ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1779 ฝนตกกลางทุ่งนา

บทที่ 1779 ฝนตกกลางทุ่งนา

เนื้อแกะย่างมีรสชาติอร่อยมาก โดยเฉพาะเมื่อมันถูกโรยด้วยพริกป่นตามทันทีที่มันยังร้อนๆ เมื่อพริกไทยรวมกับยี่หร่า เนื้อกระต่ายที่กัดออกมาจึงมีรสชาติที่อร่อยมาก

เพราะแบบนี้ ฉินสือโอวมือข้างหนึ่งถือขากระต่ายย่างและมืออีกข้างหนึ่งถือเบียร์ และพูดคุยกับเหมาเหว่ยหลง แบล็คไนฟ์ และบีบีซวงที่ทานอยู่ด้วยกันอย่างสนุกสนาน ตอนกลางวันเขารู้แล้วว่าแบล็คไนฟ์ยังไม่ได้แต่งงาน เขาจึงรีบบอกให้แบล็คไนฟ์รีบหาแฟนโดยเร็ว และยังสัญญาอีกว่าตราบใดที่เขายังไม่มีแฟน เขาจะได้รับวันหยุดยาวเพิ่มเป็นหกวันต่อเดือนเพื่อให้แบล็คไนฟ์ได้มีเวลาหาแฟน

บีบีซวงอิจฉาเป็นอย่างมาก เขาพูดว่า “ผมเกลียดการทำงานของพระเจ้าจริงๆ ผมไม่น่าเจอกับภรรยาเร็วเลย บางทีผมก็น่าจะเป็นโสดนานกว่านี้หน่อย ผมน่าจะมาทำงานที่ฟาร์มปลาก่อน และหาเงินได้มากกว่านี้”

เขาพูดไปก็หัวเราะไป เมื่อถึงเวลาสองทุ่มตรง เมฆดำก็บดบังไปทั่วท้องฟ้า หลังจากที่ฟ้าแลบไปสองสามครั้ง ฝนเม็ดเล็กๆ ก็เริ่มตกโปรยปรายลงมา

ฉินสือโอวยืนอยู่ที่ชั้นสามของตึกพลางมองออกไปข้างนอก เมืองทั้งเมืองเงียบสงบ ตึกนี้ล้อมรอบไปด้วยฟาร์มและทุ่งเลี้ยงสัตว์ ในคืนที่มืดมิดเช่นนี้ พวกเขาจะสามารถเห็นแสงสว่างได้จากที่ไกลๆ เท่านั้น ไฟเหล่านั้นไม่ได้มาจากบ้านเรือน แต่ว่าเป็นเหล่าชาวนาที่พาลูกน้องมาทำงานในยามค่ำคืน

สำหรับเกษตรและเจ้าของฟาร์ม ฝนแรกของฤดูใบไม้ร่วงนั้นน่ากลัวเป็นอย่างมาก ปริมาณน้ำฝนจะขัดขวางการเก็บเกี่ยวพืชผล เมื่อฝนลงในฤดูใบไม้ร่วงหมดลง อากาศเย็นก็จะคืบคลานเข้ามา ทำให้สัตว์เช่นวัวและแกะติดโรคได้ง่าย

แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา เขามองออกไปนอกหน้าต่างครู่หนึ่ง ฉินสือโอวก็เข้าไปนอนกอดวินนี่บนเตียงและดมหอมที่มีกลิ่นหอมของเธอ เถียนกวาตามตั๋วตั่วเข้าไปนอน ในที่สุดพวกเขาทั้งสองคนก็มีเวลาส่วนตัวอยู่ด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ท้องของวินนี่ป่องขึ้นมาแล้ว…

ความชื้นในอากาศของแฮมิลตันนั้นค่อนข้างสูง เนื่องจากที่นี่อยู่ใกล้กับภูมิภาคเกรตเลกส์ ทำให้ปริมาณน้ำฝนค่อนข้างมาก เมื่อเหมาเหว่ยหลงรู้ถึงพยากรณ์เขาก็บอกกับฉินสือโอวว่า พวกเขาจะต้องอยู่ในฟาร์มไปอีกสองสามวันไม่สามารถกลับไปได้ สาเหตุก็เพราะว่าฝนที่ตกที่นี่น้อยครั้งที่จะตกหนัก แต่ว่าเมื่อฝนได้ตกแล้วเป็นไปได้ยากที่มันจะหยุดตก

เช้าวันต่อมา ฉินสือโอวตื่นขึ้นมาเห็นว่าวินนี่กำลังถ่ายรูปเขาพลางยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ เขาพูดกลั้วหัวเราะว่า “ทำอะไรน่ะ แอบถ่ายรูปผมเหรอ?”

วินนี่แกว่งโทรศัพท์ไปมาแล้วพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มว่า “ถ่ายให้เห็นเลยต่างหาก”

ฉินสือโอวไม่ได้มีนิสัยนอนบนเตียงต่ออย่างขี้เกียจ วินนี่ก็ไม่เป็นเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้ด้านนอกยังคงมีฝนตกอยู่ ลุกขึ้นจากเตียงก็ไม่มีอะไรทำ และเหมาเหว่ยหลงกับหลิวซูเหยียนก็ตื่นสาย ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงยังคงนอนกอดกันอยู่ที่เตียง

เมื่อถึงเวลาเจ็ดโมง ฝนก็ยังคงตกอยู่ เสียงฝนตกกระทบหน้าต่างดังแผ่วเบาแต่หนักแน่น ทำให้เกิดเสียง ‘เปาะแปะๆ’ บรรยากาศผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนที่เกาะแฟร์เวลที่เมื่อฝนตกก็จะมีลมทะเลพัดมาด้วย เสียงฝนตกกระทบกับหน้าต่างจึงเกิดเสียง ‘โป้งเป้งๆ’

ตึกเล็กๆ ของเหมาเหว่ยหลงได้รับการตบแต่งอย่างดี เช่นเดียวกับตึกไม้ ด้านนอกปูด้วยกระเบื้องสีขาว ด้านในตึกมีการแปะวอลล์เปเปอร์ลายต่างๆ วอลล์เปเปอร์ที่ห้องของฉินสือโอวและวินนี่นั้นเป็นลายฉลุ ทำเป็นลายป่าฝนเขตร้อน ที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้สีเขียว รวมถึงนกและดอกไม้ เมื่อได้ยินเสียงฝนที่ตกอยู่ข้าง ทำให้รู้สึกสบายกลมกลืนไปกับธรรมชาติ

เตียงอยู่ติดกับริมหน้าต่าง เมื่อเปิดหน้าต่างออกไปก็จะเจอกับระเบียงกึ่งปิดกึ่งเปิด รอบๆ ระเบียงเป็นแบบเปิดรอบ ด้วยการตบแต่งแบบนี้จึงทำให้มองเห็นสภาพแวดล้อมด้านนอกได้

หลังจากที่ฉินสือโอวเปิดหน้าต่างออกไป ลมเย็นก็พัดเข้ามาเป็นอย่างแรก อากาศสดชื่นเป็นอย่างมาก เขาอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอด อากาศที่นี่ไม่เหมือนกับที่ฟาร์มปลา แม้ว่าอากาศที่ฟาร์มปลาจะสะอาด แต่มักจะมีกลิ่นทะเลอยู่ด้วย แต่อากาศในฟาร์มจะมีกลิ่นดินและกลิ่นต้นไม้เข้ามาด้วย หากเทียบกันแล้วฉินสือโอวชอบอากาศแบบนี้มากกว่า

เพราะลมที่เข้ามา ทำให้มีละอองฝนพัดเข้ามาด้วย เนื่องจากฝนตกตลอดทั้งคืนจึงทำให้ทั่วทั้งเมืองเต็มไปด้วยหมอก หากมองออกไปด้วยระยะประมาณสิบเมตร เขาไม่สามารถมองเห็นอะไรเลย เขายิ้มและวินนี่ว่า “คุณคิดว่านี่เหมือนกับสวรรค์หรือเปล่า?”

ใบหน้าของวินนี่ตกใจขึ้นมาทันที หลังจากนั้นเธอก็ลากฉินสือโอวให้เขามาและปิดหน้าต่าง ฉินสือโอวถามออกมาด้วยความสงสัยว่า “มีอะไรเหรอ ที่รัก?”

“ฉันกลัวว่าคุณจะแข็งตายไปเสียก่อน แล้วแบบนี้ใครจะดูแลฉัน เถียนกวาและลูกคนเล็กล่ะ?” วินนี่จงใจทำหน้าตาเป็นห่วงเป็นใยเขาอย่างจริงจัง

ภรรยาลูกสาวของเขานี่นะ ฉินสือโอวนึกและยิ้มออกมา

ในตอนที่ทั้งสองคนลงไปข้างล่าง เหมาเหว่ยหลงและหลิวซูเหยียนพึ่งจะลุกจากที่นอน พวกเขายังไม่ได้อาบน้ำแต่งตัว เมื่อเห็นฉินสือโอวกับวินนี่ เหมาเหว่ยหลงจึงเอ่ยทักทายว่า “วันนี้ฝนตก ไปไหนก็ไม่ได้ พวกแกไม่นอนพักกันสักหน่อยล่ะ?”

ฉินสือโอวตั้งใจแหย่เขาจึงตอบว่า “หิวจนนอนไม่หลับน่ะ”

เหมาเหว่ยหลงตอบกลับว่า “อาหารเช้ามีนมธัญพืชห้าชนิด เบคอน และไข่เจียว เป็นยังไง? คุณชายฉินเคยทานใช่ไหม?”

ฉินสือโอวหิวจริงๆ เมื่อได้ยินคำว่าเบคอนและไข่เจียวคู่กัน เขาก็ถูมือแล้วพยักหน้าทันที “ไม่เลวๆ คุณชายฉินพอใจเป็นอย่างมาก เมื่อไรจะเริ่มทานข้าวกันเหรอ?”

เขาคิดว่าเหมาเหว่ยหลงและหลิวซูเหยียนจะตื่นขึ้นมาทำอาหารเช้าก่อน หลังจากจึงกลับไปนอนงีบ ปรากฏว่า เหมาเหว่ยหลงลากเขาเข้าไปในห้องครัว จากนั้นก็ชี้ไปที่ เครื่องทำนมถั่วเหลืองและกระทะอบไฟฟ้าพลางพูดว่า “ธัญพืชทั้งห้าชนิดอยู่ในตู้ ไข่ไก่และเบคอนอยู่ในตู้เย็น แพนเค้กเป็นแบบสำเร็จรูป แกอุ่นเอาเองแล้วกัน”

พูดจบ เหมาเหว่ยหลงก็วิ่งเหยาะออกไป ทิ้งให้ฉินสือโอวก่นด่าอยู่ในห้องครัว

จากนั้นไม่นานตั๋วตั่วและเถียนกวาก็ลงมาข้างล่าง ทั้งสองคนจับมือกันและใช้มืออีกข้างขยี้ตาตัวเอง อาการง่วงนอนยังคงปรากฏให้เห็นอยู่บนใบหน้าอวบน่ารัก เถียนกวาพูดขึ้นมาว่า “มะม๊า กินๆๆ!”

วินนี่กวักมือเรียกพี่น้องเฟอเรทให้มาอยู่ข้างๆ หลังจากนั้นเธอก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “จะกินๆ ก็ต้องดูปะป๊าทำก่อน ปะป๊าทำเสร็จเมื่อไรพวกเราก็จะทานกันตอนนั้น”

เถียนกวาวิ่งไปในห้องครัวทันที เธอหลบอยู่หลังประตูและชะโงกออกไปในห้องครัวพลางถามว่า “กินๆๆ?”

“อีกครึ่งชั่วโมงนะ” ฉินสือโอวเข้าใจความต้องการของลูกสาว จึงตอบกลับไปสั้นๆ

นมธัญพืชทั้งห้านั้นทำง่ายมาก ธัญพืชเป็นแบบสำเร็จรูปแล้ว และถั่วเหลืองก็พร้อมแล้ว เครื่องทำนมถั่วเหลืองของเหมาเหว่ยหลงเป็นเครื่องอัตโนมัติ หลังจากที่นำธัญพืชกับถั่วลงไปพวกมันจะไม่กวนรวมกัน แต่จะค่อยๆ ทำทีละขั้นตอน นอกจากนี้เครื่องทำนมถั่วเหลืองยังต้องใช้น้ำตาลกรวดและน้ำเชื่อมด้วย พวกมันจะทำให้รสชาติของนมธัญพืชนั้นดียิ่งขึ้น

เบคอนก็ทำง่ายมากเช่นกัน นี่คือความสามารถพิเศษของเขา ตอนที่เขาพึ่งมาถึงเกาะแฟร์เวลใหม่ๆ ตอนนั้นทอดเบคอนแทบจะทุกวัน หลังจากนั้นเขาก็ต้องดูแลพวกเชอร์ลี่ย์ทั้งสี่คนตั้งแต่เด็ก อาหารเช้าพวกเบคอน ไส้กรอกทอดจึงมีมากขึ้น

เรื่องที่เขาไม่ค่อยถนัดก็คือการทอดไข่เจียว เมนูนี้เขาไม่เคยทำ ยังดีที่หลิวซูเหยียนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว เธอเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มและบอกว่าจะดูแลอาหารเช้าต่อให้เอง ฉินสือโอวจึงได้รับการปลดปล่อยเสียที เขาแบ่งนมธัญพืชให้ตั๋วตั่วและเถียนกวาได้ดื่มก่อน

ฝีมือการทำอาหารของหลิวซูเหยียนนั้นโดดเด่นเป็นอย่างมาก เรื่องนี้วินนี่เทียบกับเธอไม่ได้ แต่อาหารที่วินนี่ทำก็ทานได้ แต่นอกจากอาหารตะวันตกสุดคลาสสิคที่เป็นที่นิยมแล้ว อาหารอื่นเธอก็ไม่สามารถทำได้ เมื่อตอนที่เธอเข้ามาเป็นสะใภ้แรกๆ เธอเรียนรู้การทำอาหารจีนจากแม่ของฉินสือโอว แต่หลังจากนั้นเมื่อเธอเห็นว่าฉินสือโอวทำอาหารเก่ง เธอจึงลาจากวงการนี้

……………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท