หนักแน่นเหมือนกับสัตว์อื่นๆ ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงเริ่มที่จะต่อสู้หลังจากถูกแมวน้ำท้าทาย

ในตอนแรกมีแมวน้ำอ้วนหนึ่งหรือสองตัวเข้ามาและเดินวนไปรอบๆ พอเป็นแบบนี้เมื่อนากทะเลรวมตัวกันขึ้นมา โจมตีเจ้าแมวน้ำสองตัวอย่างรวดเร็ว พวกมันจึงรีบหนีไป

แต่แบบนี้พวกเขาเท่ากับก่อเรื่องแล้ว เพราะหลังจากที่ทุบตีเจ้าแมวน้ำอวบอ้วนสองตัวนั้น ราชาแห่งแมวน้ำที่ตัวอวบอ้วนมากที่สุดก็โกรธขึ้นมาทันที ยกโขยงพาทั้งพี่น้อง ญาติ ครอบครัวไปฆ่าพวกมัน!

พวกนากทะเลหมดหนทางแล้ว แมวน้ำเมื่ออยู่ในทะเลมันจะแข็งแกร่งมาก แม้แต่ฉลามก็ยังไม่กล้ามาหาเรื่องพวกฝูงแมวน้ำง่ายๆ นับประสาอะไรกับนากทะเลตัวเล็กๆ ที่อ้วนกลมเหล่านี้เล่า?

เมื่อเผชิญหน้ากัน กลุ่มนากทะเลถูกโจมตีจนกระจัดกระจายกันไป นากทะเลน้อยใหญ่ถูกทุบตีจนจมูกฟกช้ำบวมและกรีดร้องด้วยความกลัว พวกมันจึงต้องหนีเข้าฝั่งเพื่อหลบภัย

เพราะเป็นแบบนี้ ฉินสือโอวกับเถียนกวาถึงสังเกตเห็นความขัดแย้งระหว่างแมวน้ำและนากทะเล มิฉะนั้นปกติเขาไม่ค่อยสนใจพวกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ จึงไม่ง่ายที่จะพบว่าพวกมันกำลังเผชิญกับวิกฤตอยู่

เกาะแฟร์เวลในเดือนกันยายน ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าสดใส แสงแดดส่องลงมากระทบถูกผิวน้ำทะเลจนให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่จิตใตของพวกนากทะเลที่อยู่บนฝั่งตอนนี้ กลับหวาดกลัวอย่างเหลือล้น…

กลับบ้านไม่ได้แล้ว ทำอย่างไรดี? พวกนากทะเลมองไปที่น้ำทะเลอย่างกังวล ใบหน้าอ้วนกลมมีรอยย่น ตากลมโตสีดำของพวกมันไร้ซึ่งความแวววาว

ตอนที่ฉินสือโอวเจอพวกนากทะเล ก็เป็นช่วงที่พวกมันถูกขับไล่จนขึ้นฝั่งมาหนึ่งวันแล้ว แต่เจ้าพวกนี้ไม่ได้หิว ฟาร์มปลาต้าฉินอุดมไปด้วยทรัพยากรมากมาย มีสาหร่ายทะเลเป็นหย่อมๆ บนชายหาด และมีปูก้ามดาบและปูเสฉวนอยู่ใต้พื้นทราย เป็นอาหารที่นากทะเลชอบ พวกมันจึงไม่รู้สึกหิว

แต่อาหารในสถานที่หนึ่งก็สามารถมีช่วงเวลาที่หมดไป ชายหาดไม่เหมือนในน้ำทะเลที่จะมีปลาตัวเล็กและกุ้งตัวน้อยๆ ว่ายน้ำเข้ามาหาเอง อาหารบนชายหาดไม่สามารถถูกเติมเต็มได้ในเวลาอันสั้นหลังจากกินจนหมดแล้ว พวกมันจึงทำได้เพียงอพยพไปตามแนวชายฝั่ง

ฝูงนากทะเลมีทั้งเจ้าตัวน้อยและเจ้าตัวใหญ่ พวกมันเดินไปตามชายฝั่งด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย เช่นเดียวกับชนพื้นเมืองอเมริกันที่ถูกขับออกจากดินแดนโดยผู้รุกรานผิวขาว ถนนโยกย้ายสายนี้คือถนนแห่งเลือดและน้ำตา!

พอเห็นเจ้าพวกนากทะเล หู่จือและเป้าจือก็ตื่นเต้นขึ้นมา ร้องเรียกโฮ่งๆ อยากจะเข้าไปแหย่พวกมันเล่น เถียนกวาตกใจ ขาสั้นๆ ของเธอรีบวิ่งตามเจ้าแลบราดอร์ไปอย่างว่องไว ตะโกนอยู่ด้านหลังว่า “กลับมา กลับมานะ หม่าม๊าบอกว่า กินเด็ก!”

ปากของเด็กหญิงน้อยเริ่มไวมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มจำเรื่องต่างๆ ได้ ในที่สุดก็เริ่มมีแววของเด็กแบ๊วตัวน้อยแล้ว

หู่จือและเป้าจือพอได้ยินเสียงเรียกของเจ้านายตัวน้อย มันก็หยุดวิ่งด้วยความแสนรู้ พวกมันรู้คำว่า ‘กลับมา’ คำนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาจีนก็ฟังรู้เรื่องทั้งหมด และพอได้ยินคำนี้ก็จะวิ่งกลับมาหาอย่างว่านอนสอนง่าย

เมื่อเห็นลูกสาวของเขาอธิบายให้แลบราดอร์เข้าใจถึงแง่มุมที่น่ากลัวของนากทะเลอย่างจริงจัง ฉินสือโอวก็หัวเราะ เขามองไปรอบๆ พลันรู้สึกว่านากทะเลมีจำนวนมากขึ้น หลังจากนับแล้วตอนนี้มีแปดสิบสี่ตัว เพิ่มขึ้นมากกว่าตอนแรกน้อยกว่านี้ครึ่งหนึ่ง

เห็นได้ชัดว่าตอนนั้นมีนากทะเลหลายร้อยตัวในเรือขนส่ง พอเรือถูกชนจนพลิกคว่ำพวกมันก็หลบหนีออกมา ซึ่งส่วนหนึ่งวิ่งหนีมาที่ฟาร์มปลา ไม่รู้ว่าภายหลังพวกมันทำอะไรกันอย่างไร พวกมันติดต่อกันได้อีกครั้ง และมีบางส่วนมาที่นี่เพิ่ม

พวกนากทะเลพอเห็นฉินสือโอว เถียนกวาและแลบราดอร์ก็ตกใจกลัว มีบางตัวชูมือสั้นป้อมของมันมาปิดตา พอเห็นนากทะเลแบบนี้ ฉินสือโอวรีบล้วงมือถือจากกระเป๋า ถ่ายเก็บไว้สองสามใบแล้วอัปโหลดขึ้นอินเทอร์เน็ต เขียนความคิดเห็นว่า นากทะเลเหล่านี้น่ารักมาก เมื่อเห็นคนแปลกหน้าจะรู้สึกกลัวแล้วเอามือมาปิดตาได้ด้วย

ด้านล่างมีความคิดเห็นต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีบางคนบอกว่า “คุณฉิน ความคิดเห็นของคุณมันช่าง…นากทะเลเอามือปิดตาไม่ใช่เพราะพวกมันกลัว แต่หนาวต่างหาก!”

ความคิดเห็นที่ตามมาก็มีพูดถึงสิ่งที่คล้ายกันกับข้อความด้านบน ฉินสือโอวเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อหาข้อมูล ถึงเพิ่งรู้ว่านากทะเลมีขนทั่วร่างกายและขนของพวกมันแข็งแรงมาก มีเพียงฝ่ามือของพวกมันที่ไม่มีขนและสะอาด ด้วยเหตุนี้จึงไม่กักเก็บความอบอุ่น จึงมักจะหนาวตรงบริเวณอุ้งเท้า

ดังนั้นเมื่อนากทะเลรู้สึกว่าอุ้งเท้าเย็น พวกมันจะเอาอุ้งเท้าไปไว้ตรงส่วนที่อบอุ่นของร่างกาย พวกมันมีคอสั้นและหัวเล็ก เมื่อชูอุ้งเท้าขึ้นมาก็จะสัมผัสได้ถึงบริเวณรอบดวงตาที่อบอุ่น ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปสิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นนิสัยของพวกมัน เวลาหนาวจะวางอุ้งมือไว้ตรงบริเวณรอบดวงตา

ที่พวกมันทำท่าแบบนี้ ผู้คนจะรู้สึกว่ามันยื่นมือมาปิดตา แต่แท้จริงแล้วนั่นไม่ใช่เพราะเขินอายหรือหวาดกลัว แต่เพราะหนาว…

แต่ฉินสือโอวไม่เชื่อเหตุผลพวกนี้ เขามองไปที่พระอาทิตย์ดวงใหญ่ที่ส่องสว่าง แล้วมองไปที่เจ้าตัวอวบอ้วนขนพองหนาไปทั้งตัวเหล่านี้ ทำไมยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกมันควรจะรู้สึกร้อนถึงจะถูกต้องสิ

เมื่อพบว่าชายฝั่งไม่ปลอดภัย นากทะเลจึงหนีกลับทะเล ผลปรากฏว่าพวกแมวน้ำยังคงติดตามมาตลอดทาง รอพวกมันในทะเล เมื่อพวกมันกลับลงมาในน้ำ พวกแมวน้ำที่ชอบข่มเหงก็ว่ายเข้ามาล้อมพวกมันไว้ แล้วอ้าปากเผยให้เห็นฟันอันแหลมคมของมันขู่ให้นากทะเลตกใจกลัว

นากทะเลรู้สึกกลัว จึงทำได้เพียงขึ้นฝั่งมาอีกครั้ง พอเป็นแบบนี้หลายครั้ง ฉินสือโอวจึงพบว่ามีปัญหาจึงคิดจะหาทางแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างนากทะเลและแมวน้ำ

แต่พวกนากทะเลหลายครั้งที่ขึ้นฝั่งแล้วก็ลงไปในน้ำ พวกแมวน้ำจึงไม่รู้สึกพอใจแล้ว พวกมันคลานขึ้นไปที่ชายหาดด้วยใบหน้าอ้วนๆ ที่บึ้งตึงและส่ายก้นอ้วนๆ ไปมา ย่างกรายเข้าไปเพื่อจะรังแกนากทะเล

แมวน้ำเมื่ออยู่บนฝั่งจะมีความเงอะงะมาก พวกมันไม่มีแขนขา ขาหน้าของพวกมันได้พัฒนากลายเป็นตีนกบ แม้ว่านากทะเลจะมีพังผืดระหว่างแขนขาและอุ้งเท้า แต่ยังโชคดีที่พวกมันก็ยังมีแขนขา การเคลื่อนไหวของพวกมันจึงดีกว่าพวกแมวน้ำมาก

เมื่อเห็นไอ้พวกเลวที่ชอบข่มเหงเหล่านี้ไล่ตามขึ้นฝั่ง นากทะเลก็หันหลังกลับและวิ่งบนชายหาดไปตามสัญชาตญาณ แต่หลังจากวิ่งไปสักพัก พวกมันก็พบว่าเจ้าพวกเลวที่เก่งฉกาจเมื่ออยู่ใต้น้ำกลับดูงี่เง่าเมื่ออยู่บนฝั่ง ดังนั้นพวกมันจึงค่อยๆ หยุด กะพริบตาปริบๆ มองไปที่แมวน้ำด้วยความแปลกใจ

………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท