ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1768 การทำฟาร์มในเดือนกันยายน

บทที่ 1768 การทำฟาร์มในเดือนกันยายน

หลังจากที่งานประมูลสิ้นสุดลง ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นมีมูลค่าขึ้นมา เขาพาวินนี่นั่งเครื่องเฮลิคอปเตอร์ไปยังแฮมิลตัน เพื่อที่จะไปยังฟาร์มเล็กๆ ของเหมาเหว่ยหลง

เขาคิดจะเซอร์ไพรส์เหมาเหว่ยหลง จึงไม่ได้บอกล่วงหน้า เขาจึงสั่งให้บีบีซวงขับเฮลิคอปเตอร์ตรงไปยังฟาร์มของเหมาเหว่ยหลงทันที

โทรอนโตอยู่ไม่ไกลจากแฮมิลตัน เมืองแห่งนี้เป็นเมืองที่เงียบสงบมาก เมื่ออยู่บนเฮลิคอปเตอร์และมองลงมายังเมื่อข้างล่าง จุดหมายของพวกเขาคือคลื่นสีทองที่ปลิวไหวไปมาใต้สายลม รวงข้าวโพดที่โตแล้วจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวไหวไปตามแรงลม พื้นที่เพาะปลูกถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ เมืองเล็กๆ แห่งนี้เป็นเมืองที่ถูกใจคนขี้เกียจอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อมองลงมาจากท้องฟ้า บรรยากาศต่างอากาศของฟาร์มแห่งนี้ชัดเจนเป็นอย่างมาก แต่เมื่อมองจากพื้นดินภาพที่เห็นนั้นไม่เหมือนกัน เสียงรถทำฟาร์มดังสนั่นลั่นไปทั่วฟาร์ม แคนาดาเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงเรื่องการทำฟาร์มระดับโลก พวกเขามีวิวัฒนาการทางการเกษตรที่สูงมาก พื้นที่ทำฟาร์มขนาดใหญ่เต็มไปด้วยยานพาหนะทางการเกษตรและเครื่องจักรแล่นไปมาจนไม่สามารถมองเห็นเงาของคนได้ มีแต่รถแล่นไปมาวุ่นวายไปหมด

เหมาเหว่ยหลงรับรู้ถึงการมาถึงของเฮลิคอปเตอร์ของฉินสือโอว เมื่อโลมาสุดหล่อปรากฏตัวขึ้นน่านฟ้าเหนือฟาร์มของเขา เขาที่กำลังขับรถเกี่ยวข้าวโพดไปยังฟาร์มเพื่อทำการเก็บเกี่ยวข้าวโพดก็กระโดดออกมาจากรถและโบกไม้โบกมือให้ฉินสือโอวทันที

ฉินสือโอวมองลงจากเฮลิคอปเตอร์ เมื่อเห็นภาพนั้น เขาก็ถอนหายใจออกมา “พี่น้องก็ยังเป็นพี่น้องอยู่วันยังค่ำ พอเห็นพวกเรามาก็ดีใจยกใหญ่เลย!”

วินนี่ก็เห็นท่าทางแบบนั้นเช่นกัน เมื่อเฮลิคอปเตอร์ค่อยๆ ลงจอด หลังจากที่เธอเห็นท่าทางของเหมาเหว่ยหลง เธอก็พูดขึ้นมาด้วยความไม่สบายใจทันทีว่า “ที่รักคะ นี่คือท่าทางเวลาเขาดีใจเหรอ? เหมือนเขาจะบอกว่าไม่ให้เราจอดที่นี่มากกว่านะ บอกให้พวกเราไปจอดที่อื่น”

ฉินสือโอวพูดว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร โคโกโร่จะให้พวกเราไปจอดที่ไหนล่ะ? เขาก็แค่กำลังตื่นเต้นอยู่เท่านั้น”

แบล็คไนฟ์ที่นั่งอยู่เบาะคนขับมองภาพนั้นครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “บอส ผมคิดว่านายหญิงพูดถูกนะครับ เพื่อนของคุณบอกให้เราไปอีกด้าน น่าจะเป็นเพราะว่าเฮลิคอปเตอร์ของเรามีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ หากลงจอดตรงนี่จะให้ข้าวโพดล้มตายได้”

ฉินสือโอวมองไปยังต้นข้าวโพดที่ปลิวไปมาตามลมที่อยู่ด้านล่าง เขาส่ายหัวไปมา อดที่จะยอมรับไม่ได้ว่าสิ่งที่วินนี่พูดนั้นเป็นความจริง

เพราะเหตุนี้เฮลิคอปเตอร์จึงลอยขึ้นอย่างรวดเร็ว มันลงจอดที่ฟาร์มที่อยู่ถัดไป เหมาเหว่ยหลงขับรถมารับพวกเขา เมื่อเห็นพวกฉินสือโอว เขาก็พูดขึ้นด้วยอารมณ์คุกรุ่นว่า “ฉิน สมองแกมีแต่น้ำอยู่ข้างในรึไง? เฮลิคอปเตอร์ของแกลดระดับลงมาใกล้ฟาร์มของฉันขนาดนี้ คิดจะเป่าอาหารของฉันให้ลอยไปบนฟ้าหรือยังไง?”

ฉินสือโอวจ้องไปยังเขาและเตรียมที่จะเอ่ยปากเถียง แต่ตอนนั้นเองตั๋วตั่วที่ผูกหางม้าก็กระโดดลงมาจากรถเสียงดัง ‘ผลัก’ พลางอ้าแขนออกมาอย่างดีใจ “พ่อบุญธรรม แม่บุญธรรม ตั๋วตั่วคิดถึงทั้งสองคน”

หลังจากที่โลลิน้อยพูดจบ ความมั่นใจในตัวเองของเธอก็เพิ่มขึ้น ทำให้นับวันเธอยิ่งมีเสน่ห์และสวยมากขึ้น มีออร่ามากขึ้น เมื่อเธอยิ้มจนตาดวงกลมโตหยีเป็นเส้นตรง แบบนั้นก็ยิ่งน่ารักเข้าไปอีก

ฉินสือโอวมองไปยังใบหน้าของตั๋วตั่วที่ไม่เหมือนกับเหมาเหว่ยหลงเลยแม้แต่น้อย เขากอดตั๋วตั่วแล้วหอมแก้มเธอหนึ่งที จากนั้นเขาก็ไปอุ้มลูกสาวของตัวเองพลางพูดว่า “เถียนกวา เรียกว่าพี่นะลูก”

เถียนกวามองไปยังตั๋วตั่วอย่างงุนงง ปากเล็กขยับเรียก ‘พี่สาว’ ออกมา หลังจากนั้นเธอก็กระโดดออกจากอ้อมกอดและเข้าไปดึงหางม้าของตั๋วตั่ว

วินนี่รีบคว้าแขนของเถียนกวาทันที จากนั้นบอกเธออย่างจริงจังว่าไม่ควรรังแกพี่สาว เมื่อเถียนกวาพยักหน้าแล้ว วินนี่จึงปล่อยให้เธอไปหาตั๋วตั่ว

เหมาเหว่ยหลงพูดออกมาอย่างดูถูกว่า​ “อะไรที่เรียกว่าอย่าแกล้งพี่สาว? ลูกสาวของเธอตัวเล็กขนาดนี้ จะแกล้งตั๋วตั่วได้ยังไง?”

เมื่อถูกวินนี่สั่งสอน เถียนกวานรู้ทันทีว่าสิ่งที่ตัวเองทำเมื่อกี้ไม่ถูกต้อง ต้องขอโทษ เธอรีบวิ่งกลับไปยังเฮลิคอปเตอร์ เธอปีนขึ้นไปอย่างรีบร้อนเพื่อหาพี่น้องเฟอเรทที่กำลังหลับอยู่ และลากหางของพวกมันออกมา

พี่น้องเฟอเรทอยากจะขัดขืน แต่เถียนกวามองไปยังพวกมันด้วยสายตาดุดัน ทันใดนั้นพวกมันทั้งสองตัวก็ทำตัวดีทันที พวกมันแกล้งทำเป็นตายแล้วปล่อยให้เถียนกวาลากออกไป

เหมาเหว่ยหลงสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาของเขาเบิกโพลง “พระเยซูเจ้า ลูกสาวของนายยังไม่ถึงสามขวบไม่ใช่เหรอ? ฉันไม่เจอลูกนายไม่ถึงหกเดือนเองใช่ไหม? ทำไมถึงได้กล้าหาญแบบนี้ล่ะ?”

“ผู้หญิงพอโตขึ้นก็เปลี่ยนไป 18 แบบ!” ฉินสือโอวทำเพียงอธิบายแค่นี้

เมื่อทุกคนขึ้นรถ เหมาเหว่ยหลงก็พาพวกเขากลับไปยังฟาร์ม หลิวซูเหยียนเตรียมน้ำชาและเครื่องดื่มไว้ให้เรียบร้อย และปล่อยให้พวกเขาพักผ่อนตามอัธยาศัย ส่วนตัวเองนั้นไปสอนลูกชายที่กำลังหัดเดินอยู่ช้าๆ

ฉินสือโอวมองไปยังลูกชายตัวกลมของเหมาเหว่ยหลง จากนั้นเขาก็ยิ้มออกมา ฉินสือโอวเอื้อมมือออกไปหยิกแก้มอ้วนๆ ของเขาแล้วพูดออกมาว่า “โธ่ ที่ลูกชายของนายอ้วนขนาดนี้ เพราะว่านายตามใจใช่ไหม? ทำไมลูกบุญธรรมของฉันถึงได้ผอมแบบนี้ แล้วทำไมเด็กคนนี้ถึงอ้วนขนาดนี้? “

เด็กชายตัวอ้วนมองมายังฉินสือโอว ดูเหมือนว่าฉินสือโอวจะให้เด็กชายกลัว เขาหมุนตัวเข้าไปยังอ้อมกอดของหลิวซูเหยียน จากนั้นก็อ้าปากร้องไห้ออกมา

ฉินสือโอวยักไหล่ แล้วมองไปยังเหมาเหว่ยหลงด้วยท่าทีใสซื่อ “กลางวันนี้พวกเราทานอะไรกันดี?”

เหมาเหว่ยหลงตอบกลับอย่างว่างเปล่าว่า “ทำไมฉันถึงตามสถานการณ์พวกนี้ไม่ทันเลยนะ?”

หลิวซูเหยียนกอดลูกชายพลางพูดว่า “กลางวันนี้เกี๊ยวน้ำผักดีไหมคะ? เมื่อเช้าฉันพึ่งไปเก็บผักกระเป๋าเงินของคนเลี้ยงแกะมา ยังสดอยู่เลย รสชาติก็อร่อย พวกคุณอยากลองชิมไหมคะ?”

เหมาเหว่ยหลงโบกมือปัดอย่างรวดเร็ว “พูดอะไรน่ะ ฉินเป็นพี่น้องที่ดีของผม น้องรักของผมมาเยี่ยม จะให้พวกเขาทานเกี๊ยวผักน้ำได้อย่างไร? ผมจะไปทำพวกเนื้อวัวเนื้อแกะอะไรพวกนั้น กลางวันนี้พวกเราจะทานเนื้อย่างกัน!”

ว่ากันตามตรงแล้วฉินสือโอวไม่ได้สนใจเกี๊ยวผักน้ำเลยสักนิด เมื่อตอนที่พ่อกับแม่ของเขาออกไปตกปลา เขาต้องกินเกี๊ยวผักน้ำตลอดทั้งฤดูใบไม้ผลิ อีกนานคนแก่ทั้งสองคนก็จะกลับมาแล้ว คาดว่าพอถึงตอนนั้นพวกเขาก็ยังคงทานแต่เกี๊ยวผักน้ำ เรื่องนี้ทำให้ท่านชายฉินเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก

ต้นกำเนิดของผักกระเป๋าเงินของคนเลี้ยงแกะอยู่ที่ยุโรปตะวันออกและเอเชียไมเนอร์ ต่อมาเมล็ดพันธุ์ของมันก็กระจายไปทั่วโลกด้วยนักเดินทาง ตอนนี้สามารถเจอมันได้ทั้งที่เอเชีย ยุโรปและอเมริกา ส่วนใหญ่แล้วพวกวมันจะอยู่ตามเขตอบอุ่นของโลก พวกมันเป็นพืชที่ชอบความอบอุ่นและมีความทนแดด บนดินแดนอันกว้างใหญ่ของแคนาดานั้น แฮมิลตันเป็นที่ที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของพวกมันมากที่สุด พวกมันงอกตลอดทั้งปียกเว้นในฤดูหนาว ในช่วงฤดูอื่นๆ จะสามารถเห็นผักกระเป๋าเงินของคนเลี้ยงแกะได้ทุกที่

ในแฮมิลตันพืชชนิดนี้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดี เนื่องจากที่นี่มีชาวจีนอาศัยอยู่น้อย คนที่ทานผักชนิดนี้จึงน้อยเช่นกัน สำหรับคนทำฟาร์มแล้ว ผักกระเป๋าเงินของคนเลี้ยงแกะก็เหมือนกับวัชพืช พวกมันไม่ได้รับการต้อนรับ

ฉินสือโอวไม่ได้อยากที่จะกินเกี๊ยวผักน้ำอยู่แล้ว แต่เมื่อเห็นจากรูปร่างของหลานแล้ว เกี๊ยวน้ำนี้ท่าทางจะไม่เลวเลยทีเดียว แล้วอย่างนั้นทำไมไม่ให้พวกเขากินล่ะ? นอกจากนี้ยังพูดอีกว่า ‘ฉินเป็นน้องชายที่แสนดี’ คำพูดชนเลี่ยนแบบนี้ คำพูดที่ดูประจบเช่นนี้ยังใช่โคโกโร่อยู่หรือเปล่า?

“ไม่เป็นไร อย่างไรต้องให้เจ้าของบ้านเป็นหลัก พวกเรามาทานเกี๊ยวผักน้ำกันเถอะนะ” ฉินสือโอวพูด

เหมาเหว่ยหลงโบกมือ พลางพูดว่า “ไม่ๆๆ ไม่ทานเกี๊ยวน้ำ นี่ไม่ใช่วิธีต้อนรับแขก พวกเรามาทานบาร์บีคิวและดื่มเบียร์กันเถอะ”

“ทานบาร์บีคิว ทานเกี๊ยวน้ำ! และเรื่องการต้อนรับแขกอีก? โคโกโร่ พวกเราเป็นคนสนิทกัน ทำไมฉันถึงกลายเป็นแขกของแกไปได้ล่ะ แกมองว่าพวกเราเป็นคนนอกเหรอไง” ฉินสือโอวพูดออกมาอย่างไม่พอใจ

เมื่อได้ยินดังนั้นเหมาเหว่ยหลงก็ยิ้มออกมา “ก็จริง ฉันทำเหมือนแกเป็นคนนอกก็ไม่ถูก ไปๆๆ พวกเราไปออกภาคสนามกันเถอะ แกก็อย่ามองว่าฉันเป็นคนนอกนะ “

………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท