ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1762 ฐานะและสถานะสังคม

บทที่ 1762 ฐานะและสถานะสังคม

เบิร์ดนั่งในห้องนักบิน เขาพิงลงบนเก้าอี้ใหญ่กว้างนุ่มนิ่มแล้วถอนหายใจอย่างสบายอารมณ์ “พับผ่าสิ สบายสุดๆ เลย ผมชอบขับเฮลิคอปเตอร์มาก ผมรักเฮลิคอปเตอร์บ้านี่ที่สุดเลย!”

ฉินสือโอวชะโงกไปด้านหน้าตบบนพนักเก้าอี้ของเขาแล้วพูดแบบไม่พอใจ “ลูกสาวฉันนั่งอยู่ข้างหลังนายนะ ให้ตายเถอะ อย่าพูดคำหยาบได้ไหมไอ้บ้า เข้าใจไหม?”

เขายังพูดไม่จบวินนี่ก็หยิกเขาแรงๆ ทีหนึ่ง ท่านชายฉินเลยได้แต่กัดฟันหันไปก็เจอกับภรรยาคนงานที่จ้องมองเขาด้วยสายตาโกรธเคืองจริงจัง “สรุปว่าใครกำลังพูดคำหยาบกันแน่? อย่าเล่นไร้สาระแบบนี้ โอเค? ไม่อย่างนั้นฉันจะไล่พวกคุณสองคนลงไปด้วยกันเลย!”

ท่านชายฉินยื่นมือไปดึงตัววินนี่พร้อมรอยยิ้มร่า ตอนนั้นเองนอกเฮลิคอปเตอร์ก็มีเสียงตบประตูดังขึ้น “ปังๆๆ!”

วินนี่ตบมือปลาหมึกของเขาออกไปก่อนจะกดลงบนแผงควบคุม ประตูโดยสารเครื่องบินค่อยๆ เปิดออก

นอกประตูโดยสารมีเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ซึ่งก็คือฮิลตันที่ตามเบิร์ดมา ฉินสือโอวแปลกใจที่เห็นเธอเลยเอ่ยถาม “เฮ้ นิกิ มีอะไรหรือเปล่า? จะไปโทรอนโตด้วยเหรอ?”

ฮิลตันมองเข้าไปในเฮลิคอปเตอร์เงียบๆ สีหน้าดูเหมือนจะเศร้าๆ แล้วพูดขึ้น “ฉิน ฉันขอคุยกับคุณหน่อยสิ คุณลงมาได้ไหม? อาจจะกินเวลาคุณนิดหน่อย…”

ฉินสือโอวพูดขัดเธอ “แน่นอนว่าไม่มีปัญหา…”

เขาพูดไปได้ครึ่งเดียวก็โดนขัด เบิร์ดกระโดดออกมาจากห้องนักบินแล้วเอ่ยหน้านิ่วคิ้วขมวด “คุณมาที่นี่ทำไม? ฉินไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องพวกเรา ผมรู้ว่าคุณคิดจะทำอะไร…”

วินนี่วางเถียนกวาที่กอดอยู่ในอกลงบนเก้าอี้แล้วพูดอย่างอ่อนโยนแต่แน่วแน่ “เบิร์ด กลับไปนั่งที่เถอะ เรื่องนี้ให้ฉินจัดการ นิกิมาหาฉินไม่ใช่นาย!”

ทีตั้งหลายคนพูดก็ไม่โดนขัด ฉินสือโอวจนใจจริงๆ อะไรกันเนี่ย? เขามองดูสีหน้าของเบิร์ดกับฮิลตัน ระหว่างทั้งสองคนไม่ได้มีความหยาดเยิ้มเหมือนก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าต้องมีปัญหากัน แบบนี้เขาจะต้องไปคุยกับฮิลตันสักหน่อยดังนั้นจึงกระโดดลงเครื่องทันที

เบิร์ดพยักหน้าเงียบๆ กำลังจะเดินจากไป วินนี่ก็พูดขึ้นอีก “นายมานั่งตรงข้ามฉันนี่ นีลเซ็น นายลงไปก่อน ฉันมีเรื่องจะคุยกับเพื่อนรักนายหน่อย”

นีลเซ็นที่นั่งอยู่บนที่นั่งผู้ช่วยนักบินกำลังหันมามองอย่างสนใจใคร่รู้พอดี ได้ยินคำของวินนี่ เขาก็หัวเราะแหะๆ แล้วกระโดดลงเฮลิคอปเตอร์ไป สุดท้ายก็ตบไหล่ของเบิร์ดแล้วพูดว่า “นี่เพื่อน ชีวิตกับเรื่องความรักน่ะ ต้องคิดให้ดีก่อนจะตัดสินใจ แต่ฉันสนับสนุนนายเสมอ”

ในที่สุดเบิร์ดก็ไม่ได้ทำสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกอีกต่อไป ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มซาบซึ้งออกมา ส่วนสีหน้าของฮิลตันที่อยู่ข้างๆ กลับหม่นหมองลงไปอีก

ฉินสือโอวกับฮิลตันไปที่สนามหญ้าข้างสนามบิน ฮิลตันเดินก้มหน้าก้มตา ผมสลวยปรกลงมาแลดูยุ่ง เธอไม่ได้สนใจ เพียงแค่เดินไปช้าๆ เงียบๆ

“สรุปว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่? นิกิ คุณก็รู้ แม้ว่าเบิร์ดจะอยู่ในฐานะลูกน้องของผม แต่ผมมองเขาเป็นเพื่อนรัก เรื่องของเขาก็คือเรื่องของผม ถ้าเขาทำอะไรคุณ ผมจะไปสั่งสอนเขาเอง!” สุดท้ายก็เป็นท่านชายฉินที่ทำลายความเงียบลงก่อน

แววตาของฮิลตันมองไปยังท้องทะเลกว้างใหญ่เบื้องหน้า สีหน้าของเธอดูคิดหนัก ฉินสือโอวรออย่างใจเย็น ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก

ดูจากสีหน้าของเบิร์ดกับฮิลตันเมื่อกี้ เขาก็ดูออกว่าระหว่างสองคนต้องมีปัญหากัน ที่จริงแล้วตอนที่สองคนเพิ่งเริ่มคบกันเขาก็ไม่คิดว่ามันจะยืด

ฮิลตันอาจไม่ได้มีผู้ชายเยอะอย่างพี่สาว แต่เธอก็เป็นสาวไฮโซ แฟนที่คบไม่ห้าก็เป็นสิบ สำหรับเธอแล้ว ความสัมพันธ์กับเรื่องบนเตียงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มีความสุขกับมันได้ หรือกระทั่งดื่มด่ำไปกับมัน

จุดที่เบิร์ดดึงดูดเธอก็คือความแมนแบบผู้ชาย ฉินสือโอวคิดว่าความรู้สึกที่ฮิลตันมีให้เบิร์ดเป็นแค่ความชอบชั่วครู่ เป็นความดึงดูดทางเพศชั่วคราว นานวันไปความรู้สึกก็จะจางลงจนหายไป ถึงตอนนั้นเธอก็จะเลิกกับเบิร์ด

แต่เขาก็ไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหา เบิร์ดไม่ใช่ผู้ชายที่เหมาะกับฮิลตัน ในขณะเดียวกันฮิลตันก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่เหมาะสมกับเบิร์ด สองคนช่วยคลายเหงาให้กันก็ดี เบิร์ดเป็นผู้ชายทั่วไป เขาอยู่บนเกาะไม่มีแฟน ปกติพอมีความต้องการก็ไปผับบาร์ในเซนต์จอห์น ไม่สู้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนดีกว่า

ผ่านไปไม่กี่นาที จู่ๆ ฮิลตันก็ยื่นมือมารวบผมสลวยที่ปล่อยกระจัดกระจายแล้วพูดเสียงเนือย “ฉันว่าคุณคงจะมองออกแล้ว ฉิน ระหว่างฉันกับเบิร์ดมีปัญหากันนิดหน่อย แต่ไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอก ไม่ใช่ว่าเขารังแกฉันหรือฉันเบื่อเขา ที่จริงฉันอยากแต่งงานกับเขา!”

ท่านชายฉินยังคงจมดิ่งอยู่ในจินตนาการของตัวเอง ได้ยินคำของฮิลตันเขาก็พูดออกมาโดยไม่รู้ตัว “ฟังนะ นิกิ ผมเข้าใจความสัมพันธ์พวกคุณ รักง่ายเบื่อง่าย พวกคุณยังเป็น อะไรนะ คุณอยากแต่งงานกับเขา?”

ตอนนั้นเขาก็ได้สติกลับมา เบิกตาโตกว้าง เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่เขาเข้าใจเจตนาของฮิลตันผิด

ฮิลตันไม่ได้สนใจถามว่าคำพูดครึ่งแรกของเขาหมายความว่าไง แต่พูดต่อ “ใช่ ฉิน ฉันอยากแต่งงานกับเบิร์ด เขาก็ยินดีแต่งกับฉัน แต่ฉันไม่อยากให้สามีของฉันเป็นแค่ชาวประมง ฉันอยากให้เขาเป็นวีรบุรุษ!”

ฉินสือโอวไม่ได้ฟังต่อไป เขาพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวก่อน คุณเด็กสาวผู้น่ารัก ให้ผมเรียบเรียงก่อน คุณอยากแต่งกับเขา เขาก็อยากแต่งกับคุณ? ต้องบอกเลยว่า นี่เป็นเรื่องดี แต่พระเจ้า พวกคุณเพิ่งรู้จักกันนานแค่ไหนเอง? สองเดือน? สี่เดือน? แล้วก็อยากแต่งงาน? คาดไม่ถึงจริงๆ”

ฮิลตันพูดเรียบๆ “ก็ไม่แปลกอะไร อาจจะรู้จักกันไม่นาน แต่ฉันก็สัมผัสได้ว่าเบิร์ดเป็นผู้ชายที่จะพึ่งพาได้ชั่วชีวิต เทียบกับผู้ชายที่ฉันเคยคบแล้ว เขาเป็นผู้ชายที่มีค่าพอให้ผู้หญิงทุกคนรักษาไว้”

ฉินสือโอวหัวเราะ “ไม่หรอก อย่างน้อยๆ เขาไม่คุ้มให้วินนี่รักษา…”

ฮิลตันหันไปมองเขาด้วยแววตาเคืองๆ “ไอ้บ้า บอสอย่างคุณมันเป็นตัวตลกหรือไง? ฉันหมายความแบบนั้นเหรอ? คุณกับฉันมาเถียงกันเรื่องนี้มีประโยชน์ไหม?”

ฉินสือโอวก็ล้อเล่นจริงๆ นั่นแหละ เพราะเขาไม่คิดว่าเรื่องที่ฮิลตันพูดน่าเชื่อ ล้อเล่นเหรอ ให้เบิร์ดแต่งกับผู้หญิงตระกูลฮิลตัน?! ให้ตายสิ ต่อไปเบิร์ดไม่มีที่ยืนในตระกูลแน่!

เทียบกับเขา อีคิวของฮิลตันสูงกว่า เธอโตมาในตระกูลใหญ่ เห็นโลกมาเยอะ สมัยมหาวิทยาลัยก็เริ่มก้าวเข้ามาในวงการธุรกิจ ชำนาญเรื่องจิตใจคน เห็นสีหน้าของฉินสือโอวบวกกับคำพูดของเขาเธอก็เดาออกแล้วว่าเขาหมายถึงอะไร

“คุณรู้จักเบิร์ดดี รู้ว่าเขายอดเยี่ยมแค่ไหน คุณดูออก ถ้าเบิร์ดเป็นเศรษฐีหนุ่มหรือไม่ก็คนจากตระกูลร่ำรวย เขากับฉันต้องเหมาะสมกันมาก ใช่ไหม?” ฮิลตันถาม

ฉินสือโอวเลี่ยงที่จะพยักหน้าไม่ได้ ช่องว่างระหว่างทั้งสอง ก็คือฐานะและสถานะสังคม

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท