ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1763 รื่นเริงเงินทอง

บทที่ 1763 รื่นเริงเงินทอง

ในหนังฮอลลีวูดและละครอเมริกา คนอเมริกันนำเสนอแต่การแต่งงานอิสระ และความรักที่ประเมินค่าไม่ได้ ที่จริงในประเทศทุนนิยม คนในสังคมชั้นสูงจะให้ความสำคัญกับความเหมาะสมมาก อย่างเรื่องราวความรักระหว่างแจ็คกับโรสในไททานิกที่เหมาะจะอยู่ในหนังเท่านั้น อีกอย่างยังดีที่ในหนังแจ็คสละชีวิตเพื่อความรัก ไม่อย่างนั้นถ้าพวกเขากลับอเมริกามาอย่างปลอดภัย ชีวิตต่อไปคงอลเวงแน่

โครงสร้างสังคมของคนอเมริกันกับแคนาดาคล้ายยุโรปแต่ก็ไม่ได้เหมือนประเทศทุนนิยมรุ่นเก่าพวกนั้นไปทั้งหมด คนหนุ่มสาวสองประเทศนี้ชอบการบริโภคมาก แต่ล่ะชนชั้นมีแนวคิดการบริโภคและชีวิตต่างกัน และแนวคิดนี้ก็เป็นต้นตอของความขัดแย้งระหว่างชนชั้น

เด็กที่เกิดในครอบครัวร่ำรวยกับครอบครัวชนชั้นกลางไม่เหมือนกันเลย และต่อให้เป็นเด็กที่เกิดในครอบครัวชนชั้นกลางแนวคิดการใช้ชีวิตก็ต่างกับชนชั้นล่าง

ข้อนี้เหล่าคนหนุ่มสาวเองก็รู้ดี ฉะนั้นถ้าเกิดในต่างชนชั้นก็ยากที่จะไปกันรอดในการแต่งงาน

ดูอย่างเบิร์ดกับฮิลตันเป็นตัวอย่าง เบิร์ดเกิดในครอบครัวธรรมดา พอบรรลุนิติภาวะก็เข้ากองทัพเป็นทหาร หลังจากนั้นพอออกมาก็มีช่วงหนึ่งที่ชีวิตไม่ค่อยได้ดั่งใจ ต่อให้ตอนนี้เขาทำงานกับฉินสือโอว รายได้มากขึ้นแล้วก็ยังใช้ชีวิตประหยัด ไม่ได้ใส่ใจเรื่องการดื่มด่ำมีความสุขกับชีวิต

แต่ฮิลตันไม่เหมือนกัน เธอเกิดมาในครอบครัวร่ำรวย ตั้งแต่เด็กกินดีอยู่ดี เงินในสายตาเธอเป็นแค่เครื่องมือ เครื่องมือที่ทำให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้น และสิ่งที่เธอไล่ตามก็คือมีความสุขและดื่มด่ำไปกับชีวิต ตรงนี้ขัดกับแนวคิดการใช้ชีวิตของเบิร์ด

ดังนั้น ฉินสือโอวเลยไม่คิดว่าสองคนจะไปกันรอด เขาคิดว่าพอผ่านช่วงโปรโมชั่นไปสองคนก็คงเลิกกันโดยดี

มาวันนี้ดูท่าจะไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป ฮิลตันกลับมาบอกว่าพวกเขาจะแต่งงานกัน? มุมมองของฉินสือโอวก็เหมือนอย่างที่ฮิลตันเพิ่งพูดไป ฐานะและสถานะทางสังคมเป็นช่องว่างที่ขวางกั้นคนทั้งสองไว้

เพราะฉะนั้นพอเจอกับคำถามของเธอ เขาก็ได้แต่พยักหน้ารับ “ใช่ ถ้าเขาเป็นเศรษฐีหนุ่มหรือหนุ่มหล่อบ้านรวยงั้นคุณสองคนจะเหมาะสมกันมาก”

ฮิลตันพูดขึ้นว่า “ปัญหาระหว่างเราก็อยู่ตรงนี้แหละ ฉันรักเขา เขาก็รักฉัน เราต่างฝ่ายก็หวังว่าจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป แต่ที่ขวางกั้นพวกเราก็คือฐานะเงินทอง ฉันแนะให้เขาลาออกจากฟาร์มปลาแล้วฉันจะใช้ทรัพยากรตระกูลฉันช่วยให้เขาทำธุรกิจ เชื่อว่าด้วยความสามารถของเบิร์ดเขาต้องทำได้ดีแน่”

ไม่ต้องพูดต่อฉินสือโอวก็เข้าใจความหมายของเธอ “คุณหวังว่าเขาจะลาออกจากฟาร์มปลาไปสร้างเนื้อสร้างตัวเอง แต่เบิร์ดไม่ยอม ใช่ไหม?”

ฮิลตันพยักหน้า ใบหน้างามเผยแววเศร้าสร้อยอีกครั้ง “ใช่ ฉันอยากให้เขาลาออกจากฟาร์มปลา แต่เขายืนยันว่าไม่ยอม พวกเราทะเลาะกันครั้งแรกก็เพราะเรื่องนี้ ฉันถามเขาว่าจะเลือกฉันหรือฟาร์มปลา คุณรู้ไหมว่าเขาตอบว่าอะไร?”

“ต้องเป็นคำตอบที่ทำร้ายจิตใจแน่ๆ” ฉินสือโอวถอนหายใจ

เขารู้จักเบิร์ดดี สำหรับหนุ่มคนนี้แล้ว ธุรกิจของฟาร์มปลา ความสัมพันธ์กับพวกนีลเซ็น นี่เป็นสิ่งที่เขาตัดไม่ลง

จู่ๆ ฮิลตันก็ยื่นมือมาคว้าข้อมือเขาไว้แล้วพูดว่า “ฉิน คุณสนิทกับเบิร์ดขนาดนั้น คุณคงไม่อยากให้เขาเป็นชาวประมงไปทั้งชีวิตหรอกใช่ไหม? ฉันขอร้องคุณช่วยกล่อมกับเขาที ให้เขาลาออกจากฟาร์มปลา ไปหาอนาคตที่ดีกว่า ได้ไหม?”

พอเจอกับแววตาร้อนใจของหญิงสาวฉินสือโอวก็ยักไหล่ก่อนจะพูดขึ้นว่า “อย่าร้อนใจไป นิกิ เชื่อผมเถอะ ผมก็หวังว่าเบิร์ดจะมีอนาคตที่ดีกว่าเหมือนกับคุณ แต่ว่าทำไมคุณถึงคิดว่าเป็นชาวประมงทั้งชีวิตไม่ได้? ทำไมคุณถึงคิดว่าการอยู่ที่ฟาร์มปลาต่อไปเขาจะมีอนาคตที่ดีไม่ได้?”

ฮิลตันถามกลับโดยไม่รู้ตัว “อยู่เป็นชาวประมงที่ฟาร์มปลาต่อจะมีอนาคตที่ดีได้อย่างไร?”

ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดขึ้น “ก็ได้ ผมเข้าใจว่าคุณหมายถึงอะไร เชื่อผมเถอะ เบิร์ดอยู่กับผมต่อมีอนาคตแน่นอน แต่คุณก็พูดถูก เขาต้องทำตัวเองให้เก่งขึ้นถึงจะรับความรับผิดชอบที่มากกว่านี้ได้”

ฮิลตันมองเขาอย่างแปลกใจ ปากเธออ้าๆ หุบๆ เหมือนอยากจะถามอะไร หลังจากนั้นก็เลือกทางที่ฉลาดกว่าซึ่งก็คือไม่ถามต่อ เธอเดาได้อยู่แล้ว ที่ฉินสือโอวพูดแบบนี้ก็เท่ากับเป็นการรับรองให้เธอ

คนฉลาดคุยกันก็ค่อนข้างราบรื่น ฮิลตันยักไหล่ไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเผยยิ้มบางพลางโบกมือ หลังจากนั้นก็เดินไปทางเฮลิคอปเตอร์ สีหน้าท่าทางของเธอตอนนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งต่างกับเมื่อครู่ที่มีแต่ความหม่นหมอง เดินตัวปลิวราวผีเสื้อ

พอเห็นฮิลตันเดินใกล้เข้ามา วินนี่ก็พยักหน้าให้กับเบิร์ด เขากระโดดลงจากเครื่องแล้วจูงมือของฮิลตันเลี่ยงไปทางหนึ่ง

ฉินสือโอวกลับขึ้นเฮลิคอปเตอร์มาแล้วถามขึ้น “ฝั่งเบิร์ดเรียบร้อยไหม?”

วินนี่ยิ้มบางก่อนจะเปิดเรื่อง “คราวนี้ไปโทรอนโตให้แบล็คไนฟ์กับบีบีซวงตามไปดีกว่า ให้เบิร์ดกับนีลเซ็นอยู่นี่เถอะ งานแต่งของนีลเซ็นก็ใกล้เข้ามาแล้ว เขาคงจะยุ่งมาก พวกเราลืมเรื่องนี้ไปเลย ไม่สมควรจริงๆ”

ฉินสือโอวโทรเรียกแบล็คไนฟ์กับบีบีซวงมา บีบีซวงก็ขับเฮลิคอปเตอร์เป็น ฝีมือเยี่ยมพอตัวเหมือนกัน สองคนนั้นยังเคยเป็นยามมาก่อน คุณสมบัตินี้เหมาะสมกว่าเบิร์ดและนีลเซ็น

นีลเซ็นอธิบายว่าไม่จำเป็นต้องอยู่ก็ได้ งานแต่งเขาค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ต้องทำอะไรมาก ให้บริษัทจัดงานจัดการไปก็พอ

วินนี่ก็ยังให้เขาอยู่อยู่ดี ให้เขาอยู่เป็นเพื่อนแพรีสเยอะๆ เพราะคราวนี้ไปจากฟาร์มปลานานหน่อย พวกเขายังต้องไปเที่ยวที่ฟาร์มของเหมาเหว่ยหลงด้วย

ใบพัดของเฮลิคอปเตอร์เริ่มหมุนอย่างรวดเร็ว ภายใต้การควบคุมของบีบีซวง ดอลฟินลำเล็กก็เหินขึ้นฟ้า

เทียบกับเครื่องบินลำเล็กก่อนหน้านี้ ไม่แปลกเลยที่ดอลฟินขายได้ราคาสูงหลายสิบล้านดอลลาร์แคนาดา เครื่องขึ้นไวกว่านิ่งกว่า อีกอย่างเสียงรบกวนภายในก็ต่ำมาก ฉินสือโอวได้ยินแค่เสียงหึ่งๆ ต่ำๆ ไม่รบกวนการคุยกันระหว่างเขากับบีบีซวงที่ที่นั่งนักบินด้วยซ้ำ

วินนี่เปิดทีวีให้เถียนกวา ใช้เสียงดนตรีกลบเสียงใบพัด สาวน้อยนั่งอยู่บนเก้าอี้กว้างขวางนุ่มสบายพลางกระดิกขาไปตามเสียงดนตรี คงจะไม่ค่อยสัมผัสได้ถึงความสูงที่เปลี่ยนแปลง โรคกลัวความสูงไม่ได้กำเริบ กอดพี่น้องเฟอเรทเล่นคนเดียวอย่างมีความสุข

พอเครื่องขึ้นไปเรื่อยๆ เฮลิคอปเตอร์ดอลฟินลำเล็กก็บินไปโทรอนโตด้วยความเร็วสามร้อยกิโลเมตร นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินสือโอวนั่งเฮลิคอปเตอร์บินระยะทางไกลขนาดนี้ เครื่องบินเล็กเมื่อก่อนไม่มีทางบินไกลขนาดนี้ได้เลย ต่อให้ทำได้ถ้าไม่มีเรื่องฉุกเฉินเขาก็ไม่อยากนั่ง เหนื่อยเกินไป

เบลคบอกที่อยู่ของจุดลงจอดกับฉินสือโอว ตอนบ่ายเฮลิคอปเตอร์ก็เข้าสู่น่านฟ้าโทรอนโตและเริ่มลดระดับลง ฉินสือโอวมองลงไปยังตึกรามบ้านช่องและการจราจรที่คลาคล่ำในใจก็เกิดความรู้สึกอย่างผู้เหนือกว่าขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ชีวิตที่ไม่ต้องไปเบียดรถเมล์หรือรถไฟนี่ดีจริงๆ

เฮลิคอปเตอร์ลดลงจอดบนลานจอดอากาศยาน พอฉินสือโอวลงไป เบลคก็เข้าไปกอดเขาแล้วพูดกลั้วหัวเราะ “ยินดีต้อนรับๆ พ่อหนุ่มเศรษฐีพันหมื่นล้าน เตรียมร่วมงานกองเงินกองทองที่จะเริ่มเถอะ!”

……………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท