ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1759 ความกล้าหาญของเถียนกวา

บทที่ 1759 ความกล้าหาญของเถียนกวา

ถึงแม้ปูจะไม่ได้แข็งเท่าก้อนหิน แต่ปูก้ามดาบพวกนี้มีก้ามอันแข็งแกร่ง พอพวกมันโดนขุดออกมาแล้วตกใจเลยเริ่มทำการโจมตี รอจนโดนโยนลงบนหัวของแมวน้ำกับคอ แน่นอนว่าก็ต้องพยายามใช้ก้ามโจมตีพวกแมวน้ำ

แบบนี้ทั้งโดนหินโยนใส่ ทั้งโดนปูหนีบ พวกแมวน้ำก็ซวยกันถ้วนหน้า แต่ล่ะตัวโก่งคอร้องโหยหวนระงม ราชาแมวน้ำที่อยู่หน้าสุดสภาพแย่ที่สุด ข้างๆ มันก็มีก้อนหินยี่สิบกว่าก้อนร่วงลงมา บนจมูกบนหน้ายังมีปูก้ามดาบยี่สิบกว่าตัวหนีบอยู่ บนหัวมีเลือดไหลพราก ทำไงได้ ใครใช้ให้มันตัวใหญ่แถมยังอยู่ข้างหน้า? พวกนากทะเลไม่เล่นมันจะไปเล่นใคร?

ตอนนี้ราชาแมวน้ำกลายเป็นฟู่เจี้ยนไปแล้ว เมื่อกี้ยังกองพลก่ายกองอยู่เลย ตอนนี้โดนกองทัพนากเป่ยฝู่ที่นำโดยราชานากเซี่ยเสวียนโจมตีด้วยวิธีแปลกประหลาด ครู่เดียวก็โดนโจมตีจนน่วม อีกอย่างพอโดนปูก้ามดาบตกใส่ไม่หยุดแบบนี้ราชาแมวน้ำก็เริ่มกลัว ให้ตายเถอะ สรุปว่ามีนากกี่ตัวกันแน่? ทำไมมีปูลอยมาเยอะขนาดนี้เนี่ย?

สถานการณ์ไม่สู้ดี ราชาแมวน้ำพยายามเปลี่ยนทิศทาง ดั้นด้นรุดหนีไปทางทะเล พอพวกแมวน้ำเห็นลูกพี่หนีก็ตกใจจนรีบหนีตาม ถ้าไม่หนีจะอยู่ทำไมล่ะ? จะอยู่บนหาดรอปีใหม่หรือไง? ถ้ารอจนปีใหม่จริง หินที่พวกนากทะเลโยนมาคงสามารถเอามาทำสุสานพวกมันได้เลย แถมสาหร่ายบนสุสานก็ยาวได้สองเมตร!

พวกนากทะเลไม่รู้จักหลักการไม่ไล่ต้อนศัตรูที่ไม่มีทางสู้ พวกมันแค่รู้ว่าต้องฉวยโอกาสดีนี้ไว้ พอเห็นไอ้พวกอันธพาลที่รังแกพวกมันตอนอยู่ในทะเลจนน่วมแถมไล่พวกมันจากบ้านในเขตทะเลอุ่นมาบนบกอันแสนน่ากลัวเสียเปรียบจึงรีบฉวยโอกาสที่จะเอาชนะ รีบวิ่งก้าวเล็กๆ ตามกันไปข้างหน้า หาอะไรได้ก็โยน

พวกแมวน้ำก็เป็นประเภทรังแกพวกที่อ่อนแอกว่าแต่กลัวพวกที่แกร่งกว่า แล้วพวกมันยังไม่มีสมองด้วย โดนโยนไปสองสามที แมวน้ำบางส่วนที่หนีไปทางทะเลก็เปลี่ยนทิศทางอีก พวกมันนึกว่าตัวเองหนีผิดทาง หมุนตัวได้ก็วิ่งกลับขึ้นหาดอีกครั้ง

แบบนี้ แมวน้ำฝูงใหญ่ยังพอว่า พวกมันหาทางที่ถูกเจอสุดท้ายก็ค่อยๆ กลับลงไปในทะเล ส่วนอีกสองสามตัวที่ยังบื้ออยู่บนหาดก็กลายเป็นเป้าให้นากทะเลล้อมโจมตีไปโดยปริยาย พวกมันลนลานจนหาทางหนีไม่เจอ ได้แต่วนไปมาบนหาด แต่กลับสลัดฝูงนากไม่หลุดเสียทีไม่ว่าจะทำอย่างไร

เถียนกวาดูอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ดึงขากางเกงของฉินสือโอวแล้วกระตุกซ้ำๆ อย่างร้อนใจ ฉินสือโอวไม่ได้ตั้งตัวเกือบจะโดนดึงกางเกงลงเลยรีบดึงไว้แล้วถามแบบเขินๆ “ลูกทำอะไรน่ะ? ทำตัวดีๆ หน่อยได้ไหมลูก?”

สาวน้อยชี้ไปที่การต่อสู้ระหว่างนากทะเลกับแมวน้ำบนชายหาดแล้วพูดอย่างร้อนใจ “นั่นพ่างพ่าง ไปช่วยๆ…”

ฉินสือโอวมองตามนิ้วของลูกสาวถึงพบว่าแมวน้ำที่โดนล้อมไว้มีตัวหนึ่งที่อ้วนเป็นพิเศษ เห็นได้ชัดว่าเป็นหนึ่งในสองแมวน้ำเพื่อนเล่นของเถียนกวา

แม้ว่าพวกแมวน้ำจะโดนเล่นงานจนอ่วม แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่เป็นไร พวกนากไม่กล้าโจมตีระยะประชิด แค่โยนปูไปหนีบพวกแมวน้ำ พวกมันกลัวเสียมากกว่าแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แม้ว่าบนบกพวกมันจะไร้ซึ่งความสามารถในการจู่โจมแต่ก็ยังมีความสามารถในการป้องกันตัวสูง ขอแค่ไม่ได้เอาระเบิดมือให้พวกนาก ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดการบาดเจ็บรุนแรงอะไร

เพราะฉะนั้นฉินสือโอวก็เลยขี้เกียจจะสนใจเรื่องนี้ ในสายตาเขาพวกแมวน้ำรนหาที่เอง ไปแกล้งนากทะเลในน้ำทำไมล่ะ? ถือว่าแน่ใช่ไหม? ในเมื่อสู้ได้ งั้นก็ตีกันต่อไปสิ อย่ามาทำน่าสงสารบนหาด

เพียงแต่เขาเห็นเถียนกวาร้อนใจขนาดนี้เลยรู้สึกว่านี่เป็นโอกาสอันดีในการฝึกความกล้าหาญและคุณธรรมให้เด็ก ดังนั้นเลยนั่งยองลงแล้วมองหน้าลูกสาวก่อนจะพูดว่า “ลูกรัก เพื่อนของลูกกำลังถูกรังแก หนูควรจะทำอย่างไรคะ?”

เถียนกวายืนน่ารักอยู่ตรงหน้า นิ้วมือขวาอมอยู่ในปากแล้วพูดอย่างคาดหวัง “ไปช่วยพ่างพ่าง?”

ฉินสือโอวยิ้มบางพลางพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่ ควรไปช่วย…”

“งั้นพ่อก็รีบไปสิ!” สาวน้อยรีบร้อนพูด พูดไปก็ลากแขนเขาไปทางชายหาดไปด้วย

ฉินสือโอวไม่รู้จะยิ้มหรือร้องไห้ดี เตือนเธอว่า “เด็กโง่ นั่นเพื่อนหนู งั้นจะช่วยหนูก็ต้องไปช่วยเองสิ”

เถียนกวาได้ยินแบบนั้น บนใบหน้าจ้ำม่ำแสดงความลำบากใจออกมา “ไม่ได้ เจ็บ น่ากลัว!”

ฉินสือโอวลากหู่จือกับเป้าจือมาแล้วพูดขึ้น “หนูพาหู่จือกับเป้าจือ พวกมันจะปกป้องหนู พวกมันเป็นหมาที่กล้าหาญที่สุด!”

เถียนกวาเบิกตาโตเป็นประกายและมองไปทางหู่จือเป้าจือ แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย ประเด็นคือเมื่อก่อนเธอแกล้งหู่จือกับเป้าจือไว้เยอะ สาวน้อยเดินคล่องได้ไวขนาดนี้ ต้องขอบคุณความเสียสละของพวกแลบราดอร์ที่พาเธอวิ่งไล่

แลบราดอร์ไม่รู้ว่าสองคนคุยอะไรกัน พวกมันสองตัวเห็นเถียนกวาจ้องตัวเองอยู่ก็ส่ายหางอย่างมีความสุข แลบลิ้นห้อย หยีตามองไปที่เจ้านายตัวน้อยอย่างตื่นเต้น

เถียนกวายกมือขึ้นมาลูบขนนุ่มบนหัวของแลบราดอร์ทั้งสอง จากนั้นก็มองฉินสือโอวด้วยสายตากังวล “พวกมันกินหมาไหม?”

ฉินสือโอวพูดอย่างแน่วแน่ “หมาสุดยอดที่สุด พวกมันกลัวหมา!”

เถียนกวาลังเลขึ้นมา เธอยืนอยู่ระหว่างหู่จือกับเป้าจือมองไปข้างหน้าอย่างลังเล นากทะเลยังล้อมแมวน้ำสองสามตัวไว้ แมวน้ำสองสามตัวนี้ถือว่าซวยแล้ว ฉินสือโอวคิดว่าช่วงหลังคงจะไม่ขึ้นบกมาอีก

อีกอย่างเรื่องของวันนี้ก็ทำให้เขาแปลกใจมาก นึกไม่ถึงว่าแมวน้ำที่แสนกล้าหาญในทะเลพอขึ้นบกมาจะเงอะงะ นากฝูงเดียวก็ทำเอาพวกมันหนีลนลานแล้ว มิน่าหมีขั้วโลกถึงชอบซุ่มล่าแมวน้ำ

แมวน้ำสองสามตัวไม่แค่เจ็บตัวเท่านั้น ที่ยิ่งกว่านั้นคือความลนลานและความกลัว มีแต่นากอยู่เต็มไปหมด พวกมันตกใจกลัวจนลุกลี้ลุกลน วนไปวนมาก็หาทางกลับลงทะเลไม่ได้เสียที สุดท้ายก็หันหลังกลับ สภาพช่างน่าสังเวช

แบบนี้พวกแมวน้ำก็สิ้นหวังขึ้นมา แหงนคอคำรามขึ้นฟ้าสุดเสียงราวกับร้องเพลง เสียงร้องยังเป็นทำนองด้วย ท่านชายฉินถึงกับนับถือไม่น้อย

เห็นภาพแบบนี้เถียนกวาก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เธอก้าวขาสั้นวิ่งไปราวกับลม ใบหน้าสีชมพูระเรื่อไม่แสดงสีหน้ากลัวเกรงแต่อย่างใดราวนักบินกามิกาเซ่ที่กำลังเตรียมจะพุ่งชนเรือบรรทุกเครื่องบินแถมยังตะโกนเหมือนนักบินกามิกาเซ่อีก “หู่จือ เป้าจือ! หู่จือ เป้าจือ!”

ได้ยินเสียงเรียกของเจ้านายตัวน้อย เหล่าแลบราดอร์ก็พุ่งออกมาราวลูกศร ดวงตาโตเป็นประกาย พวกมันอยากจะเล่นกับนากพวกนี้มานานแล้ว พอได้คำสั่งจากเจ้านายตัวน้อยก็พากันพุ่งไปทางฝูงนากทะเลราวกับรับบัญชาราชโองการ

เบื้องหน้าของเหล่าแลบราดอร์บ้าพลัง พวกนากทะเลก็ดูเงอะงะสุดๆ พวกมันเห็นแลบราดอร์กำลังวิ่งมุ่งมาทางนี้ แล้วยังไวขนาดนั้น หุ่นก็แสนกำยำ พวกมันตกใจจนร้องระงม ไม่สนใจจะจัดการแมวน้ำพวกนั้นอีก ทั้งคลานทั้งกลิ้งตกใจหนีกันจ้าละหวั่น!

……………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท