ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1758 การตอบโต้ของนากทะเล

บทที่ 1758 การตอบโต้ของนากทะเล

พวกนากทะเลยืนอยู่บนมุมสูงของหาดทราย เขย่งเท้าบวกกับยืดคอมองลงมาทางข้างล่าง เจ้าพวกตัวขนอ้วนกลมมารวมตัวกันเคียงบ่าเคียงไหล่จ้องไปที่ทะเลอย่างจริงจังด้วยความจดจ่อ สายตาพูดได้เลยว่าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

ทัพแมวน้ำลายพิณคลานขึ้นมาตามชายหาด จำนวนพวกมันมีมาก เดิมทีก็มีถึงหลายร้อย บวกกับที่ผลิตทายาทเพิ่มในหนึ่งปีหลังมาที่ฟาร์มปลา ทั้งตัวใหญ่เล็กนับรวมๆ แล้วคงจะถึงพัน

แม่ทัพแมวน้ำที่อ้วนอย่างกับหมูขึ้นหาดมาก่อน มันมองไปรอบๆ ตัวพลางดูท่าทางลูกน้องแมวน้ำอ้วนทั้งตัวเล็กใหญ่ลากไขมันขึ้นเกยบนหาดทราย คงจะภูมิใจน่าดู มีความทะเยอทะยานสูงส่งเฉกเช่นเดียวกับจักรพรรดิฟู่เจี้ยนยุคก่อนฉิน ด้วยกำลังของข้า แค่อึลงทะเลก็ขวางทางน้ำได้แล้ว!

แมวน้ำพวกนี้แต่ล่ะตัวอ้วนๆ ทั้งนั้น ตัวใหญ่เอวหนา พอพวกมันออกมาพร้อมกันก็ดูน่ากลัวจริงๆ พวกนากทะเลถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แถมยิ่งแมวน้ำรุกมากขึ้นก็ยิ่งถอยไปอีก

พวกนากทะเลตัวใหญ่ยืนอยู่แถวหน้า ส่วนนากทะเลตัวเล็กที่โดนกันไว้ข้างหลังก็ชะโงกหัวไปมาอยากจะมุดมาข้างหน้าไปดูสถานการณ์สักหน่อย

พอเห็นแบบนั้นนากทะเลตัวใหญ่เลยเอาก้นนั่งทับพวกนั้นไว้แล้วส่งสายตาพิฆาตสยบความอยากรู้อยากเห็นของพวกเด็กๆ ไม่รนหาที่ตายก็ไม่ตาย รีบถอยไป อีกเดี๋ยวต้องเตรียมหนี

ฝูงแมวน้ำดูเหมือนต้องการจะฆ่าล้างฝูงนากทะเล อย่างน้อยก็ไม่อยากให้พวกมันรุกล้ำเขตทะเลของตัวเองไปมากกว่านี้ ส่วนเรื่องเขตทะเลของตัวเองใหญ่เท่าไหน? ราชาแมวน้ำกล่าวไว้ว่า “ทั่วทั้งปฐพีล้วนเป็นของข้า มวลประชาต้องสยบที่แทบเท้าข้า!”

แน่นอนว่านี่ก็เป็นเพียงความคิดของราชาแมวน้ำ ยังไม่ต้องพูดถึงห้าราชาแห่งฟาร์มปลา ทัพฉลามขาวยักษ์ที่คราเคน เฮยป้าหวังนำ สามราชาแห่งแนวปะการัง กองกำลังทหารงูทะเล กองทัพกั้งตั๊กแตน ห้าราชานี้กุมอำนาจปกครองฟาร์มปลาอย่างแท้จริง นอกจากนี้ยังมีฝูงเต่ามะเฟืองยักษ์ใหญ่แต่อ่อนโยนใจดี พวกมันไม่อยากลดตัวไปถือสากับฝูงแมวน้ำ

พวกแมวน้ำขึ้นเกยบนหาดทรายแล้วเผยครีบหน้าออกมาตามด้วยหัวกับก้นโตๆ และครีบหลังอันสั้น ตอนคลานไปบนหาดแลดูช้าเงอะงะ ไม่มีท่าทางเกรงขามอย่างตอนว่ายโฉบอยู่ในทะเลเลยสักนิด

เหล่านากทะเลเบิกตาดวงเล็กสำรวจอยู่ครู่หนึ่ง ในสมองก็ผุดไอเดียวขึ้นได้ พวกมันเลยไม่คิดหนีแล้ว แต่ค่อยๆ เดินหน้าอย่างระมัดระวัง เดินไม่กี่ก้าวก็หยุดอีกเพื่อดูสถานการณ์

เห็นนากทะเลคู่กรณีไม่หนีไปทั้งๆ ที่ฝ่ายตัวเองน่าเกรงขามขนาดนี้แถมยังกล้าเดินหน้าเข้ามาอีก ราชาแมวน้ำโกรธสุดขีดจนยิ้มออกมา ดี จะเข้ามาตายกันใช่ไหม? อุ๋งๆๆ! เด็กๆ จัดการ!

ฝูงนากทะเลที่เพิ่งหยุดลงได้ยินเสียงคำรามของพวกแมวน้ำก็ตกใจขี้หดตดหาย รีบหมุนตัววิ่งหนี วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดลงอีกแล้วจ้องพวกแมวน้ำด้วยดวงตากลมสีดำ พอเห็นว่าพวกนั้นไม่ได้ตามมาก็ลังเลเล็กน้อยก่อนจะเดินหน้าเข้าไปใกล้อีก

ลองเชิงแบบนี้ไปเรื่อยๆ ฝูงนากทะเลก็เข้าไปใกล้จุดที่ห่างฝูงแมวน้ำไม่ถึงสองเมตรพลางยื่นหัวมองดูพวกแมวน้ำแบบระแวดระวัง ส่วนฝูงแมวน้ำภายใต้การนำของราชาแมวน้ำก็ส่งเสียงคำรามน่าเกรงขามออกมาก่อนจะมองนากทะเลด้วยสายตาเย็นชาเหี้ยมโหด

คราวนี้เหล่านากทะเลไม่กลัว พวกมันลองเชิงมาตั้งนานจนพบว่าไอ้พวกนักเลงพวกนี้ไม่มีน้ำยาเมื่ออยู่บนบก ทำได้แค่คำรามให้พวกมันตกใจก็เท่านั้น หรือก็พูดได้ว่า เจ้าพวกนี้ที่ดูดุร้ายน่ากลัวก็มีแค่เปลือกเท่านั้นเอง

ตอนแรกฉินสือโอวเห็นพวกนากทะเลเข้าไปลองเชิงเขาก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น อีกอย่างเขาก็รู้ด้วยว่า พวกแมวน้ำซวยแล้ว!

และอย่างที่คิด หลังจากพวกนากทะเลรู้แล้วว่าแมวน้ำบนบกสู้ไม่ได้แม้แต่หมาก็ทำการตอบโต้ทันที สัตว์ป่าตามธรรมชาติไม่มีที่อ่อนแอตั้งแต่เกิด ต่อให้เป็นหนูก็ยังอยากหาโอกาสกัดเสือ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนากทะเลที่สามารถโจมตีจากทางไกล

เจ้าพวกขนแข็งเริ่มถูอุ้งมือ เหล่านากทะเลเงื้อขาหน้าขึ้นแล้วโยนหินลงไปยังหาดทรายด้านล่าง “ตึง”

‘ตึงๆ’ ก้อนหินเป็นพรวนต่างร่วงลงมา

เห็นภาพแบบนั้นเถียนกวาก็แปลกใจ มือหนึ่งดึงฉินสือโอวอีกมือก็ชี้ไปที่หินพวกนั้น เธอร้องว่า “ฮ่าๆๆ อึแล้ว!”

ฉินสือโอวลูบผมสั้นสลวยของลูกสาวแล้วพูดอย่างเนือยๆ “ไม่ใช่อึ จะตีกันแล้ว! ลูกลืมแล้วเหรอ? ตอนที่พวกมันเพิ่งมาก็โยนใส่หนูแบบนี้แหละ”

เถียนกวากะพริบตาโตคู่ใสราวกับนึกได้ถึงความกลัวตอนที่โดนนากทะเลใช้หินโยนใส่เลยรีบไปหลบหลังขาของฉินสือโอวแล้วกอดเข่าของเขาไว้ในขณะที่โผล่หัวออกมาแบบดูกล้าๆ กลัวๆ

ฉินสือโอวแปลกใจไม่น้อย โอ้โหลูกสาวสุดแสบของเขาก็กลัวเป็นด้วยเหรอ? เธอกล้าถึงขั้นตัวต่อตัวกับหมีขั้วโลกเลยนะ จนถึงตอนนี้ ฉงเอ้อก็โตจนใหญ่ครึ่งหนึ่งของหมีขั้วโลกแล้ว เถียนกวายังพาพวกแมวน้ำไปตีกับมันอยู่เป็นพักๆ เลย

ฝั่งฝูงนากทะเลเก็บก้อนหินที่ตกอยู่บนพื้นเอาขึ้นมาถือในอุ้งมือ ใช้เท้าหลังพยุงร่างกายเหมือนจิงโจ้แล้วกระโดดเหย็งๆ ไปที่ระยะหนึ่งเมตรจากแมวน้ำ สะบัดอุ้งมือแล้วเหวี่ยงก้อนหินออกไป!

ก้อนหินพวกนี้เป็นอุปกรณ์กินอาหารของพวกนากทะเล พวกมันชินกับการลอยบนผิวน้ำแล้วเอาหินวางไว้ที่อก เอากุ้ง ปู หอยเม่น ดาวทะเลทุบกับหินให้ละเอียดแล้วค่อยกิน

ดังนั้น ก้อนหินที่พวกมันเลือกพวกนี้ล้วนแข็งเป็นพิเศษแถมยังผ่านการใช้งานมาจนมีขอบคมขึ้นชัดเจน ตอนนั้นมีแค่นากทะเลตัวเดียวโยนหินก้อนเดียวมาเสี่ยวเถียนกวาก็ร้องไห้แล้ว แล้วตอนนี้ที่นากทั้งฝูงโยนล่ะ?

อีกอย่างที่พวกนากทะเลโยนหินใส่เถียนกวาก็ต่างกับตอนนี้ พวกมันโยนใส่เถียนกวาแค่เพราะตกใจเลยป้องกันตัวเองตามสัญชาตญาณ ตอนโยนก็ไม่ได้ตั้งใจโยน แรงไม่เยอะ แต่คราวนี้พวกมันต้องการแก้แค้น ต้องการแย่งอาณาเขต นั่นมันเป็นการโยนสุดแรง ทุ่มสุดตัว!

หินแต่ล่ะก้อนถูกโยนออกไปต่อเนื่อง เหล่าแมวน้ำแม้จะหนังหนาเนื้อด้านแถมด้วยชั้นไขมัน แต่โดนหินโยนใส่หัวก็ยังหัวแตกเลือดออกเจ็บไม่มีอะไรเทียบ

ดังนั้นพวกแมวน้ำเลยส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความโกรธปนเจ็บ ร้องไปก็พยายามเคลื่อนตัวไปข้างหน้าด้วย อ้าปากเผยฟันซี่ใหญ่น่ากลัวสองซี่หวังจะทำให้นากทะเลตกใจ

เหล่านากทะเลชินกับภาพแบบนั้นแล้ว พวกมันไม่กลัวการขู่จากแมวน้ำหรอก คราวนี้ที่งัดมาใช้ก็มุกเก่าเล่าใหม่ ก็แค่เปลี่ยนตัวเล่น พวกแมวน้ำกลายเป็นลาโง่ ส่วนนากทะเลกลายเป็นเสือ

ก้อนหินรอบแรกโยนเสร็จแล้ว นากทะเลก็ไม่มีอาวุธ เหล่าแมวน้ำก็วางใจไปเปลาะหนึ่ง แต่ว่าทรัพยากรที่หาดทรายอุดมสมบูรณ์ แม้ว่าจะไม่ค่อยมีหิน แต่ด้านล่างมีสัตว์ทะเลเปลือกแข็งอย่างปูก้ามดาบ ปูเสฉวนบกมากมาย

พวกนากทะเลโดนไล่ขึ้นบกมาวันสองวันแล้ว ช่วงนี้พวกมันก็อาศัยขุดปูจากในทรายมาเป็นอาหาร ส่วนเรื่องจะขุดปูจากหาดที่ดูราบเรียบเงียบสงบอย่างไรก็มีประสบการณ์มากอยู่ พวกมันแค่ใช้อุ้งมือขุดทรายอย่างรวดเร็ว สิบกว่าวินาทีก็ขุดปูที่แยกเขี้ยวเงี้ยก้ามออกมาได้แล้ว จากนั้นก็หยิบปูขึ้นมาโยนใส่แมวน้ำ

เพราะได้พลังโพไซดอนพัฒนา ปูพวกนี้เลยไม่ได้อ่อนแอเหมือนปูทั่วไป พอพวกมันถูกขุดออกมาก็ตกใจเลยเงี้ยก้ามขึ้นเพื่อปกป้องตัวเอง

แบบนี้ปูเลยสร้างความเสียหายได้มากกว่าหินอีก!

……………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท