ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1773 คดีที่เกิดจากข้าวโพด

บทที่ 1773 คดีที่เกิดจากข้าวโพด

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า คนที่อยู่รอบๆ ก็พากันหัวเราะออกมา วินนี่ดึงเถียนกวากลับมา จากนั้นก็ส่งปลาไหลทอดให้เธอหนึ่งชิ้น

อย่าคิดว่าเถียนกวานั้นยังเด็ก เวลาที่เธอทานอะไรเข้าไปเธอสามารถแยกรสชาติได้ ปลาไหลอร่อยหรือไม่อร่อย ถ้าอร่อยก็จะบอกว่าอร่อย ไม่อร่อยก็จะไม่ยอมทานง่ายๆ ที่ตัวของมันมีก้างเล็กๆ อยู่มากมาย ดังนั้นเมื่อทอดจนสุกแล้วผู้ใหญ่สามารถทานเข้าไปได้เลย แต่สำหรับเด็กนั้นจะกินได้ยาก

ปากเล็กๆ ของ เถียนกวาผู้อวบอ้วนเป็นเด็กฉลาดมาก เธอกัดปลาไหลไปครึ่งตัว จากนั้นริมฝีปากเล็กๆ ของเธอก็ขยับขึ้นลงไปมา ไม่นานก้างเล็กๆ จำนวนมากก็ออกมาจากปากของเธอ เธอคายก้างพวกนั้นลงพื้น และมีเนื้อหลุดออกมาไม่มากนัก เหมาเหว่ยหลงและหลิวซูเหยียนมองภาพนั้นอย่างตกตะลึง

ตั๋วตั่วก็หยิบปลาไหลขึ้นมาทานด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย ปรากฏว่าเมื่อกลืนลงไปน้ำตาของเธอก็ซึมออกมา เธอจับแขนของเหมาเหว่ยหลงแล้วพูดพลางไอออกมาว่า “แค่กๆ ปะป๊าแค่กๆ ติดคอ อึดอัดจัง…”

เหมาเหว่ยหลงประคบประหงมดูแลลูกสาวคนโตเป็นที่สุด นั่นก็เพราะว่าเมื่อก่อนตั๋วตั่วไม่ยอมพูด ตอนนี้จะพูดออกมาแต่ละคำก็ไม่ง่ายเลย เขาไม่อยากจะกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีกแล้ว

เถียนกวายังคงเคี้ยวปลาไหลไปมาในปาก มืออ้วนๆ ทั้งสองข้างถือปลาไหลข้างละตัว จากนั้นวินนี่ก็ให้เนื้อแกะย่างแก่เธอ เธอโยนปลาไหลตัวหนึ่งทิ้งจากนั้นก็เปลี่ยนมาหยิบเนื้อแกะย่างแทน ปากด้านซ้ายกัดปลาไหลและด้านขวากัดเนื้อแกะกินอย่างมีความสุข

ตั๋วตั่วทำเพียงมองดูภาพนั้นด้วยความอิจฉา เหมาเหว่ยหลงใช้วิธีดินในการรักษาอาการก้างปลาติดคอ นั่นคือการให้เธอจิบน้ำส้มสายชู จากนั้นใบหน้าอันน่ารักของหลิวซูเหยียนก็บิดเบี้ยวไปด้วยความทุกข์ทรมาน

นี่มันเป็นการแกล้งเด็กและสุนัขชัดๆ การกินปลาไหล ปลาไหลนาและเนื้อแกะหอมๆ พร้อมกับจิบเบียร์เย็นๆ ไปด้วย ทำให้อาหารเย็นมื้อนี้จบลงอย่างมีความสุข

เช้าตรู่ของวันต่อมา ฉินสือโอวและคนอื่นๆ เข้ามาทำงานในฟาร์มกันแต่เช้า ฟาร์มของเหมาเหว่ยหลงมีเนื้อที่มากกว่าหนึ่งพันสองร้อยเอเคอร์ จากนั้นเขาก็ได้ซื้อฟาร์มเล็กๆ ด้านข้างเพิ่ม ทำให้เขาพื้นที่ทำฟาร์มทั้งหมดหนึ่งพันแปดร้อยเอเคอร์ พื้นที่มากกว่าหนึ่งพันเอเคอร์เป็นพื้นที่สำหรับปลูกข้าวโพด ก่อนหน้านี้เขาเคยทำฟาร์มไปแล้วสี่ร้อยเอเคอร์ เหลืออีกหกร้อยเอเคอร์ที่ยังวันนี้ต้องทำให้เสร็จ

ในขณะที่มองดูรถขนข้าวโพดเก็บเข้าคลังไปทีละคัน เหมาเหว่ยหลงก็พูดขึ้นมาอย่างตื้นตันว่า “แม่งเอ้ย มีคนมาช่วยงานนี่มันดีจริงๆ ฉันทำคนเดียวแทบตายอาทิตย์หนึ่งได้แค่สี่ร้อยเอเคอร์เอง พวกเราสี่คน ไม่ถึงสองวันทำงานมากกว่าฉันเกือบสองเท่าแน่ะ”

ข้าวโพดที่ปลูกในฟาร์มขนาดพันกว่าเอเคอร์ไม่สามารถนับจำนวนของมันได้ และเป็นไปไม่ได้ที่มันจะโตพร้อมๆ กัน มีบางต้นที่สุกก่อนและได้ทำการเก็บเกี่ยวไปก่อนแล้ว และบางต้นก็ยังเป็นเขียวอยู่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าวโพดแห้ง เนื่องจากข้าวโพดเขียวมีความชื้นที่ค่อนข้างสูง ไม่สามารถเก็บเข้าคลังได้ ไม่เช่นนั้นจะทำให้พวกมันเป็นเชื้อราได้ง่าย ข้าวโพดพวกนี้ถูกคัดเลือกมาได้ เหมาเหว่ยหลงบอกว่าจะทำให้เป็นอาหารสัตว์แล้วขายออกไป ฉินสือโอวมองดูข้าวโพดอวบเต็มเม็ดและมันวาว แล้วบอกว่าพวกมันสามารถเอาไปคั่วไปทานตอนกลางวันได้

เหมาเหว่ยหลงรู้สึกไม่ดีขึ้นมา เพราะว่าทุกคนทำงานจนเหงื่อท่วม จะให้มาทานข้าวโพดสองสามฝักในตอนกลางวันได้อย่างล่ะ? เอาแบบนี้ ที่ไร่ของเขามีมันฝรั่งอยู่ รสชาติไม่ได้แย่ เพิ่มมันฝรั่งอบเข้าไปอีกสักหน่อยแล้วกัน…

เหมือนกับตอนเด็กๆ ฉินสือโอวเก็บข้าวโพดแห้งและฟืนมาจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็จุดไฟที่กองฟืน แล้วเสียบข้าวโพดเข้ากับไม้เสียบเหล็กปิ้งบนไฟ ปรากฏว่าบางส่วนของข้าวโพดที่ยังเปียกอยู่ ดันติดไฟขึ้นมา ทำให้เกิดหมอกควันหนาทึบปกคลุมไปทั่ว เพราะว่าวันนี้ไม่มีลม ควันไฟที่อยู่ด้านหลังก่อตัวกันเป็นก้อน และพุ่งขึ้นท้องฟ้าไป

แบล็คไนฟ์เบิกตากว้างมองภาพตรงหน้า แล้วพูดออกมาว่า “บอส เมื่อวานตอนเย็นพวกเราใช้เตาย่างไม่ใช่เหรอครับ? ถ้างั้นใช้เตาย่างย่างข้าวโพดน่าจะดีกว่าไหมครับ?”

อันที่จริงแล้ว เปลวไฟจากกองไฟนี้ใหญ่มาก และข้าวโพดเขียวก็นิ่ม หากไม่ระวังอาจจะไหม้ได้

ฉินสือโอวพูดกลั้วหัวเราะว่า “ต้องทานแบบนี้สิถึงจะได้อารมณ์ อารมณ์แห่งวัยเยาว์ไงล่ะ”

เหมาเหว่ยหลงเตรียมน้ำมันถั่วลิสงมา เพื่อทาลงบนข้าวโพดในขณะที่กำลังย่าง การทำแบบนี้ต้องระวังไม่ทำให้มันไหม้ด้วยเช่นกัน เหมาเหว่ยหลงตั้งหม้อลงบนกองไฟ แล้วใส่ข้าวโพดลงไปต้มในหม้อ เขายังเชื่อมั่นในฝีมือของฉินสือโอว

ข้าวโพดสองฝัก ฝักหนึ่งฉินสือโอวส่งให้แบล็คไนฟ์ ส่วนอีกฝักเขาทานเอง

เพราะน้ำมันถั่วลิสง ข้าวโพดย่างจึงมีรสชาติหอมหวานเป็นพิเศษ แม้ว่าจะไม่ใช่ข้าวโพดเหนียว แต่เมื่อทานไปรสชาติก็ถือว่าไม่เลยเลยทีเดียว

ในขณะที่กำลังแทะข้าวโพดอยู่ ฉินสือโอวรู้ว่ามันอร่อยจึงคิดจะย่างเพิ่ม แบล็คไนฟ์ไม่ได้ถนัดเรื่องข้าวโพดย่าง เขาทานแค่บาร์บีคิวและเนื้อย่างเท่านั้น ถ้าหากว่าเขาจะกินธัญพืช เขาจะกินแบบต้มเท่านั้น หลังจากที่ฉินสือโอวย่างข้าวโพดแล้วก็ส่งให้เขา เขาจึงพูดขอบคุณเท่านั้น

“ทำไมล่ะ นายอิ่มแล้วเหรอ? “ ฉินสือโอวแทะข้าวโพดไปพลางถามอย่างครุมเครือออกไปด้วย

แบล็คไนฟ์หัวเราะออกมาแห้งๆ “ไม่ใช่ครับ แต่ว่าบอส ทานอาหารย่างเสี่ยงจะเป็นมะเร็งนะครับ”

ฉินสือโอวยิ้มเย็นออกมาว่า “บ้านแกสิ ทำไมเวลาที่นายกินบาร์บีคิวนายไม่เห็นจะกลัวเป็นมะเร็งเลยล่ะ?”

แบล็คไนฟ์พูดออกมาอย่างเป็นเหตุเป็นผลว่า “บาร์บีคิวหอมขนาดนั้น ใครจะปฏิเสธได้ล่ะครับ? ผมยอมเสี่ยงเป็นมะเร็งเพื่อที่จะกินบาร์บีคิว แต่ผมไม่ยอมเป็นมะเร็งเพราะกินข้าวโพดย่าง”

น้ำในหม้อเดือดพอดี ข้าวโพดก็สุกพอดีเช่นกัน เหมาเหว่ยหลงหยิบข้าวโพดมาให้แบล็คไนฟ์และบีบีซวง ทั้งสองคนทานอย่างเอร็ดอร่อย พวกเขาพยักหน้าและบอกว่าข้าวดพดนี้อร่อยไม่หยุด

ฉินสือโอวรอจนข้าวโพดสุก จากนั้นก็เขี่ยฟืนให้ความร้อนแผ่ไปทั่วเท่าๆ กัน ตอนนั้นเองเสียงรถตำรวจก็ดังเขามาในฟาร์ม เหมาเหว่ยหลงเงยหน้ามองตามเสียงนั้นด้วยความแปลกใจ แล้วพูดขึ้นมาว่า “อะไรกันน่ะ ตำรวจมาทำอะไรที่นี่?”

ฉินสือโอวที่กำลังเขี่ยกองไฟ และขุดมันฝรั่งออกมาจากพูด พูดกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ใช่มาช่วยทำงานหรอกนะ?”

เหมาเหว่ยหลงกระซิบพึมพำว่า “เรื่องนี้ฉันไม่กล้าขอให้ช่วยหรอก แม่เอ้ย พวกนี้เป็นตำรวจของแคนาดาไม่ใช่ตำรวจของพวกเรา พวกตาแก่พวกนี้”

เมื่อฉินสือโอวได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจขึ้นมา เขาพูดว่า “เพื่อน นายกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรน่ะ อย่างไรก็ตามเท่าที่ฉันรู้ ตำรวจที่นี่ ที่แคนาดาไม่ว่าจะเป็นพนักงานหรือผู้รับผิดชอบหน้าที่พวกเขาก็ดูแลดีในทุกๆ ด้านนะ นายบอกว่าตรวจคือตาแก่งั้นเหรอ? งั้นลูกน้องและเพื่อนร่วมงานที่อยู่ที่ประเทศจีนก็เป็นบรรพบุรุษแล้วน่ะสิ อดใจไม่ไหวที่จะเตรียมเคารพพวกเขาจะแย่แล้ว”

รถตำรวจจอดอยู่ที่หน้าตึก จากนั้นพวกเขาก็ค่อยๆ เปิดประตูลงมา ตำรวจสองนายที่ลงจากรถมาสองคนสุดท้ายมีท่าทีเคร่งขรึมว่า “เมื่อครู่พวกคุณจุดไฟใช่ไหม?”

เหมาเหว่ยหลงพยักหน้าตอบกลับว่า “ใช่ครับ แต่ว่าพวกเราไม่เผาอะไรนะครับ พวกเราเพียงแค่จุดไฟย่างทำกับข้าวเท่านั้น ของที่ย่างก็พวกข้าวโพดและมันฝรั่ง”

เมื่อพูดจบถึงตรงนี้ สีหน้าของนายตำรวจก็ดูผ่อนคลายขึ้นมา หนึ่งในสองคนที่มีอายุมากกว่าเดินดูรอบๆ กองไฟอย่างละเอียด แล้วพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “พวกคุณจะย่างอาหารทำไมไม่ใช่เตาย่างล่ะ? พวกเราได้รับแจ้งความว่า ที่ฟาร์มของคุณเกิดไฟไหม้ เมื่อครู่เพื่อนบ้านของพวกคุณเห็นควันไฟลอยขึ้นไปบนอากาศ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

หม้อพวกนี้มีเพียงฉินสือโอวที่ใช้ เขาเป็นคนเลือกที่จะย่างข้าวโพด และกองไฟนั้นเขาก็เป็นคนสร้าง เขาจึงถามออกไปว่า “เพื่อน มีอะไรเข้าใจผิดกันรึเปล่า? พวกเราเพียงแค่ย่างอาหารทานกันเองเท่านั้น ถ้าหากมันสร้างความตื่นตระหนกให้เพื่อนบ้าน พวกเราก็ต้องขอโทษด้วยแล้วกัน”

…………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท