ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1782 กลับบ้าน

บทที่ 1782 กลับบ้าน

ฝนตกไม่หนัก แต่ว่ากินเวลาค่อนข้างนาน ที่ดินในฟาร์มเริ่มอ่อนนุ่ม ต้นไม่เริ่มเกิดการผลัดใบ ร่วงลงเป็นพื้นดินอีกชั้น แบบนี้ทำให้คนที่เดินไปมารู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนชายหาด แต่ว่าไม่สะอาดเท่า

ที่แคนาดามีงูอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อเด็กทั้งสองเดินถือตะกร้าเข้าไปข้างใน ฉินสือโอวก็มองรอบๆ เพื่อระวังอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้

นอกจากไม้ที่ผุพังแล้ว สถานที่ที่มีต้นไม้ใบหญ้าสุมกองรวมกันก็เหมาะที่จะเป็นที่เจริญเติบโตของเห็ดฟาง เมื่อไม่ต้องเจอเข้ากับแสงแดด หัวของเห็ดฟางพวกนี้จะขาวราวหิมะพวกมันเติบโตขึ้นจากพื้นที่ละต้นๆ ตั๋วตั่วและเถียนกวาร้องออกมาอย่างดีใจแล้ว แล้วกระโดดนั่งยองๆ เพื่อเริ่มเก็บเห็ดฟาง

ในระหว่างนั้นพวกเขาไม่เจองูพิษเลย เจอเพียงกระต่ายสองตัวเท่านั้น กระต่ายที่ฟาร์มปกติแล้วจะเป็นกระต่ายสีเทา พวกมันกระโดดไปมาในป่า หลังจากนั้นอีกตัวหนึ่งก็กระโดดขึ้นขี่อีกแล้ว จากนั้นพวกมันก็เริ่มกิจกรรมกันราวกับไม่รู้ว่ามีคนอยู่แถวนี้

เถียนกวาและตั๋วตั่วมองไปยังกระต่ายที่มีขนาดยาวสิบกว่าเมตร กระต่ายทั้งสองก็ไม่ได้กลัวพวกเธอ แต่ว่าฉินสือโอวคาดว่าพวกมันกำลังบรรเลงบทเพลงแห่งรักกันอยู่จึงไม่ได้สนใจบรรยากาศรอบๆ อย่าว่าแต่คนสามคนอยู่ที่นี่เลย มีเสื้อสามตัวพวกมันก็ไม่กลัว

“กระต่าย” เถียนกวาชี้ไปยังกระต่ายทั้งสองตัวและร้องออกมาอย่างดีใจ

ฉินสือโอวหยิบก้อนหินขึ้นมาจากพื้น เขาโยนมันไปข้างหน้าเบาๆ พระเจ้า กิจกรรมของพวกมันทั้งสองตัวจะให้เด็กหญิงทั้งสองคนนี้เห็นไม่ได้ มีมันค่อนข้างประเจิดประเจ้อเกินไป

ก้อนหินก้อนนั้นเกือบจะโดนตัวของกระต่ายทั้งสอง ตอนนั้นเองพวกมันจึงรู้สึกกลัวขึ้นมา พวกมันกระโดดออกจากกัน คุณชายฉินยืนอมอยู่ที่ด้านหลัง เจ้ากระต่ายพวกนี้คงไม่ได้ถูกเขาทำให้ตกใจกลัวขนาดนี้หรอกมั้ง?

เขาหยิบตะกร้าทั้งสองอันที่เต็มไปด้วยเห็ดฟางขึ้นมา ฉินสือโอวบอกเด็กทั้งสองว่าพอแล้ว จากนั้นก็พาเด็กๆ ออกมา ตั๋วตั่วมองไปรอบๆ แล้วพูดว่า “คุณพ่อ ยังมีเห็ดอยู่อีกเยอะเลย พวกเราไปเก็บต่อดีไหมคะ?”

ฉินสือโอวลูบหัวเล็กๆ ของตั๋วตั่วพลางพูดว่า​ “ไม่แล้วล่ะ ต้องเหลือพวกมันไว้บ้าง ถ้าหากว่าพวกเราเก็บไปจนหมด ต่อไปก็จะไม่มีอะไรให้เก็บนะ”

ตั๋วตั่วพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ เธอพูดว่า “อ้อ งั้นพวกเรากลับกันเถอะค่ะ ทิ้งพวกมันไว้ วันหลังตั๋วตั่วจะพาน้องชายมาเก็บเห็ด”

เถียนกวาไม่ยอม เธอจับมือเล็กๆ ของตั๋งตั่วเพื่อบอกว่าไม่ใช่เธอไป ตั๋วตั่วหัวเราะออกมาพลางพูดว่า “พวกเรากลับกันเถอะ เดี๋ยวพี่จะพาเธอไปดูลูกแกะดีไหม? ไปดูแกะและลูกหมาที่บ้านของลุงที่อยู่ใกล้ๆ พวกมันน่ารักมากเลยนะ เธอยังไม่เคยเจอแน่นอน”

เมื่อได้ยินว่ามีของเล่นใหม่ เถียนกวาก็รีบวางเห็ดฟางลงทันที จากนั้นก็วิ่งกระโดดโลดเต้นออกจากป่าไป

หลังจากที่ฉินสือโอวนำเห็ดฟางมา เหมาเหว่ยหลงก็ถามว่าต้องทำอย่างไร ฉินสือโอวสาธิตให้ดู โดยการล้างเห็ดให้สะอาดและผ่าครึ่ง จากนั้นก็รอให้น้ำมันเดือด แล้วผัดด้วยต้นหอม ขิง และกระเทียมก่อนจนหอม แล้วจึงใส่เห็ดฟางลงไป

“ง่ายขนาดนี้ อร่อยแน่เหรอ?” เหมาเหว่ยหลงถามออกมาด้วยความสงสัย

ฉินสือโอวตอบกลับว่า “ทานแล้วไม่ตายก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ? แกอ้วนขนาดนี้ยังอยากจะทานของอร่อยๆ เยอะกว่านี้อีกเหรอ”

เหมาเหว่ยหลงหัวเราะหึหึขึ้นมา เมื่อครู่เขากลับมาดูแล้ว หลังจากเทียบกับรูปของเห็ดในอินเทอร์เน็ตเขาก็สามารถยืนยันชนิดของเห็ดนี้ได้ และเข้าใจคุณค่าทางโภชนาการของเห็ดฟาง ตามตำราของทางตะวันตกเห็ดฟางมีกรดอะมิโนค่อนข้างมาก และสำหรับตำราตะวันออกพวกมันสามารถบำรุงม้ามและฉี บำรุงธาตุหยินหยาง ปกป้องตับและกระเพาะอาหาร เพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกายมนุษย์ เป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารและเป็นตัวยาด้วย

เห็ดฟางนั้นแตกต่างจากเห็ดธรรมดา เมื่อพวกมันโดนความร้อนพวกมันจะนิ่ม เพราะว่าพวกมันมีรสชาติอร่อยที่โดดเด่น จึงไม่จำเป็นต้องปรุงอะไรเพิ่ม แค่โรยเหลือลงไปก็ใช้ได้แล้ว

เหมาเหว่ยหลงปัดเห็ดฟางไปมา เห็ดฟางเริ่มเปลี่ยนมามันมากขึ้น ยิ่งน้ำมันในกระทะมีมากขึ้นเท่าไร เห็ดฟางก็มีขนาดหดเล็กลงเท่านั้น จากลักษณะของมันดูแล้วยับยู่ยี่เป็นอย่างมาก แค่เมื่อเหมาเหว่ยหลงชิมไปหนึ่งคำ ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย เขายกนิ้วให้แล้วพูดออกมาด้วยความดีใจว่า “อร่อย รสชาติใช้ได้เลย!”

ฉินสือโอวลองชิมด้วยหนึ่งคำ รสชาติของมันแตกต่างไปจากตอนเด็กๆ แต่ว่ากลิ่นหอมของมันยังคงเข้มข้น เมื่อโรยเกลือลงไปกินก็รับประทานได้อย่างเอร็ดอร่อย

เห็ดฟางทอดนั้นเข้าได้ดีกับบะหมี่ เหมาเหว่ยหลงมีมักกะโรนีอยู่ในตู้เย็น อาหารเย็นวันนี้เขาจะทำมักกะโรนีชามใหญ่ ทานกับเห็ดฟางทอด แต่ละคนทานอาหารกันอย่างมีความสุข แม้แต่แบล็คไนฟ์และบีบีซวงทั้งสองคนที่ไม่ชอบทานอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ยังเอ่ยปากชมว่าอร่อย

เวลาผ่านไปอีกสองวัน เข้าสู่กลางเดือนกันยายน ฉินสือโอวและวินนี่ก็พาเถียนกวากลับบ้าน เถียนกวาและตั๋วตั่วเล่นกันอย่างสนุกสนาน เธอไม่ยอมกลับบ้าน ตอนแรกเธอไม่รู้ว่าจะถูกพากลับบ้าน จึงขึ้นไปนั่งรอบนเฮลิคอปเตอร์ แต่เมื่อเห็นว่าตั๋วตั่วไม่ขึ้นมา เธอก็เริ่มร้อนรน เธอเดินมานั่งยองๆ ที่ริมประตูและโบกมือให้ตั๋วตั่วพลางพูดว่า “พี่ ไปกัน พี่ ไปกัน!”

ตั๋วตั่วยิ้มและโบกมือให้เธอ และตะโกนตอบกลับว่า “เถียนกวาไปก่อนเลย เดี๋ยวพี่จะไปหาเถียนกวาทีหลัง”

แม้ว่าจะยิ้มอยู่ แต่สีหน้าของตั๋วตั่วก็ดูไม่ดีเลย อย่างไรก็ตามเวลาอยู่ที่ฟาร์มเธอค่อนข้างเหงา ไม่ง่ายเลยที่จะหาคนมาเล่นด้วย เธอไม่ชอบการจากลาแบบนี้เลย แต่ว่าเธอนั้นเป็นเด็กดี ในขณะที่เสียใจอยู่นั้นเธอก็ยิ้มออกมาได้ รอยยิ้มนั้นทำให้ฉินสือโอวไม่สามารถฝืนยิ้มออกมาได้

เด็กน้อยไม่ยอม เถียนกวาตะโกนร้องเรียกบอกว่าจะอยู่กับตั๋วตั่ว ลูกชายคนเล็กของเหมาเหว่ยหลงจ้องทองภาพนั้นด้วยความสงสัย คาดว่าเขายังไม่เข้าใจว่าพี่สาวของตัวเองนั้นมีอะไรดี ทำไมพี่สาวคนเล็กที่เอาแต่ใจคนนี้ถึงได้ชอบเล่นกับเธอ

คำปลอบโยนของวินนี่นั้นไม่ได้ผล วิธีสุดท้ายก็คือ ให้เถียนกวาเข้าสู่อ้อมกอดของตั๋วตั่ว แล้วพวกเขาจะกลับไปบ้านกันเอง แบบนี้เด็กน้อยก็ยิ่งร้อนรนเข้าไปใหญ่ เธอร้องไห้อยากจะอยู่กับวินนี่ ท้ายที่สุดแล้วมือข้างหนึ่งก็จับวินนี่ อีกข้างหนึ่งก็จับตั๋วตั่ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือ

ไม่มีทางอื่น ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงพูดคุยกับตั๋วตั่ว บอกว่าให้ไปอยู่ที่ฟาร์มปลาสักพัก ตั๋วตั่วโตแล้ว ไม่ต้องคอยมีผู้ปกครองดูแลมากขนาดนั้นก็ได้ เมื่อเห็นว่าหลิวซูเหยียนและเหมาเหว่ยหลงเห็นด้วย เธอจึงเข้าไปเก็บตุ๊กตาบาร์บี้ และลากกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่เหมาเหว่ยหลงซื้อให้ออกมา และขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปกับเถียนกวา

เถียนกวาและตั๋วตั่วนั่งอยู่ด้วยกันที่เบาะหลัง ดวงตากลมโตของเถียนกวยังมีน้ำตาเอ่อล้นอยู่ หลังจากที่ฉินสือโอวมองไปด้านหลังเขาก็พูดกับวินนี่ว่า ​“คุณดูสิ ที่รัก เด็กสองคนนี้เหมือนกับหู่จือและเป้าจือตอนที่เจอเราครั้งแรกเลยเนอะ?”

วินนี่หยิบกล้องถ่ายรูปออกมา เธอถ่ายรูปพร้อมยิ้มออกมา “เหมือนจริงๆ ด้วยค่ะ”

หลังจากที่เฮลิคอปเตอร์บินข้ามเมืองเล็กๆ และลงระดับลงแล้ว ฉินสือโอวก็มองออกไปข้างนอก เมื่อเห็นว่าบ้านเมืองอยู่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบ ถนนมีการตบแต่งด้วยต้นไม้อย่างแน่นหนา มีรถยนต์และรถม้าเคลื่อนที่ไปมาบนท้องถนน เขาก็รู้สึกสงบขึ้นมา

เมื่อใกล้ถึงฟาร์มปลา เขาก็เห็นกระเป๋าเป้ลอยไปมาแต่ไกล มันทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก นับว่าพวกของเชอร์ลี่ย์ก็ยิ่งกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ ใบพัดของเฮลิคอปเตอร์สร้างแรงลมได้มหาศาล ถ้าหากว่ากระเป๋าเป้อยู่ใกล้กว่านี้ มันคงปลิวจนทำให้เฮลิคอปเตอร์เสียสมดุลไปอย่างแน่นอน!

อีกฝ่ายรู้ดีว่า เฮลิคอปเตอร์นี้จะบินไปข้างหลังอีกหน่อยจากนั้นก็จะลงจอด ฉินสือโอวลงมาจากเฮลิคอปเตอร์เพื่อดูว่าใครกันที่กล้าทำขนาดนี้ อันที่จริงแล้วเขาเดามาต้องเป็นกอร์ดอน นอกจากกอร์ดอนแล้วจะเป็นใครได้อีก?

ฉินสือโอวมองไปยังกอร์ดอนด้วยสายตาดุร้าย ปรากฏว่ามิเชลที่วิ่งออกมาหา แล้วโบกมือให้เขาอย่างดีใจพลางพูดว่า “ฉิน พี่วินนี่ ผมกลับมาแล้ว”

……………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท