ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1770 รสชาติที่แตกต่าง

บทที่ 1770 รสชาติที่แตกต่าง

ฉินสือโอวยังดี รถแทรกเตอร์คันนี้เป็นอุปกรณ์ที่ทันสมัยที่สุดคันหนึ่งในบรรดาอุปกรณ์อันน้อยนิดของฟาร์มของเหมาเหว่ยหลง ราคาของมันประมาณหนึ่งแสนห้าหมื่นดอลลาร์ ข้างในไม่เพียงแต่จะมีเครื่องปรับอากาศเท่านั้น แต่ยังมีตู้กดน้ำอยู่ด้วย ข้างในนั้นมีขวดน้ำอยู่ ทำให้เขาไม่รู้สึกร้อนเท่าไร

แต่ว่าเหมาเหว่ยหลงนำเขาไปยังทิศตะวันออกของฟาร์ม เมื่อขับไปได้สักพักก็เจอเข้ากับบ่อน้ำที่มีหินล้อมรอบอยู่ ข้างในบ่อน้ำมีดอกบัวอยู่จำนวนหนึ่ง รอบๆ บ่อน้ำมีแพะแกะและลูกวัวกำลังก้มลงดื่มน้ำ ทำให้พื้นผิวน้ำเกิดคลื่นเป็นระลอกๆ ภาพบรรยากาศสวยงามเป็นอย่างมาก

เมื่อเห็นบ่อน้ำอันสวยงามนี้ ฉินสือโอวก็อุทานออกมาว่า “ว้าว ที่นี่สวยจริงๆ ฟาร์มของแกมีบ่อน้ำนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

เหมาเหว่ยหลงหัวเราะออกมาอย่างพอใจ “ฉันได้แรงบันดาลใจมาจากฟาร์มข้างๆ ที่นั่นไม่มีทะเลสาบขนาดใหญ่อยู่หรือยังไง? ฉันคิดว่าในเมื่อที่ฟาร์มของฉันมีน้ำมากขนาดนี้ ทำไมไม่ขุดบ่อขึ้นมาเสียเลยล่ะ บวกกับตอนนี้ฉันเลี้ยงแกะแพะและวัวด้วยแล้ว พวกมันทำเป็นต้องมีที่สำหรับดื่มน้ำ ฉันจึงไปหาช่างก่อสร้างเมื่อเพื่อสร้างบ่อน้ำ เป็นอย่างไร ไม่เลวเลยใช่ไหม?”

ฉินสือโอวปล่อยพลังจิตสำนึกโพไซดอนลงไปดูข้างในบ่อน้ำ เขาพบว่าในบ่อมีปลาอนุบาลอยู่จำนวนมาก พวกมันเป็นปลาน้ำจืดธรรมดา แต่ว่าเขายังเจอปลาไหลนาและปลาไหลอีกด้วย เจ้าพวกนี้พบเจอในแคนาดาได้ไม่มาก แน่นอนว่า เขาจะไม่บอกเรื่องนี้กับเหมาเหว่ยหลง เขาเอ่ยชมเรื่องบ่อน้ำไปสองสามประโยค จากนั้นก็ถอดเสื้อผ้าและกระโดดลงน้ำไป

เมื่อเหมาเหว่ยหลงเห็นว่าเขาใส่กางเกงตัวเดียว ก็พูดกลั้วหัวเราะขึ้นว่า “ที่นี่มีพวกเราไม่กี่คน ถอดเสื้อผ้าออกจนหมดแล้วค่อยอาบน้ำสิ แกใส่แบบนี้จะล้างตัวได้อย่างไร”

ฉินสือโอวทำเพียงหัวเราะแห้งๆ แต่ไม่พูดอะไร เหมาเหว่ยหลงจึงพูดออกมาอย่างดูถูกว่า “แกยังคิดว่าตัวเองเป็นคนชนชั้นสูงอยู่อีกเหรอ? แต่พอมาคิดๆ ดูแล้ว….”

ตอนนั้นเองแบล็คไนฟ์ที่ถอดเสื้อผ้าออกจนหมด ก็แกว่งขาที่สามของตัวเองกระโดดลงบ่อน้ำไปโดยไม่สนใจใคร

เหมาเหว่ยหลงหันหน้าหนี เขาเห็นภาพเหตุการณ์นั้นพอดี ทำให้ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้น เขาที่กำลังถอดเสื้อผ้าออก เมื่อเห็นของแบล็คไนฟ์ เขาก็จับของตัวเอง หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา..คนผิวสีนี่เกินไปจริงๆ การอาบน้ำกับพวกเขาเป็นการทำร้ายความเป็นชายของตัวเองจริงๆ

เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ทั้งสี่คนก็กลับไปยังอาคารเล็กๆ พร้อมกับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน วินนี่และหลิวซูเหยียนห่อเกี๊ยวกันจนเสร็จแล้ว พวกเธอกำลังเตรียมกระเทียมและซอสถั่วลิสง ชาวจีนมักจะทานเกี๊ยวกับกระเทียม แต่แบล็คไนฟ์และคนอื่นๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร พวกเขาชอบทานกับซอสถั่วลิสง ฉินสือโอวไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้เลย!

เกี๊ยวสีขาวาสวยงามถูกใส่เข้าไปในหม้อทีละชิ้นๆ ไม่รู้ว่าตั๋วตั่วพาเถียนหวาไปเล่นถึงที่ไหน พอใกล้ถึงเวลาเที่ยงเด็กสาวทั้งสองคนก็วิ่งกลับมาอย่างร่าเริง เพราะว่าฝูงสุนัขพิทบูลผู้แข็งแรงและซื่อสัตย์คอยติดตาม เหมาเหว่ยหลงและฉินสือโอวจึงสบายใจได้ว่าพวกเธอจะเล่นกันอย่างปลอดภัย

บนหัวของเถียนกวามีมงกุฎดอกไม้อยู่หนึ่งอัน เมื่อเด็กหญิงกลับมาเธอก็วิ่งไปหาวินนี่ทันที จากนั้นก็หมุนตัวให้แม่ของตัวเองดู

วินนี่ถามออกมาอย่างให้ความร่วมมือว่า “ใครทำมงกุฎดอกไม้แสนสวยแบบนี้ให้กับเถียนกวากันนะ?”

เถียนกวายกนิ้วอวบๆ ของตัวเองชี้ไปที่ตั๋วตั่ว แล้วพูดออกมาด้วยเสียงสดใสว่า “กวากวาหอมแก้มพี่สาว พี่สาวเลยทำมงกุฎดอกไม้ให้เถียนกวา”

ฉินสือโอวบีบจมูกเล็กๆ ของลูกสาวแล้วพูดว่า “แล้วเถียนกวาขอบคุณพี่สาวรึยังคะ?”

เด็กหญิงเอียงหัวทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็วิ่งเตาะแตะออกไป เธอกระโดดกอดคอตั๋วตั่วจากนั้นก็หอมแก้มตั๋วตั่วหนึ่งที

ตั๋วตั่วยิ้มออกมา “ไม่ต้องขอบคุณหรอก เถียนกวาให้พี่เล่นกับเฟอเรทได้ไหม?”

เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กหญิงก็ไม่ยอมขึ้นมาทันที เธอซ่อนพี่น้องเฟอเรทที่อยู่บนไหล่ไว้ที่ด้านหลังของตัวเอง หัวเล็กๆ ของเธอส่ายไปมาอย่าแรง “ไม่ได้ๆ พวกมันหนีไปแล้ว!”

พี่น้องเฟอเรทยอมที่จะไปกับตั๋วตั่ว พวกมันคิดว่าเด็กสาวที่มีท่าทีอ่อนโยนอย่างนั้นเหมาะที่จะเป็นเจ้านายพวกมัน แต่น่าเสียดาย โชคของพวกมันไม่ได้ดีขนาดนั้น พวกมันจึงได้แต่รู้สึกหดหู่อยู่เงียบๆ

น้ำในหม้อเดือดเสียงดัง ไม่นานเกี๊ยวก็ลอยขึ้นมา หลิวซูเหยียนตักเกี๊ยวขึ้นมาส่งให้เหมาเหว่ยหลงหนึ่งชิ้น แล้วถามออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เป็นอย่างไร สุกรึยังคะ?”

เหมาเหว่ยลงเข้ามากอดเธอจากด้านหลังแล้วพูดว่า “สุกแล้ว กลิ่นหอมมากเลยด้วย นับวันภรรยาของผมก็ยิ่งทำเกี๊ยวอร่อยนะเนี่ย”

ฉินสือโอวเตะเข้าที่ขาด้านหลังของเหมาเหว่ยหลง จากนั้นก็ส่งกองจานให้เขา “เร็วเข้าๆ หิวจะตายอยู่แล้ว รีบกินข้าวเร็ว อย่ามัวแต่แสดงความรัก!”

เหมาเหว่ยหลงด่าออกมา แล้วหัวมารับจานไปใส่เกี๊ยวน้ำและจัดอย่างสวยงาม หลิวซูเหยียนยังเตรียมอาหารไว้ให้อีกหกอย่าง เป็นอาหารพื้นบ้านที่ธรรมดามาก ไม่ว่าจะเป็น มันฝรั่งหั่นแช่เย็น ไข่เยี่ยวม้า แมงกะพรุนผัวคั่วกะหล่ำปลี แตงกวาฝาน ถั่วลิสงดอง และ ไก่น้ำลายสอ

หลังจากทุกคนนั่งลง ฉินสือโอวมีท่าทีที่หิวมาก แม้ว่าทั้งเช้าเขาจะนั่งอยู่แต่ในรถก็ตาม แต่เขาก็จต้องขึ้นลงๆ รถบ่อยๆ และยังต้องตั้งสมาธิเพื่อควบคุมทิศทางรถและรอจนกว่าข้าวโพดจะถูกย้ายไปยังถังเก็บ ดังนั้นเขาก็ใช้พลังงานไปไม่น้อยเช่นกัน

เกี๊ยวน้ำกำลังร้อนๆ เขาใช้ตะเกียบคีบมันฝรั่งหั่นเข้าปากก่อน ทันทีที่ชิมเขาก็สัมผัสได้ถึงรสชาติที่วินนี่ทำ เพราะว่าวินนี่รู้ว่าเขาชอบอาหารรสชาติแบบไหน เธอจึงเติมน้ำมันเข้าไปในมันฝรั่งเล็กน้อย เมื่อกัดเข้าไปก็ได้รสชาติที่มันและกรอบ

หลิวซูเหยียนล้างผักกระเป๋าเงินของคนเลี้ยงแกะมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็เสิร์ฟมาในจานพร้อมกับซอสชนิดหนึ่ง เธอพูดว่า “มาค่ะ มาลองชิมดู ผักพวกนี้ฉันขุดมาเองกับมือเลยนะ เพราะว่าน้ำและดินดี ดังนั้นผักกระเป๋าเงินของคนเลี้ยงแกะของฟาร์มเราจึงรสชาติดีกว่าที่อื่น”

ฉินสือโอวหยิบผักหนึ่งใบแล้วพับครึ่งก่อนจะจิ้มผักลงไปในซอส ผักชนิดนี้มีกลิ่นหอมและกรอบอร่อย ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวของผักป่าและวัชพืชเลย รสชาติใช้ได้ทีเดียว

แบล็คไนฟ์และบีบีซวงดื่มเบียร์เย็นๆ คู่กับเกี๊ยวน้ำ ตอนแรกพวกเขายับยั้งชั่งใจ เลยไม่ได้กินอาหารก่อน ปรากฏว่าเมื่อทานเกี๊ยวไปแล้วหนึ่งคำ ทั้งสองคนก็พยักหน้า จากนั้นก็เริ่มยกจานขึ้นเขมือบเกี๊ยวทั้งหมด เมื่อทานเกี๊ยวจนหมดพวกเขาก็ดื่มเบียร์ตาม ท่าทางมีความสุขเป็นอย่างมาก

ฉินสือโอวรอให้น้ำซุปเย็นลงเล็กน้อยก่อนจากนั้นก็ทานเกี๊ยว เขาเคี้ยวเกี๊ยวก่อน ทำให้น้ำเกรวี่ที่มีกลิ่นหอมของผักกระเป๋าเงินของคนเลี้ยงแกะโชยออกมา จากนั้นเนื้อแกะที่มีกลิ่นหอมของผักก็ตามมา ไม่แปลกใจเลยที่เหมาเหว่ยหลงพูดติดตลกว่าไม่ให้พวกเขากินเกี๊ยว เกี๊ยวผักนี้อร่อยกว่าที่พ่อแม่ของเขาทำอยู่มาก

ฉินสือโอวจึงรู้สึกเสียดายขึ้นมา เขาน่าจะรู้จักปลูกผักกระเป๋าเงินของคนเลี้ยงแกะที่ฟาร์มปลาให้เร็วกว่านี้ แล้วจากนั้นก็ใช้พลังโพไซดอนเลี้ยงดูพวกมัน รสชาติคงจะยิ่งอร่อยกว่านี้เป็นแน่

ฟาร์มที่อยู่นอกเมืองมีข้อได้เปรียบอยู่ นั่นก็คือมีลมพัดอยู่ตลอดทั้งวัน ดังนั้นการนั่งอยู่ใต้ร่มเงาไม้รับประทานอาหารกลางวันกันแบบนี้จึงไม่ได้รู้นึกร้อน อีกทั้งบางครั้งลมที่พัดเข้ามายังทำให้รู้สึกเย็นอีกด้วย

เมื่อกินดื่มกันจนอิ่มแล้ว เหมาเหว่ยหลงก็หยิบเบียร์แช่เย็นออกมาอีกหนึ่งกล่อง แบล็คไนฟ์และบีบีซวงต่างเป็นคนคอแข็ง ปกติแล้วดื่มเบียร์เพียงอย่าเดียวไม่ทำให้พวกเขาเมาได้ ดังนั้นจึงไม่มีผลกระทบต่อการทำงานในช่วงบ่าย

เมื่อถึงเวลาบ่ายสอง พระอาทิตย์ก็เริ่มเคลื่อนตัวไปยังทิศตะวันตก หลังจากที่อากาศเริ่มเย็นพวกเขาก็ออกไปทำงานกันอีกครั้ง เมื่อถึงเวลาหกโมงเย็นเหมาเหว่ยหลงก็บอกให้เลิกงาน และให้ใช้พวกเขาไปเตรียมตัวทานอาหารเย็น ในขณะเดียวเขาก็ขยิบตาให้ฉินสือโอวอย่างมีลับลมคมใน แล้วพูดว่า “ฉันจะให้แกจะลิ้มรสของอาหารทะเลที่นี่ รับรองว่าไม่เหมือนที่ฟาร์มแกแน่นอน”

โดยทันที ฉินสือโอวนึกถึงปลาไหลนาและปลาไหลที่อยู่ในบ่อน้ำทันที นอกจากพวกมันแล้วเขาก็นึกไม่ออกว่าที่ฟาร์มแห่งนี้จะมีอาหารทะเลอะไรอีก

แล้วเขาก็เดาถูก เหมาเหว่ยหลงนำเบ็ดตกปลาไม้ไผ่และกรงไม่ไผ่ออกมา จากนั้นก็เตรียมไส้ไก่และเลือดไก่มาวางข้างๆ แม่น้ำ เขานำปลาเล็กๆ ใส่ไว้ในกรงไม้ไผ่ จากนั้นก็วางกรงลงในน้ำ แล้วพูดออกมาอย่างขันแข็งว่า “วันนี้ฉันจะให้พวกแกได้กินอาหารทะเลสดๆ!”

……………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท