ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1778 มันจากไขมัน

บทที่ 1778 มันจากไขมัน

วินนี่อธิบายให้ฉินสือโอวฟังว่า ​“ลูกสาวเราต้องการกระต่ายที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้อยากทานกระต่าย คุณคิดว่าใครๆ ก็อยากเอาแต่จะทานแบบคุณเหรอ? คุณอธิบายให้ลูกฟังได้ใช่ไหมคะ?”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ในเมื่อคุณรู้จักลูกสาวดีขนาดนี้ ทำไมเมื่อกี้คุณไม่ให้ความรู้เรื่องอาหารแก่เธอตอนนี้เสียล่ะ?”

วินนี่ยิ้มออกมาอย่างมีเสน่ห์แล้วตอบว่า “ด้วยความยินดี!”

การจับกระต่ายเป็นๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย หากอยู่ท่ามกลางหิมะ หากเจอเข้ากับรอยเท้าก็กระต่ายก็ยังสามารถตามไปขุดพวกมันถึงรังได้ แต่ตอนนี้อยู่ในทุ่งข้าวโพดแบบนี้ ใครจะไปรู้ว่ารังกระต่ายอยู่ที่ไหน

เมื่อเห็นดวงตากลมของลูกสาวเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา ฉินสือโอวก็ถอนหายใจออกมา ‘ยากลำบากจริงๆ ไม่ว่าจะมีปัญหาหรือยุ่งยากแค่ไหนก็ต้องจัดการ!’

เขาใช้วิธีการโง่ๆ นั่นคือการขุดรังกระต่าย รถแทรกเตอร์วิ่งไปทั่วพื้นที่ไร่ เขาจำตำแหน่งที่กระต่ายโผล่ขึ้นมาได้ หลังจากนั้นก็ไปหาโพรงกระต่าย เมื่อกระต่ายตัวใหญ่กระโดดออกมาแล้ว ลูกกระต่ายจะต้องยังอยู่ในโพรงแน่นอน

พี่น้องเฟอเรทยังคงลากระต่ายต่อไป กระต่ายพวกนี้แทบจะไม่สามารถหลบหนีพวกมันได้เลย หากพวกมันกำลังจ้องมองอยู่ แต่ว่าหลังจากที่พวกมันจับกระต่ายมาได้ห้าหกตัวแล้ว วินนี่ก็เรียกให้พวกมันกลับมา จากนั้นก็บอกกับตั๋วตั่วและเถียนกวาว่า “เท่านี้ก็พอทานแล้ว ดังนั้นไม่ต้องล่ามันอีกต่อไป ใช่ไหม?”

ตั๋วตั่วยิ้มหวานออกมาพลางตอบว่า “ใช่ค่ะ”

เถียนกวาเลียนแบบตั๋วตั่ว เธอยิ้มและพูดออกมาอย่างสดใสว่า “ใช่ค่ะ”

ฉินสือโอวไม่เข้าใจว่าแค่พูดคำว่า ‘ใช่ค่ะ’ แล้วทำไมลูกสาวของตัวเองถึงต้องดูดีใจขนาดนั้น…

ในที่สุด หลังจากที่ไล่กระต่ายตัวใหญ่สีทองไปแล้ว ฉินสือโอวก็เปิดซากก้านข้าวโพดออกจนพบกับรูขนาดใหญ่รูหนึ่ง เขาเจอเข้ากับกระต่ายน้อยที่กำลังหัดเดินอยู่ตัวหนึ่ง กระต่ายพวกนี้วิ่งไม่ได้ พวกมันจึงได้แต่ผวาตัวสั่นเพราะความตัวอยู่ในโพรง

แต่ทางหนีทีไล่ของพวกมันทั้งหมดไม่มีเลย อาจจะเพราะว่ากระต่ายที่แคนาดาไม่ได้ได้มีคนมาล่าและมีศัตรูตามธรรมชาติน้อย ดังนั้นพวกมันจึงแทบจะไม่ต้องทำแบบนี้ โพรงของพวกมันไม่ได้เป็นแบบที่ทะลุทั้งสองด้าน ตราบใดที่กระต่ายถูกกั้นเส้นทางไว้พวกมันก็ไม่สามารถวิ่งได้

ฉินสือโอวหยิบลูกกระต่ายออกมาจากโพรง พวกมันมีทั้งหมดหกตัว ขนของพวกมันทั้งหมดเป็นสีน้ำตาลทอง สีธรรมดา ไม่ได้สวยงามมากนัก ยังห่างไกลจากกระต่ายป่าสโนว์ชูที่เขาเคอร์บัลอยู่มาก แต่ว่ากระต่ายพวกนี้ตัวเล็กน่ารักมาก ดังนั้นเมื่อดูๆ ไปก็น่ารักดี

เมื่อเห็นกระต่ายพวกนั้น เถียนกวาก็โบกมือไปด้วยความดีใจ แล้วตะโกนออกมาว่า ​”มีกระต่ายแล้ว มีกระต่ายแล้ว”

เธออยากจะเอื้อมมือไปแตะหลังกระต่าย ฉินสือโอวบอกให้ระวังอย่าไปโดนตัวมัน และให้ระวังพวกมันกัด แต่วินนี่เดินมาหา แล้วจับมือเล็กๆ ของลูกสาวอย่างอ่อนโยน พร้อมกับพูดว่า​ “ดูสิ มือของลูกสกปรกแบบนี้ มีแบคทีเรียเยอะมาก จับกระต่ายไม่ได้นะ พวกมันยังเด็ก หากไวรัสเข้าร่างกายพวกมันล่ะแย่เลย ใช่ไหม?”

เถียนกวาพยักหน้าอย่างว่าง่าย เธอล้มเลิกความคิดที่จะเอื้อมมือไปจับกระต่าย

ฉินสือโอวส่ายหัว ให้ตายเถอะ ในเรื่องเดียวกันแต่วิธีการของเขานั้นแย่กว่าวินนี่เยอะเลย โชคดีที่เธอเป็นภรรยาของเขา ไม่อย่างนั้นเขาต้องอิจฉาเธอเป็นแน่

หลังจากที่วินนี่กลับไป เขาก็เอากระต่ายใส่ไว้ในกรง จากนั้นจึงส่งกรงให้เถียนกวาและตั๋วตั่วเอาไปเล่นได้ เด็กสาวตัวเล็กใหญ่ทั้งสองคนถือกรงกระต่ายวิ่งไปทั่วอย่างสนุกสนาน ลูกชายของเหมาเหว่ยหลงพึ่งจะกัดเดิน เขาแกว่งมือไปมาเพื่อที่จะจับกระต่าย เถียนกวาตีมือเขาพลางพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “สกปรก มีแบคทีเรีย มะม๊าบอกว่าจับไม่ได้”

หลิวซูเหยียนอุ้มลูกของตัวเองกลับไป แล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ร่างกายของลูกกระต่ายมีแบคทีเรีย และยังกัดคนได้ด้วย อย่าไปจับมันนะ เข้าใจไหม?”

ฉินสือโอวที่กำลังจัดการกับกระต่ายได้ยินสิ่งที่เธอพูดพอดี หลังจากนั้นเขาก็รู้ว่าสะใภ้ของเขานั้นมีส่วนช่วยในการให้ความรู้แก่เด็กๆ ด้วยเช่นกัน

แบล็คไนฟ์และฉินสือโอวกำลังจัดการกับกระต่ายอยู่ เหมาเหว่ยหลงถามว่าจะทานกันอย่างไร ตามความหมายของฉินสือโอวแล้ว คือการจุดไฟและย่างกระต่าย แต่นี่เป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยว ไม่สามารถจุดไฟในฟาร์มได้ หากจะย่างกระต่ายก็ต้องย่างด้วยตะแกรงหรือเตาอบเท่านั้น แต่การทำแบบนั้นจะไม่สามารถย่างกระต่ายทั้งตัวได้

เมื่อได้ยินดังนั้น เหมาเหว่ยหลงก็ตบเข่าเสียงดังแล้วพูดว่า ​”เรื่องนี้ง่ายมาก ที่นี่มีเตาอบสำหรับย่างเป็ด หากเอากระต่ายไปแขวนและย่างพวกมันจะใช้ได้เหมือนกันไหมนะ?”

ฉินสือโอวร้องขึ้นด้วยความตกใจว่า “พระเจ้า ที่นี่มีของทุกอย่างเลยเหรอ? แกย้ายปักกิ่งมาที่นี่หรือยังไง?”

เหมาเหว่ยหลงหัวเราะหึหึออกมา “มันเป็นเตาอบขนาดเล็กน่ะ ฉันขอร้องให้เพื่อนเอามาให้ ที่ไม่ใช่ความหายของการเลี้ยงเป็ดหรือยังไง? ฉันคิดจะทำเป็นย่างทานน่ะ แต่ว่าเอามาย่างกระต่ายก็ไม่เสียหาย”

เตาอบนั้นใช้ไฟแทนไฟฟ้า ที่ติดอยู่กับฟาร์มของเหมาเหว่ยหลงเป็นสวนผลไม้ ข้างในสวนเต็มไปด้วยต้นแอปเปิล และสวนแห่งนี้ไม่มีเจ้าของ ดังนั้นการจะเอาของบางอย่างออกมาจากข้างในก็ไม่ผิดอะไร พวกเขาหมักกระต่ายด้วยโป๊ยกั๊ก ผักชีล้อม เม็ดยี่หร่า และพริกไทยเสฉวน หลังจากนั้นก็ไปยังสวนผลไม้ข้างๆ เพื่อหาต้นแอปเปิลที่ตายแล้ว จากนั้นก็ลากกลับมา

เมื่อหมักกระต่ายเสร็จแล้ว ก็นำเครื่องเทศเหลานี้ใส่เข้าไปในท้องของมันและเย็บด้วยด้าย ที่ผิวด้านนอกโรยยี่หร่าเพิ่มเข้าไป และทาด้วยน้ำมันถั่วลิสงอีกชั้นหนึ่ง แบบนี้เนื้อกระต่ายก็จะมันเงา เมื่อย่างแล้วจะได้รับรสชาติที่นุ่มทั้งข้างในและข้างนอก

ฉินสือโอวถามว่าทำไมไม่ใช้น้ำมันมะกอก คนแคนาดาเวลาย่างอะไรมักจะชอบใช้น้ำมันมะกอก น้ำมันชนิดเรียกถูกเรียกว่าทองคำเปลว มันดีต่อสุขภาพ ตอนนี้ฉินสือโอวจึงใช้น้ำมันมะกอกทำอาหารทุกชนิด เหมาเหว่ยหลงส่ายหัว เขาบอกว่าน้ำมันมะกอกหอมสู้น้ำมันถั่วลิสงไม่ได้ เขาและหลิวซูเหยียนคุ้นชินกับการใช้น้ำมันถั่วลิสง และไม่เคยใช้น้ำมันมะกอกเลย

พวกเขาแขวนกระต่ายทั้งห้าตัวไว้ในเตาอบ กระต่ายพวกนี้อ้วนเป็นอย่างมาก หลังจากทำความสะอาดแล้วตัวหนึ่งมีน้ำหนักสามถึงสี่กิโลกรัม ที่บ้านของฉินสือโอวจะพบเจอกระต่ายป่าที่มีขนาดตัวใหญ่แบบนี้ได้ยากมาก เนื่องจากสภาพแวดล้อมเลวร้ายเกินไป กระต่ายจึงน้อยลงเรื่อยๆ และพวกมันก็โตยากขึ้นไปเรื่อยๆ

ฤดูใบไม้ร่วงอากาศเย็นและสดชื่น นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะทานของป่า ต่อมาสัตว์ดุร้ายจะเริ่มจำศีลในช่วงฤดูหนาว ไขมันของพวกมันจะถูกเผาผลาญไป และรสชาติจะไม่อร่อย

นอกจากย่างกระต่ายป่าแล้ว เหมาเหว่ยหลงและหลิวซูเหยียนก็ยังทำอาหารอีกสองสามอย่าง อาหารทั้งหมดเป็นอาหารที่พวกเขาทำขึ้นเอง แต่รสชาติเป็นรสชาติแบบอาหารจีนดั้งเดิม หลิวซูเหยียนเป็นชาวหูหนาน อาหารแต่ละอย่างที่ทำจึงมีกลิ่นที่ค่อนข้างหอมโดดเด่น โดยเฉพาะเมนูผักคุณยาย ที่หอมเตะจมูกมาก!

ร้านเป็ดย่างในปักกิ่งมักจะใช้เตาไฟในการทำเป็ดย่าง ว่ากันว่ารสชาตินั้นเป็นรสชาติมาตรฐาน เตาอบที่เหมาเหว่ยใช้ไม่ได้เป็นเตาไฟฟ้า แต่ก็สามารถทำให้เหมือนได้ รูปร่างเตาค่อนข้างแบน พวกเขาแขวนกระต่ายไว้ด้านบนส่วนด้านล่างก็วางผลไม้ไว้ หลังจากที่อุณหภูมิค่อยๆ สูงขึ้น หยดน้ำมันที่อยู่ทั่วตัวกระต่ายก็ไหลกลิ้งไปมาทันที

เดิมทีพวกเขาคิดจะไปทานอาหารนอกบ้าน แต่เมื่อถึงเวลาค่ำ ฟ้าก็เริ่มมืด ลมที่พัดไปมาแฮมิลตันเย็นขึ้นมาก แบบนี้ทำให้ไม่สามารถทานอาหารด้านนอกได้ จึงทำได้เพียงทานอาหารอยู่ในบ้านเท่านั้น

เหมาเหว่ยหลงตรวจสอบอุณหภูมิจากเว็บไซต์ของกรมอุตุนิยมวิทยา เขายักไหล่แล้วพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้และวันมะรืนจะมีฝน โชคดีที่ได้พวกแกมาช่วยไว้ไม่อย่างนั้นข้าวโพดพวกนี้แย่แน่ พอฝนตกความชื้นก็จะสูง การจะเก็บข้าวโพดเข้าโกดังต้องแห้งเท่านั้น แบบนั้นก็จะเริ่มลำบากแล้วล่ะ”

ฉินสือโอวพูดว่า “นี่เป็นคำบัญชาจากพระเจ้า ใช่ไหม วินนี่? คุณดูสิฝนจะตกแหละ งั้นพวกเราอยู่ที่นี่อีกสักสองสามวันแล้วกัน”

พอกระต่ายโดนย่างจนสุกแล้ว ที่ด้านนอกฝนก็เริ่มตก ฉินสือโอวสูดกลิ่นหอมของเนื้อกระต่ายย่างและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของยี่หร่า พลางถามออกมาว่า ​”ที่แฮมิลตันฝนตกบ่อยไหม?”

เหมาเหว่ยหลงตอบกลับว่า “อ้อ ที่นี่ฝนตกบ่อยเลยและ แต่ว่านี่เป็นฝนแรกของฤดูใบไม้ร่วง พอฝนตกแบบนี้ อากาศก็จะยิ่งเย็นเข้าไปอีก! มาๆๆ อย่าไปสนใจเลย รีบมาชิมเนื้อกระต่ายย่างดีว่าเป็นอย่างไร!”

…………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท