ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1781 สาวน้อยเก็บเห็ด

บทที่ 1781 สาวน้อยเก็บเห็ด

วินนี่นั่งยองๆ อยู่บนพื้นหญ้าแล้วเช็ดคราบสกปรกให้เถียนกวาพลางถามว่า “แล้วหนูว่า กระต่ายน้อยชอบสนามหญ้าหรือว่าชอบอยู่ในกรง?”

เด็กน้อยชอบกลับโดยไม่ลังเลว่า “สนามหญ้า!”

เมื่อได้ยินคำตอบ วินนี่ก็ยิ้มให้พร้อมกับพยักหน้า เถีนหวาก็ยิ้มด้วยความดีใจ ใบหน้ากลมปรากฏรอยยิ้มพิมพ์ใจออกมา แสดงให้เห็นว่าเธอรู้สึกดีใจในความฉลาดของตัวเอง แต่ไม่นานเธอก็หายดีใจ เมื่อวินนี่พูดออกมาว่า “ในเมื่อกระต่ายน้อยชอบสนามหญ้า แล้วทำไมหนูยังขังพวกมันไว้ในกรงล่ะ?”

เถียนกวาหุบยิ้ม เธอจ้องมองผู้เป็นแม่ที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ หัวเล็กๆ จึงมองไปรอบๆ เมื่อมองไปรอบแล้วก็หันกลับมาพูดกับวินนี่อย่างระมัดระวังว่า “กระต่าย ชอบกรง”

“ทำไมล่ะ?”

คำถามนี้ทำให้เด็กหญิงหยุดพักชั่วคราว เธอต้องการความช่วยเหลือจึงมองไปยังพี่ตั๋วตั่ว ตั๋วตั่วก็ไม่สามารถตอบคำถามได้เหมือนกัน เธอจึงมองไปยังฉินสือโอว แต่ภายใต้อำนาจของวินนี่แล้ว ฉินสือโอวก็หมดหนทางเช่นเดียวกัน ดังนั้นเถียนกวาจึงต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น คิ้วเล็กๆ ขวมดเข้าหากันอย่างหนัก หลังจากที่ครุ่นคิดอย่างหนัก เธอก็ตอบกลับว่า “เพราะว่ากวากวาชอบกระต่าย”

ฉินสือโอวหลุดขำออกมา นี่ถือว่าเป็นคำตอบงั้นเหรอ? ลูกสาวของเราไม่มีสติไปแล้วเหรอ?

วินนี่จ้องมองไปยังฉินสือโอว พร้อมเอ่ยเตือนเขาว่า “ข้อตกลงการเลี้ยงบุตร!”

ข้อตกลงในการเลี้ยงบุตรคือข้อตกลงของคนสองคนในการเลี้ยงดูบุตร หนึ่งในนั้นคือไม่ว่าลูกสาวของพวกเขาจะพูดอะไรก็ห้ามหัวเราะกับคำพูดของเธอ ต้องให้ความเคารพให้คำตอบของเธอ

ฉินสือโอวหุบยิ้มทันที วินนี่ยังคงสอนเถียนกวาต่อไป หลังจากนั้นเถียนกวาก็วิ่งกลับไปยังห้องแล้วหยิบกระต่ายน้อยออกมา เธอเปิดกรงพวกมันอย่างไม่เต็มใจ กระต่ายเหล่านั้นจึงวิ่งหนีออกมาทันที

ดวงตาของเด็กหญิงเต็มไปด้วยน้ำตา แต่ว่าเธอก็ยังคงหันไปพูดกับวินนี่ว่า “พวกมันไปหามะม๊า”

วินนี่เข้าไปกอดเถียนกวา และเช็ดน้ำตาให้พลางหอมแก้มเธอเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยชมเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “กวากวาเป็นเด็กดี มะมี๊และปะปี๊รักกวากวานะ”

“ต้องรักกวากวาที่สุด” เด็กหญิงกล่าวเสียงสะอื้น เธอเป็นคนขี้หวงเป็นอย่างมาก

ฉินสือโอวรู้ว่าเขาต้องเบี่ยงเบนความสนใจของลูก ไม่อย่างนั้นเธอคงจะเศร้าไปอีกนาน แต่ว่าเมื่อมองไปรอบๆ กลับไม่เห็นของที่น่าเล่นเลยสักอย่างเดียว เขาจึงอุ้มลูกสาวขึ้นเพื่อไปเล่นเกมขี่ม้า

เถียนกวายังคงเศร้าอยู่ เธอนั่งอยู่บนไหล่ของฉินสือโอวและมองไปยังทิศทางที่กระต่ายน้อยหายตัวไป ปากเล็กๆ กำลังพูดพึมพำไม่เป็นภาษา คาดว่าเธอกำลังเอ่ยชื่อที่เธอพึ่งจะตั้งให้เหล่ากระต่าย

ที่ฟาร์มมีของที่ไม่ได้ใช้งานมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไม้ ระหว่างฟาร์มของเหมาเหว่ยหลงและฟาร์มร้างมีรั่วไม้กั้นอยู่ มีต้นไม้บางต้นกองรวมกันอยู่ด้านข้าง ฉินสือโอวเดินเล่นกับเถียนกวาและตั๋วตั่วไปแถวนั้น พลางก้มศีรษะหลบเป็นครั้งคราว เมื่อเห็นว่ามีเม็ดฝนโปรยลงมา และที่ไม้พวกนั้นก็มีเห็ดจำนวนหนึ่งงอกขึ้นมา

เห็ดเหล่านี้เป็นสีเทาซีด หัวเห็ดมีขนาดกว้างตามมาตรฐาน และโคนของมันเป็นสีขาว พวกมันอยู่กระจัดกระจายตามไม้ที่เน่าเปื่อย พวกมันจะไม่โตจนมีขนาดใหญ่เกินไป บนหัวเห็ดมีหยดน้ำเกาะประปราย ทำให้ดูน่ารักเป็นประกาย

ตั๋วตั่วก็เห็นเห็ดพวกนี้ด้วยเช่นกัน เสียงเล็กๆ ถามออกมาว่า “คุณพ่อ จับได้ไหมคะ?”

ฉินสือโอวจำลักษณะของเห็ดชนิดนี้ได้ ที่บ้านเกิดของเขาเรียกเห็ดพวกนี้ว่าเห็ดฟาง พวกมันเป็นพืชระดับต่ำ ที่อยู่ในหมวดของเชื้อรา พวกมันไม่มีเมล็ด และสร้างสปอร์สำหรับสืบพันธุ์เท่านั้น เมื่อสปอร์แพร่กระจายไปที่ไหน เห็ดพวกนี้ก็จะไปเกิดใหม่ที่นั่น

เห็ดฟางไม่สามารถสร้างอาหารด้วยตัวเองได้ มันทำได้เพียงใช้รากขยายลงไปในดินและไม้ที่เน่าเปื่อยเพื่อดูดซับสารอาหารเพื่อการดำรงชีวิต ดังนั้นเห็ดจึงมักเจริญเติบโตในพื้นที่ชื้นและเต็มไปด้วยอินทรีย์ ซึ่งที่บ้านเกิดของเขามีกองหญ้าชื้นอยู่หลายกอง

เมื่อเห็นเห็ดฟาง ฉินสือโอวก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมานิดหน่อย เขาไม่คิดเลยว่าที่ฟาร์มของเหมาเหว่ยหลงจะมีสปอร์ของเห็ดฟาง

เห็ดฟางอาศัยสปอร์ในการเจริญพันธุ์ เมื่อพวกมันตกลงไปในดินพวกมันจะสร้างรากเพื่อดูดซับสารอาหารและน้ำ หลังจากนั้นพวกมันก็จะสร้างก้านขึ้นมา และกลายเป็นเห็ดขนาดเล็ก เมื่อเริ่มแรกขนาดของเห็ดจะเล็กมาก ขนาดของมันเท่ากับนิ้วก้อย เป็นเรื่องยากที่ผู้คนจะสังเกตเห็นพวกมัน หลังจากที่พวกมันดูดซับน้ำจนเพียงพอแล้ว พวกมันก็จะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะเหตุนี้ หลังจากที่ฝนตก หากที่ไหนมีสปอร์เห็ดฟางอยู่ เห็ดฟางก็จะเจริญเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ฉินสือโอววางเถียนกวาลง เขาโทรเรียกเหมาเหว่ยหลง เพื่อให้เขานำตะกร้ามาสักสองใบ จากนั้นเขาก็แบ่งตะกร้าให้กับตั๋วตั่วและเถียนกวา แล้วพาเด็กหญิงทั้งสองไปเก็บเห็ด

เหมาเหว่ยหลงไม่ได้ศึกษาเรื่องเห็ดมา ดังนั้นหลังจากที่เห็นพวกมัน เขาจึงถามออกมาด้วยความสงสัยว่า “ฉันว่านะฉิน ของพวกนี้มันกินได้เหรอ? เห็ดพวกนี้ หากทานไม่ได้มันก็จะฆ่าเราแทนนะ หรือว่าเราปล่อยพวกมันไปดีล่ะ”

ฉินสือโอวมั่นใจในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เขาตอบว่า “แกสบายใจได้ นี่คือเห็ดฟาง ทานได้ไม่เป็นปัญหา กลับไปเตรียมน้ำมันถั่วลิสงไว้เลย พวกมันต้องใช้น้ำมันเยอะ ไม่จำเป็นต้องปรุงเครื่องปรุงเลย พวกมันมีรสชาติอร่อยมาก”

เรื่องที่สำคัญไม่ใช่เรื่องที่ทานได้หรือไม่ แต่คือการพาเด็กทั้งสองไปเก็บเห็ด เหมือนเป็นการไล่เหมาเหว่ยหลงที่ขี้สงสัยให้กลับไป ฉินสือโอวจึงเริ่มพาเด็กหญิงทั้งสองไปเก็บเห็ด เขาสอนให้เด็กหญิงทั้งสองรู้จักกับเพลง ‘สาวน้อยเก็บเห็ด’ ตั๋วตั่วหัวไวเป็นอย่างมาก เถียนกวาจำได้แค่ไม่กี่คำ “สาว สาว สาวน้อย เก็บ เก็บ เก็บเห็ด…”

เหมาเหว่ยหลงหยิบเห็ดไปสองดอก หลังจากนั้นเขาก็ไปหาข้อมูลเปรียบเทียบในอินเทอร์เน็ต ในอินเทอร์เน็ตบอกว่าเห็ดฟางนี้ราคาค่อนข้างสูง จากนั้นเขาก็หยิบตะกร้าใบใหญ่วิ่งกลับไป เขาหัวเราะหึหึแล้วพูดออกมาว่า ​”พวกเรามาเก็บเห็ดกันเถอะ”

ตั๋วตั่วร้องเพลงไปด้วยอย่างมีความสุขในขณะที่เก็บเห็ดใส่ตะกร้า เถียนกวานั้นยังไม่สามารถควบคุมแรงได้ เมื่อจับเข้าที่เห็ดที่พึ่งอิ่มจากการดูดน้ำอย่างแรง พวกมันจึงแตกละเอียด เธอเก็บเห็ดมาสองดอก สุดท้ายพวกมันก็ฉีกหมด เธอจึงวางตะกร้าลง และก้มลงจนก้นโด่งในขณะที่กำลังจดจ่ออยู่กับการเก็บเห็ด

เห็ดที่ฉินสือโอวเก็บมาถูกวางไว้ในตะกร้าใบเล็กของเถียนกวา หลังจากยินขึ้นเถีบนกวาก็มองไปยังตะกร้าของตัวเองและมองไปยังตะกร้าของตั๋วตั่ว รอยยิ้มกว้างปรากฏอยู่บนใบหน้าอันเปรอะเปื้อนของเธอ เธอวิ่งเข้ามาแล้ววางตะกร้าของตัวเองไว้หน้าตั๋วตั่วเพื่อที่จะอวดผลงาน “พี่สาว ดูสิ พี่สาว ดูสิ”

ตั๋วตั่วมองดูด้วยสายตานิ่งสงบ จากนั้นก็หยิบเห็ดฟางในตะกร้าของเถียนกวามาใส่ยังตะกร้าของตัวเอง เด็กสาวตัวน้อยไม่ยอม เธอยกหมัดเตรียมที่จะต่อสู้ โชคดีที่ฉินสือโอวอยู่ข้างๆ เขารีบคอเสื้อให้เถียนกวามาอยู่ข้างๆ และช่วยเธอเก็บเห็ดอีกกองใหญ่

เถียนกวายังเด็ก สนใจแต่เรื่องกินไม่สนใจเรื่องทะเลาะกับคนอื่น เหมือนกับนกยูงตัวน้อย ที่วิ่งไปมาเพื่ออวดตัวเองไปทั่ว ตั๋วตั่วยิ้มหวานออกมา ต่อมาเธอก็เปลี่ยนวิธีการ เธอเดินตามเถียนกวามา แบบนี้พอจังหวะที่เถียนกวาไม่สนใจเธอ เธอก็จะหยิบเห็ดในตะกร้าของเถียนกวามาใส่ในตะกร้าของตัวเอง

หลังจากที่เถียนกวาเก็บเห็ดอยู่สักพัก เธอก็รู้สึกว่าเห็ดในตะกร้าของเธอนั้นเยอะเแล้ว และอยากจะอวดผลงานของตัวเอง ปรากฏว่าเมื่อเห็นว่าตะกร้าของพี่สาวนั้นมีเห็ดมากกว่าของตัวเอง เธอก็หดหู่ขึ้นมา และทำได้เพียงก้มหน้าโก่งตูดขยันเก็บเห็ดต่อไป

ฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลงนั้นเก็บเห็ดอย่างรวดเร็ว ไม่นานพวกเขาก็พาเด็กทั้งสองเข้าไปในป่า เพราะว่าที่ป่าแห่งนี้ก็มีเห็ดอยู่ด้วย

………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท