ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1761 งานประมูลฤดูใบไม้ร่วงครั้งสำคัญ

บทที่ 1761 งานประมูลฤดูใบไม้ร่วงครั้งสำคัญ

วินนี่ให้อาหารเจ้าพวกนี้ไปในขณะที่ให้ฉินสือโอวคิดวิธีแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยของพวกมันไปด้วย เหล่าแมวน้ำยังจ้องมาจากทะเลอยู่เลย

ฉินสือโอวเกาหัว เขาปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงน้ำอยากจะถ่ายพลังให้กับพวกแมวน้ำเสียหน่อย แต่หลังจากนั้นเขาก็เจอเต่ามะเฟืองตัวหนึ่งว่ายผ่านมา เหล่าแมวน้ำต่างหลีกทาง ไม่ได้หาเรื่องอะไรกับเต่ามะเฟืองตัวนั้น

เห็นแบบนั้นใจเขาก็คิดได้แล้วเสนอขึ้น “ผมจำได้ว่าแมวน้ำไม่รุกรานอาณาเขตของพวกเต่ามะเฟือง เอาแบบนี้แล้วกัน มา เราเอาพวกมันไปส่งอาณาเขตของเต่ามะเฟือง แบบนี้พวกแมวน้ำก็จะไม่เข้าใกล้ นิสัยของเต่ามะเฟืองคุณก็รู้ดี”

วินนี่คิดว่าก็เป็นวิธีที่ดีจึงยกถังน้ำเดินเลียบชายหาดไปทางตะวันออก อาณาเขตเต่ามะเฟืองอยู่ที่เขตทะเลตะวันออกของฟาร์มปลาต้าฉิน ใกล้กับแม่น้ำสายเล็กปากอ่าวที่เขาสูง อาศัยอยู่กับเต่าลายจุด

เธอเดินไปเรื่อยๆ เหล่านากทะเลก็เดินตาม ต่อให้ตอนหลังไม่มีกุ้งกุลาแล้ว พวกนากทะเลก็ยังคงเงยหน้ามองเธออย่างคาดหวัง นากทะเลแปดสิบกว่าตัวยังเข้าแถวอีกด้วย ฉินสือโอวมองอย่างประหลาดใจ

วินนี่ยื่นมือไปจูงเถียนกวา แล้วก็ถือโอกาสสอนเธอไปด้วยระหว่างทาง “เห็นไหมลูก ต่อไปห้ามเป็นจอมตะกละรู้ไหม? เพื่อนตัวน้อยพวกนี้เป็นจอมตะกละ หนูดูสิแม่แค่ใช้กุ้งก็ล่อพวกมันได้แล้ว จอมตะกละโง่มากใช่ไหม?”

สาวน้อยพยักหน้าอย่างงงๆ ตาโตกะพริบปริบๆ ด้วยความสับสน แม่พูดว่าอะไร ทำไมฟังไม่รู้เรื่อง?

ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่าวิธีของฉินสือโอวใช้ได้ผล พอพวกนากทะเลมาถึงเขตทะเลที่เต่ามะเฟืองอาศัยอยู่ ฝูงแมวน้ำก็หยุดตาม ราชาแมวน้ำกับภรรยาและสนมเอวใหญ่ของมันเดิมทีก็ไม่พอใจ แต่หลังจากที่พวกมันเข้าอาณาเขตเต่ามะเฟือง นิโคลัส จอชก็รีบปรี่เข้ามาต้อนรับ ว่าไงเพื่อนฝูง จะหาเรื่องอีกหรือไง? ยังอยากจะมีเรื่องใช่ไหม? ยังอยากเปิดศึกสองเผ่าอีกใช่ไหม?

ราชาแมวน้ำเพิ่งผ่านศึกมา คราวนี้ลูกน้องหลายตัวยังหัวร้างข้างแตกอีก ดังนั้นพอพวกเต่ามะเฟืองเข้ามาใกล้ด้วยท่าทีคุกคาม พวกมันก็รีบหันหัวเรือหนีทันที

วินนี่เล่นกับพวกนากทะเลครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินจากไป เหล่านากทะเลก็ยืนขึ้นมาแล้วเดินตามเธอต้อยๆ

วินนี่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เธอชี้ไปที่ทะเลพลางพูดว่า “พวกเธอไปตรงนั้นสิ ตรงนั้นถึงจะเป็นบ้านของพวกเธอ”

พวกนากทะเลกะพริบตาปริบๆ พอวินนี่ไป พวกมันก็เดินตามอีก

วินนี่ก็ยื่นมือชี้ไปทางทะเล คราวนี้นากทะเลที่นำหน้าสองสามตัวพากันเอาอุ้งมือปิดตา เหมือนกำลังบอกว่าฉันไม่ฟัง ฉันไม่ดู ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่สน…

เห็นภาพนั้น ฉินสือโอวก็อดสงสัยสิ่งที่เพิ่งรู้มาไม่ได้ นากทะเลพวกนี้เอาอุ้งมือขึ้นมาปิดตาเพราะอุ้งมือเย็นจริงเหรอ?

เห็นได้ชัดว่าวินนี่ไม่รู้เรื่องนี้ ภาพพวกนากทะเลใช้อุ้งมือปิดตาน่ารักมากเลย โดยเฉพาะที่ตอนนี้ในท้องเธอมีลูก กำลังเป็นช่วงที่ความเป็นแม่เธอพลุ่งพล่าน ครู่เดียวก็สงสาร จะพานากพวกนี้กลับวิลล่าด้วย

ฉินสือโอวเกือบจะตกใจฉี่ราด ตาย นี่ไม่ใช่นากตัวเดียว ไม่ใช่นากสองตัว ไม่ใช่นากห้าตัว นี่มันนากทะเล 84 ตัว! จะเอากลับเข้าบ้านได้อย่างไร? แค่อึที่เจ้าพวกนี้ถ่ายออกมาในวันเดียวก็ทำเอาบ้านกลายเป็นบ่อเกรอะได้เลย

“คุณอยากให้ลูกสาวเราสาวบ่อเกรอะเหรอ?” ท่านชายฉินพูดอย่างอึ้งๆ “คุณรู้ไหมว่าอึของนากทะเลกลิ่นแรงแค่ไหน? ไอ้สิ่งนี้มันเครื่องจักรผลิตอึ ไม่ได้เด็ดขาด คุณยอมให้ลูกเป็นสาวบ่อเกรอะได้ แต่ผมทนไม่ได้หรอก”

“งั้นก็ให้พวกกอร์ดอนเป็นหนุ่มบ่อเกรอะก็ได้?” วินนี่เสนอไอเดีย

ฉินสือโอวส่ายหน้า “ปล่อยพวกเขาไปเถอะ เดี๋ยวจะเปิดเทอมแล้ว เราก็อย่าไปทำให้เด็กน่าสงสารพวกนี้ลำบากเลย”

ที่จริงวินนี่ก็แค่เกิดความคิดนี้ชั่ววูบเพราะความใจอ่อน หลังจากนั้นเธอก็ได้สติลงแล้วพาพวกนากไปที่ริมทะเล ฉินสือโอวรีบใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนล้อมปูกุ้งหอยรอบด้าน แล้วม้วนซัดเข้ามาที่เขตก้นทะเลชายฝั่ง แบบนี้พวกนากลงทะเล จู่ๆ ก็เจออาหารมากมายขนาดนี้ ในที่สุดก็ไม่ติดวินนี่แล้ว

สุดท้ายวินนี่ก็โบกมือลาฝูงนากทะเลด้วยความอาลัยอาวรณ์ ครอบครัวสามคนพาหมาเดินจากไปจากชายหาด ฉินสือโอวห่วงว่าฝูงแมวน้ำจะโจมตีเข้ามา เลยทิ้งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนไว้คอยคุมที่นี่

ปรากฏว่าเหล่าแมวน้ำไม่ได้มาทางนี้ ตอนนี้พวกมันก็ไม่มีเวลามาสนใจหาเรื่องนากทะเล เพราะพวกมันเจอปัญหาเสียเอง ตอนที่เฮยป้าหวังนำฉลามขาวยักษ์ในบัญชามาลาดตระเวนก็เจอกับแมวน้ำสองสามตัวเลยอ้าปากจัดการกับพวกมัน จากนั้นคงรู้สึกว่าเนื้อเยอะรสอร่อย ไม่คิดว่าจะหาทางมาจนได้ ราชาแมวน้ำกำลังพาชายาแสนสวยกับสนมแสนงามและลูกน้องต่างๆ มาต่อกรกับฉลามขาวยักษ์

ฉินสือโอวไม่ได้สนใจการปะทะของทั้งสองฝ่าย นี่เป็นเรื่องเลี่ยงยาก เขาไม่มีทางปล่อยให้แมวน้ำมาแพร่พันธุ์ในฟาร์มปลาตามใจชอบแน่ ถ้าไม่มีศัตรูธรรมชาติ พวกแมวน้ำจะแพร่พันธุ์ได้น่ากลัวมาก แบบนี้จะความเสียหายที่จะก่อต่อฟาร์มปลาน่ากลัวมากกว่า

ฉลามขาวยักษ์จะเป็นข้อจำกัดของแมวน้ำ อีกอย่างพวกมันยังลดความเสียหายต่อฟาร์มปลาโดยการกินแมวน้ำเป็นอาหารด้วย

กลางเดือนกันยายนงานประมูลฤดูใบไม้ร่วงที่บริษัทจัดประมูลริชชี่เตรียมมาเป็นครึ่งปีก็เริ่มขึ้น เมื่อตอนงานประมูลฤดูใบไม้ผลิฉินสือโอวไม่ได้เข้าร่วม ความเกี่ยวข้องกับตัวเขาไม่มาก มีแค่ไม้พาโลซานโตที่เป็นของเขา งานประมูลฤดูใบไม้ร่วงคราวนี้เพราะมีสมบัติซากเรือโจรสลัดขวานดำ แถมสมบัติพวกนี้เป็นของสำคัญ เบลคก็เลยชวนเขาไป

ดังนั้นฉินสือโอวจึงโทรหาเหมาเหว่ยหลงแล้วถามว่า “ช่วงนี้แกว่างไหม? จะพาแกไปโทรอนโตร่วมงานประมูลหน่อย พวกเราสองคนไม่ได้เจอกันนานแล้ว มาเจอกันพอดีเลย”

ทางเหมาเหว่ยหลงฟังแล้วก็เหนื่อย “ฉันไปไม่ได้ เพื่อน ช่วงนี้ยุ่งมาก ต้องเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง! ไม่ก็แกไปโทรอนโตคนเดียวเถอะ ตอนขากลับก็ถือโอกาสมาแวะบ้านฉันหน่อย บ้านฉันมีเนื้อวัวแกะกับพืชผักที่สดที่สุด อีกอย่างฉันปลูกข้าวสาลีหมักเบียร์ แกมาชิมสิ”

ฉินสือโอวจึงพูดว่า “ได้ ฉันจะพาวินนี่กับลูกสาวไปด้วยกัน วินนี่ก็ไม่ได้พักผ่อนมานานแล้ว”

งานประมูลจะจัดขึ้นในสุดสัปดาห์แรกของกลางเดือนกันยายน เพราะจุดสำคัญของงานประมูลครั้งนี้คือสมบัติโจรสลัดที่เป็นประเด็นดังก่อนหน้านี้ ตระกูลเบลคอยากจะถือโอกาสขยายอิทธิพล อนุญาตให้คนทั่วไปชมงานประมูล เพราะฉะนั้นเลยกำหนดเวลาเป็นสุดสัปดาห์

ฉินสือโอวบอกกับวินนี่ วินนี่ก็พูดอย่างลำบากใจ “ยังมีงานนิดหน่อยน่ะ”

ท่านชายฉินจูบแก้มนวลเนียนของเธอแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “ที่รัก คุณจะเหนื่อยเกินไปไม่ได้ ต้องพักผ่อนบ้าง ลาหยุดสั้นๆ สักห้าวันเถอะ พวกเราไปอยู่ฟาร์มของโคโกโร่สักสองสามวันกัน”

วินนี่ลูบท้องที่เริ่มยื่นออกมาแล้วก็ยิ้มหวานรับ ที่จริงงานในเมืองก็มีแค่เท่านั้น เธอคุมงานผ่านโทรศัพท์ก็ได้

วันศุกร์ ฉินสือโอวก็นั่งดอลฟินAS365 เฮลิคอปเตอร์รุ่นนี้มีข้อดีอยู่ที่จอดสะดวก ดอลฟินลำใหญ่บินมาโทรอนโตไม่สะดวก อีกอย่างคราวนี้มีพวกเขาสามคนกับยาม ก็เป็นห้าคน ดอลฟินลำเล็กก็พอ

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท