ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1776 กลัวว่าจะสายไปสำหรับการศึกษา

บทที่ 1776 กลัวว่าจะสายไปสำหรับการศึกษา

ก้านข้าวโพดถูกรถเก็บเกี่ยวทำให้ล้มลง ก้านตรงของพวกมันล้มลงอยู่ที่พื้น ทั่วทั้งไร่เต็มไปด้วยสีทอง ตอนนั้นมีคนยืนอยู่กลางไร่ ดวงตาของเขามองไปยังผืนไร่สี่เหลี่ยมรอบๆ จากนั้นก็ทอดสายตาไปยังท้องฟ้าสีครามของแฮมิลตัน อดไม่ได้ที่รู้สึกถึงความโอ่อ่า

ฉินสือโอวรู้สึกว่า สิ่งที่จำกัดความคิดของคนหนุ่มสาวในประเทศไม่ใช่ ‘กำแพงเครือข่าย’ แต่ว่าเป็นท้องฟ้าอันมืดมิดต่างหาก การอยู่ใต้ท้องฟ้าสีครามอันไร้จุดสิ้นสุดนี้ ทำให้ผู้คนเกิดความทะเยอทะยานมากขึ้น

เขาพูดถึงความคิดนี้กับเหมาเหว่ยหลง เหมาเหว่ยหลงหัวเราะออกมาเสียงดัง “ทำไมแกถึงมาเจ้าบทเจ้ากลอนกับฉันล่ะ ที่แอฟริกาก็มีบรรยากาศแห่งความทะเยอทะยาน แล้วที่แอฟริกามีวัยรุ่นที่ยิ่งใหญ่หรือเปล่า? แอฟริกาใต้ก็ถือว่ายังดี แต่ปรากฏว่าทำให้แมนเดลาและชาวผิวสีเล่นกันจนเกือบตาย!”

ความคิดนี้ก็ถือว่าไม่ผิด ฉินสือโอวทำได้เพียงเปลี่ยนความสนใจ เขาโบกมือไปมาและพูดออกมาว่า “ไป ไปล่ากระต่ายกัน!”

เถียนกวาโบกมืออ้วนไปมาพลางตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “กระต่าย กระต่าย! กระต่ายๆๆๆ!”

เหมาเหว่ยหลงขับรถลากมาคันหนึ่ง รถคันนี้ส่งเสียงดังมาก เขาขับมันไปรอบๆ ฟาร์ม ถ้าหากว่ามีกระต่ายหรือนกป่าพวกมันก็จะวิ่งออกมาด้วยความตกใจกลัว แบบนี้ฉินสือโอวก็จะได้พาสุนัขพิตบูลไปจับกระต่ายมาได้

กระต่ายยังไม่วิ่งออกมา แต่มีนกสีดำตัวใหญ่คู่หนึ่งกำลังสยายปีกบินไปมาอยู่กลางท้องฟ้า พวกมันบินไปมาอย่างรวดเร็วเพราะความหวาดกลัว ฉินสือโอวแทบจะมองไม่เห็นร่างของพวกมัน และไม่นานพวกมันก็หายเข้าไปในท้องฟ้า

วินนี่ที่เดินตามหลังมาช้าๆ พูดขึ้นว่า “น่าจะเป็นห่านดำคู่หนึ่งนะคะ พวกมันออกจากฝูง อาจจะมาสร้างรังเล็กๆ ที่นี่ก็ได้”

ตั๋วตั่วยิ้มออกมาด้วยความดีใจพลางพูดว่า “งั้นพวกเรารีบไปดูกันเถอะค่ะ ที่รังของห่านดำจะต้องมีไข่อยู่แน่นอน” เถียนกวาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เธอได้แต่พยักหน้าและตามไป และก็ยิ้มใสซื่อออกมา

ฉินสือโอวรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ จึงพูดออกมาว่า “เอาล่ะๆ เด็กๆ พวกเรายังต้องไปหากระต่ายกันอยู่นะ พวกหนูอาจจะไม่รู้ แต่ห่านดำน่ะ เพื่อที่จะปกป้องลูกของตัวเองจึงออกจากฝูงมา สถานการณ์แบบนี้พวกเราจำเป็นที่จะต้องฆ่าพวกมัน แบบนี้ไม่โหดร้ายไปหน่อยหรือ?”

ตั๋วตั่วพยักหน้าอย่างครุ่นคิด เถียนกวามองพี่สาวคนสวยที่กำลังพยักหน้าอยู่ จากนั้นก็พยักหน้าตาม น่าเสียดายที่ตอนนี้สีหน้าของเธอยังคงดูไร้เดียงสาอยู่ ดังนั้นเธอพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มไร้เดียงสา เป็นภาพที่น่ารักและมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก

วินนี่ดึงพวกเธอมา จากนั้นดวงตาคู่สวยก็หันมามองอย่างฉลาด วินนี่ตั้งใจเลียนเสียงแหบพร่าของชายชราแล้วพูดกับพวกเธอว่า “เด็กๆ ทุกอย่างที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ สิ่งที่พวกหนูเห็นเต็มไปด้วยสายสัมพันธ์ที่สมดุลและละเอียดอ่อน ในฐานะกษัตริย์ หนูจำเป็นที่จะต้องเข้าใจสายสัมพันธ์นี้ และต้องให้ความเคารพทุกสิ่งบนโลกไม่ว่าพวกมันจะเป็นมดที่เดินมาอย่างเชื่องช้าหรือแม้แต่ละมั่งกระโดด”

“แต่ว่า ปะป๊า หรือว่าพวกเราจะไม่กินละมั่งเหรอ?”

“พวกเรากิน ซิมบ้า ฟังปะป๊าอธิบายก่อน พวกเราจะกินก็ต่อเมื่อพวกมันตายแล้ว ศพของพวกมันจะกลายเป็นพืชหญ้า จากนั้นละมั่งก็จะกินหญ้าพวกนั้น สายสัมพันธ์ของพวกเราเป็นแบบนี้ อาศัยร่วมกันวงจรชีวิตขนาดใหญ่นี้”

เมื่อฉินสือโอวได้ฟังก็รู้ว่านี่คือท่อนหนึ่งจากหนังสือสุดคลาสสิคอย่างเรื่อง ไลอ้อน คิง ภาพยนตร์เรื่องนี้ส่งผลกระทบอย่างมากให้สหรัฐอเมริกาและแคนาดา หลังจากภาพยนตร์เข้าฉายในสหรัฐอเมริกาในปี 1994 เป็นต้นมา ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เกิดผลกระทบต่อเนื่องมาหลายรุ่น

วินนี่ต้องการพูดเรื่องนี้กับตั๋วตั่วและเถียนกวาโดยเฉพาะ ดังนั้นเธอจึงตั้งใจที่จะทำเสียงแหบพร่าเหมือนคนแก่เพื่อเลียนแบบสิงโตเฒ่าอย่างมูฟาซา และเสียงเล็กๆ ของราชาสิงโตอย่างซิมบ้า เธอพูดช้าๆ แต่น่าสนใจเป็นอย่างมาก เถียนกวาที่ยืนอยู่ด้านข้างเงยหน้าขึ้นฟังอย่างออกรส

สิ่งที่แคนาดาให้ความสำคัญเป็นอย่างมากก็คือการศึกษาของเด็กๆ พวกเขาคิดว่านี่เป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดที่จะเป็นตัวกำหนดทัศนคติ ค่านิยม และมุมมองต่อโลกของเด็กๆ ในตอนนี้สิ่งที่เด็กๆ ต้องเรียนรู้ไม่ใช่เรื่องของวิทยาศาสตร์หรือการเอาชีวิตีอด แต่เป็นความเข้าใจโลกและการเข้าใจชีวิต พวกเขาจำเป็นที่จะต้องได้รับการศึกษาจากทุกๆ ด้าน

ตอนนี้วินนี่กำลังเริ่มปลูกฝังความคิดให้แก่เถียนกวาและตั๋วตั่ว ซึ่งเป็นความคิดเรื่องอาหาร ฉินสือโอวดูข่าว ที่แคนาดามักจะมีผู้พิทักษ์สัตว์ออกมาทำการสาธิตเรื่องพวกนี้ เพื่อที่หวังว่ามนุษย์จะไม่กินเนื้อสัตว์และเข้าร่วมทานมังสวิรัติเข้าสักวัน แน่นอนว่าเขาก็หวังแบบนั้นเช่นกัน ถ้าหากว่าผู้คนไม่ทานเนื้อสัตว์ เพื่อให้ได้โปรตีนและไขมัน พวกเขาต้องทานอาหารทะเล แบบนี้เขาก็จะสามารถทำเงินได้

กลับมาที่เรื่องนี้ เพราะว่ายังมีคนบางกลุ่มทานเนื้อและรู้จักกับนักพิทักษ์สัตว์พวกนี้ ดังนั้นความขัดแย้งทางมุมมองจึงมักปรากฏขึ้นเสมอ วินนี่สอนเด็กๆ ให้รู้จักคิดผ่านมุมมองจากเรื่องนี้

“เด็กน้อยที่รักทั้งหลาย ธรรมชาติมีความสมดุลที่ยอดเยี่ยมที่สุด ถ้าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดต้องการมีชีวิตรอด พวกเขาต้องใช้พลังงานจำนวนมาก ดังนั้นพวกเราจึงจำเป็นต้องได้รับพลังงาน เรื่องนี้พวกเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งที่พวกเราจะสามารถเปลี่ยนได้ก็คือเปลี่ยนวิธีการได้รับพลังงาน”

“พวกเราจำเป็นที่จะต้องทานสัตว์เล็กๆ แต่พวกเราสามารถทานพวกมันได้หลังจากที่พวกมันตายอย่างสงบ พวกเราสามารถเลี้ยงดูพวกมันและหลังจากนั้นก็ทานพวกมันได้ นอกจากนี้ ยังมีวิธีอื่นๆ ในการฆ่าสัตว์และทานเนื้อของพวกมัน และ พวกเราสามารถที่จะฆ่าพวกมันและไม่ทานพวกมันได้ด้วย การฆ่าสัตว์เป็นเพียงการสนองความคิดความต้องการของตัวเองเท่านั้น”

“พวกเราควรจะทำอย่างไรดีล่ะ?”

วินนี่มองไปยังเถียนกวา ใบหน้ากลมของเด็กน้อยนั้นไร้ความรู้สึก เธอหาคำตอบให้ตัวเองไม่เจอ ดวงตากลมโตจึงจ้องมองไปยังพี่สาวคนสวย เมื่อเห็นดังนั้น ฉินสือโอวจึงอดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “ที่รัก ตอนนี้คุณพูดเรื่องที่ยังไม่ถึงเวลาพูดน่ะสิ ลูกเลยไม่เข้าใจ”

“ความรู้ไม่มีคำว่าเร็วไปหรือช้าไป ฉันไม่ได้เป็นกังวลว่าลูกจะฟังไม่เข้าใจ แต่ฉันกังวลเพียงว่าเมื่อถึงเวลาที่ลูกจำเป็นที่จะต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ จะไม่มีใครสอนเธอ” วินนี่ยิ้มพลางพูดออกมา เธอไม่ได้ถามเถียนกวาอีก แต่หันไปมองตั๋วตั่วแทน

ตั๋วตัวลองตอบคำถามว่า “พวกเราแค่รับมาเท่าที่ต้องการ แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บอาหารไว้เกินความจำเป็นใช่ไหมคะ?”

วินนี่ลูบผมของเธอ แล้วพูดพร้อมกับรอยยิ้มหวานว่า “ใช่ แบบนั้นแหละ”

เถียนกวาพยักหน้าตาม แล้วพูดว่า “พวกเราแค่รับมาเท่าที่ต้องการ ใช่ แบบนั้น แบบนั้นแหละ…”

เด็กน้อยยังคงไม่ค่อยรู้เรื่อง เธอยังไม่สามารถพูดประโยคยาวๆ ได้

ฉินสือโอวรู้สึกตลกกับท่าทางจริงจังของเถียนกวา เขาอุ้มเธอนั่งไว้ที่ไหล่แล้วพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “ไปกันเถอะ พวกเราไปจับกระต่ายกัน!”

แบล็คไนฟ์เดินตามเขามา หลังจากที่ออกห่างจากวินนี่มา เขาก็ถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า “มิน่าตอนที่ผมหาแฟน แม่ของผมอยากให้ผมหาผู้หญิงที่มีการศึกษาสูง การศึกษาของเด็กๆ นั้นต่างออกไปจริงๆ”

ฉินสือโอวถามกลับว่า “แล้วจากนั้นล่ะ?”

แบล็คไนฟ์ยักไหล่ ตอบกลับว่า “จากนั้นผมก็ไปเป็นทหาร ไม่ได้แต่งงานมาจนถึงตอนนี้ เดิมทีผมคิดจะหาสาวสวยสักคนหลังจากที่หาเงินได้มาจากการทำการประมง แต่ตอนนี้ผมหวังเพียงผมจะได้เจอกับผู้หญิงที่ฉลาด อย่างน้อยก็ต้องเป็นสาวสวยฉลาดที่จบปริญญาตรี”

ฉินสือโอวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แบล็คไนฟ์อายุขนาดนี้แล้วแต่ยังไม่แต่งงานอีก ถ้าเป็นที่ประเทศจีนอายุขนาดนี้ถือว่าหาภรรยาได้ยากแล้ว แต่ว่าพอคิดไปคิดมาเขาคือคนอเมริกา อย่างนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

ตอนนั้นเองในที่สุดเสียงดังของรถแทรกเตอร์ก็ทำให้กระต่ายตกใจกลัว และเมื่อมันปรากฏตัวขึ้นก็จะเจอเข้ากับรังของพวกมันด้วย กระต่ายสีเทาเหลืองสองสามตัววิ่งไปทั่วไร่ และสามารถเห็นร่างของพวกมันได้อย่างชัดเจน

ฉินสือโอวตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาหันไปตะโกนเรียกสุนัขพิตบูลที่อยู่ด้านหลังทันที “ไปๆๆๆ เจ้าเพื่อนยาก ไปจับพวกมันเร็ว!”

…………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท