ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1785 ฟักทองผลไม้จากฟาร์มปลา

บทที่ 1785 ฟักทองผลไม้จากฟาร์มปลา

แคปสันที่สองกล่าวถึงกุญแจสำคัญว่า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของมิเชลยังคงเป็นความมั่นใจในตัวเองกับทัศนคติในการแข่งขัน แม้ว่าเขาจะทำผลงานบนสนามได้ดีทุกครั้ง หลังจากลงสนามเขาจะนำความมั่นใจกับความกล้าที่แตกต่างจากตอนใช้ชีวิตโดยสิ้นเชิงออกมา แต่สำหรับมืออาชีพ มันยังไม่พอ!

ทีมมาร์เวลไม่ทำให้ผิดหวังสมกับชื่อของมัน สมาชิกที่ทีมบาสเกตบอลทีมนี้หล่อหลอมออกมา แต่ละคนแข็งแกร่งเหมือนกับเหล็กกล้า ตัวแทนของด้านนี้คือไอเวอร์สันกับไอรอน แฮมโมนิง พวกเขาสองคนล้วนเป็นคนที่แข็งแกร่งระดับท็อปของเอ็นบีเอทั้งคู่ ฉินสือโอวรู้สึกว่า ถ้ามิเชลสามารถมีพลังในการต่อสู้กับจิตวิญญาณในการต่อสู้ได้แบบนี้ ซึ่งประสานกับสมรรถภาพทางกายที่เคยถูกพลังแห่งโพไซดอนเปลี่ยนและความรู้สึกที่เกือบจะเหมือนปีศาจของเขา ชีวิตในอาชีพของเขาจะทำได้แค่ใช้แสลงอเมริกาเหนือประโยคหนึ่งอธิบายว่า มีแค่ท้องฟ้าเท่านั้นที่เป็นขีดจำกัดของเขา!

นอกจากนี้ การมาเยี่ยมฉินสือโอวของแคปสันที่สองครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความจริงใจของเขาจริงๆ เขาพาโค้ชของเขามา กับคนอีก 4 คนที่อยู่ข้างๆ เขาซึ่งเป็นคนสนิทสายตรงของเขา อาจจะเป็นผู้ช่วยโค้ชหรือครูฝึกความสามารถทางกาย พวกเขาล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในวงการบาสเกตบอลของมหาวิทยาลัยในสหรัฐทุกคน

แคปสันที่สองยังนำไฟล์รายงานของมิเชลมาอีกด้วย ด้านในมีส่วนสูง ความเร็ว การกระโดด ช่วงแขน ผลการวิเคราะห์ทางเทคนิคและอื่นๆ ของเขาอยู่ กระดาษสิบกว่าแผ่นวิเคราะห์สมรรถภาพทางกายและลักษณะทางเทคนิคของมิเชลออกมาได้อย่างแม่นยำ และยังให้คำแนะนำในการพัฒนาอีกด้วย ผลการประเมินขั้นสุดท้ายสูงมาก จนคิดว่าเขามีความสามารถที่จะกลายเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองได้

ฉินสือโอวยังคงไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาที่แน่นอนกับแคปสันที่สอง แต่บนทัศนคติของเขามีแนวโน้มที่จะส่งมิเชลเข้าเรียนมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ในอนาคต เขาหวังว่ามิเชลจะกลายเป็นนักรบเหล็กที่ไม่มีใครเอาชนะได้ และทีมมาร์เวลก็จะเป็นเตาหลอมเหล็กที่ดีที่สุดของมหาวิทยาลัยในสหรัฐ

หลังจากนั้นก็มีการเยี่ยมเยียนอย่างต่อเนื่อง หลังจากแคปสันที่สองจากไป แมวมองของทีมอัลลิเกเตอร์มหาวิทยาลัยฟลอริดาก็มาอีก แม้แต่มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนามหาวิทยาลัยเก่าของจอร์แดนเทพแห่งบาสเกตบอลกับมหาวิทยาลัยดุ๊กที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่งในวงการบาสของมหาวิทยาลัยในสหรัฐก็ส่งคนมาเชียร์ให้ฉินสือโอวส่งมิเชลเข้าเรียนมหาวิทยาลัยของพวกเขา

เวลานี้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง หู่จือกับเป้าจือให้ความสนใจอย่างเกียจคร้าน ถึงจะชอบอย่างไร พวกมันสองตัวพี่น้องก็เตรียมเข้าจำศีลแล้ว

ฉินสือโอวรู้สึกว่ามันผิดปกติ แม้ว่ามิเชลจะทำผลงานโดดเด่นมากในงานไนกี้ซัมมิท แต่นั่นก็ไม่ถึงกับทำให้วงการบาสเกตบอลระดับมหาวิทยาลัยในสหรัฐตกใจหรอกใช่ไหม? ตอนแรกมหาวิทยาลัยเดวิดสันมาหา ก็เข้าใจได้ว่าใช้เส้นจากเคอร์รี แต่ภายหลังมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงพวกนี้มาหาคือเกิดอะไรขึ้น? ดังนั้นเขาจึงหาเวลาโทรหาเคอร์รี และยกคำถามออกมาถาม

เคอร์รีหัวเราะและพูดว่า “นี่คือเซอร์ไพรส์สำหรับนาย น้องชาย สนุกกับเซอร์ไพรส์นี้เถอะ! มิเชลไม่ใช่แค่ทำผลงานได้โดดเด่นในงานไนกี้ซัมมิท แต่เขายังทำผลงานได้ยอดเยี่ยมอย่างมากในค่ายฝึกอบรมของฉัน ความคืบหน้าอธิบายได้ด้วยความเร็วแสงเท่านั้น! ฉันพาเขาไปเข้าร่วมการแข่งขันโอเพ่นแชมเปียนชิปทุกสัปดาห์ เขาก็แสดงความก้าวหน้าออกมาทุกครั้ง เซอร์ไพรส์ผู้คนมาก พูดจริงๆ นะเพื่อน ถ้ามิเชลอายุ 18 ปีเต็ม คนที่ให้ความสนใจเขาจะไม่ใช่มหาวิทยาลัยพวกนี้ แต่เป็นทีมบาสเกตบอลของเอ็นบีเอ!”

ฉินสือโอวเข้าใจในทันที ไม่แปลกที่มหาวิทยาลัยหลายแห่งให้ความสนใจมิเชลขนาดนี้ เดิมทีนอกจากงานไนกี้บาสเกตบอลซัมมิทแล้ว มิเชลยังเคยแสดงความกล้าแกร่งของเขาในการแข่งขันอื่นอีกด้วย

แต่ตอนนี้มิเชลยังเหลวไหลอยู่ก็ไม่เชิง เมื่อเขาก้าวเข้าสู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 งานโรงเรียนก็หนักขึ้นในทันที เวลาที่ใช้ฝึกซ้อมบาสเกตบอลก็ถูกบีบอัดไปไม่น้อย แต่ฉินสือโอวกลับไม่สามารถช่วยเขาแก้ไขได้ หลังจากนี้เขาจะต้องไปเรียนที่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านบาสเกตบอลในสหรัฐอเมริกา ผลการเรียนวิชาวัฒนธรรมจึงต้องไม่แย่เกินไป

ตรงกันข้ามผลการเรียนของพาวลิสโดดเด่นอยู่ตลอด แม้ว่าเขาจะเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แต่การเรียนก็ยังเบามาก ทุกวันมีเวลาเล่นอย่างอื่นเยอะแยะ แต่ความสนใจของเขามีแค่อย่างเดียว นั่นก็คือการขับรถ

พาวลิสฝึกแข่งรถเป็นงานอดิเรก วินนี่ช่วยเขาสมัครสมาชิกนิตยสารหลายฉบับเช่นการแข่งรถเอฟวัน การแข่งรถในทะเลทรายและอื่นๆ เขาจะอ่านทุกประเด็นอย่างละเอียด ต้นเดือนตุลาคมเขาก็จะอายุ 16 ปีเต็ม ตามกฎของแคนาดาสามารถสอบใบขับขี่ได้แล้ว ฉินสือโอววางแผนว่าจะหาเวลาพาเขาไปสอบใบขับขี่

ความรู้สึกของฤดูใบไม้ร่วงเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ พืชพันธุ์ที่อยู่ในสวนของฟาร์มปลาถูกรดน้ำด้วยพลังแห่งโพไซดอน พวกมันจึงยังเติบโตขึ้นมาอย่างเขียวชอุ่ม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้คนลืมการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ถ้าไม่มีคนเตือนฉินสือโอวว่าฟักทองในพื้นที่เพาะปลูกควรเก็บเกี่ยวได้แล้ว เขาก็คงไม่รู้ว่าตอนนี้ควรเก็บฟักทอง

ฟักทองของปีนี้ขนาดค่อนข้างสมมาตร ไม่ใหญ่เกินไป ดังนั้นไม่สามารถทำลายสถิติโลกได้อย่างแน่นอน แต่เพราะเมล็ดฟักทองที่ใช้ก่อนหน้านี้ปลูกด้วยพลังแห่งโพไซดอน บวกกับเปลี่ยนรูปร่างด้วยพลังแห่งโพไซดอนในภายหลัง ฟักทองที่ออกผลมาครั้งนี้จึงสวยเป็นพิเศษ ผิวสีเหลืองทองและเรียบเนียน เมื่อเอนตัวนอนด้านบนก็จะได้กลิ่นที่หอมหวานของมัน

ฉินสือโอวลากฟักทอง 2 ลูกกลับมาทำเค้กฟักทอง ฟักทอง 2 ลูกนี้เกือบจะใหญ่เท่ากับยางรถยนต์ของฟอร์ดเอฟ150 แต่ละลูกมีน้ำหนัก 400 กว่ากิโลกรัม ตามหลักแล้วขนาดแบบนี้ ฟักทองจะไม่สามารถกินได้ แต่ฟักทองที่ออกผลในฟาร์มปลาของเขาไม่มีปัญหาแน่นอน พิสูจน์กลิ่นก็ยืนยันได้แล้ว

เมื่อขับรถมาจอดที่ประตูวิลล่า อีวิลสันที่กำลังกินองุ่นดำอยู่ก็วางชามขนาดใหญ่ที่กอดไว้ในอ้อมแขนลง เขาเดินหอบฮืดฮาดๆ เข้ามา ทั้งสองมือโอบฟักทองลูกหนึ่งไว้และส่งเข้าห้องครัวอย่างง่ายดาย พละกำลังที่แสดงออกมาให้เห็นทำให้ตั๋วตั่วที่เดินผ่านมากล่าวชื่นชม “พี่อีวิลสันถ้าทำงานในฟาร์มจะเก่งมาก และเขายังเก่งกว่าเครื่องจักรอีกด้วย!”

อีวิลสันหัวเราะแหะๆ อย่างไร้เดียงสา และงอแขนโชว์กล้ามเนื้อที่เหมือนกับก้อนหินอย่างให้ความร่วมมือ จังหวะการหายใจที่รุนแรงทำให้ดูแข็งแรงสุดๆ

ฉินสือโอวใช้แปรงทำความสะอาดฟักทองนิดหน่อยอย่างง่ายๆ และหามีดทำครัวทันที เขาหั่นเข้าไปในฟักทองเสียงดัง ‘ฉับ’ ทันใดนั้นก็มีน้ำฟักทองพุ่งออกมา เหมือนกับแตงโมที่ผ่าเป็นซีกๆ

ฉงต้าขยับร่างกายอันอวบอ้วนตามมาอยู่ข้างๆ และมองดูอย่างอยากรู้อยากเห็น หลังจากผ่าฟักทองมันก็สั่นจมูกอย่างรวดเร็ว และโน้มใบหน้าอ้วนท้วมเข้ามา มันยื่นอุ้งเท้าอ้วนออกมาถูใต้ฟักทอง และเลียด้วยความเอร็ดอร่อย

ฟักทองของปีที่แล้ว ความจริงลูกค่อนข้างใหญ่รสชาติก็ไม่ค่อยดี อายุของไฟเบอร์ก็เหมือนกับเชือกป่าน แต่ฟักทองของปีนี้ดีกว่ามาก อย่างน้อยฟักทองลูกใหญ่ 2 ลูกนี้ก็ยังคงความหวานและเนื้อฟักทองนุ่มๆ เอาไว้ ตอนที่ฉินสือโอวตัดก็ทิ้งฟักทองชิ้นหนึ่งลงบนพื้น ฉงต้าหยิบขึ้นมากินทันที ปากใหญ่ขมุบขมิบกินอย่างมีความสุข

“สามารถกินเป็นผลไม้ได้เลยเหรอ? ”ฉินสือโอวลังเลนิดหน่อย เขาเห็นตั๋วตั่วกับเถียนกวาเล่นกันอยู่ในห้องนั่งเล่น จึงกวักมือและตะโกนเรียกให้ทั้งสองคนเข้ามา เขาหั่นเนื้อฟักทองชิ้นเล็กแบ่งเป็นชิ้นน้อยสองชิ้น และพูดว่า “กินสิ อร่อยนะ”

ตั๋วตั่วกับเถียนกวาอ่อนโยนเกินไป พวกเธอคงยังไม่รู้ว่าจิตใจของคนเรานั้นน่ากลัว เมื่อจัดแบ่งใส่มือแล้วก็กัดเนื้อฟักทองกินอย่างมีความสุข

การกินฟักทองดิบในแคนาดาไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ฟักทองเป็นผักที่สามารถกินดิบได้ การกินดิบกลับยังสามารถเก็บรักษาคุณค่าทางโภชนาการของฟักทองไว้ได้เป็นอย่างดีเสียด้วยซ้ำ ลดการสูญเสียกับการทำลายสารอาหาร แต่เพราะรสสัมผัส ตอนที่กินคนจะหั่นหรือฝานฟักทอง ใช้น้ำมะนาวพรมสักหน่อย ใส่เกลือนิดหน่อยและกินหรือทำสลัดกินก็ได้

ฉินสือโอวไม่ได้กิน ก่อนหน้านี้เขาเคยกินฟักทองดิบด้วยความหิวตอนเป็นเด็กที่บ้านเกิด จำได้ว่ารสชาติมันฟาดมาก และไม่อร่อย

……………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท