ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1786 วันครบรอบวันแต่งงาน

บทที่ 1786 วันครบรอบวันแต่งงาน

เมื่อเห็นตั๋วตั่วกับเถียนกวากินเนื้อฟักทองอย่างเอร็ดอร่อย ฉินสือโอวก็วางใจ และเตรียมหั่นอีกชิ้นให้ตัวเองชิม

เวลานี้สายของวินนี่ก็โทรเข้ามา และพูดว่า “คุณมาหาคุณลุงฮิคสันที่นี่ที มีเรื่องนิดหน่อย”

ฉินสือโอวตะโกนเรียกนีลเซ็นเข้ามาดูแลตั๋วตั่วกับเถียนกวา ส่วนเขาก็รีบขับรถเข้าไปในเมือง

เทียบกับตอนที่เขาเพิ่งมาถึง ตอนนี้เมืองเปลี่ยนไปเยอะมาก ก่อนหน้านี้ยังเป็นเมืองร้าง ตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาเมืองหนึ่งเลย และไม่ใช่แค่คนเท่านั้น ยังมีรถ พูดชัดๆ ก็คือรถม้า

ทัวร์รถม้าในเมืองนี้เป็นอีเวนท์ที่ได้รับความนิยมมาก รถม้าพวกนี้มีสไตล์ที่แตกต่างกัน มีสไตล์ราชวงศ์ยุโรปโบราณสมัยศตวรรษที่ 11 กับ 12 มีสไตล์ต่อสู้ในยุคกลางสมัยศตวรรษที่ 14 กับ 15 และก็มีสไตล์ขุนนางสมัยใหม่ สรุปรถม้าพวกนี้ล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี

ราคานั่งรถม้าค่อนข้างเป็นธรรม ปกติรถหนึ่งคันสามารถรองรับครอบครัว 4 คนได้ และนั่งรถม้าเที่ยวชมได้ 1 ชั่วโมงวนรอบเมืองชมสถานที่น่าสนใจได้ 1 รอบ ซึ่งราคาก็อยู่ที่ 100 ดอลลาร์แคนาดา สำหรับการท่องเที่ยวในแคนาดานี่คือราคาที่ค่อนข้างดีและถูก และนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ได้รับความนิยมเหมือนกัน

วินนี่ไม่ได้ตั้งราคารถม้าสูงเกินไป สาเหตุคือเธอต้องการใช้สิ่งนี้มาเสนอตำแหน่งงาน เกาะเล็กๆ พื้นที่ไม่ใหญ่มาก ไม่สามารถพัฒนารถโดยสารประจำทางกับรถแท็กซี่ได้ จึงต้องใช้รถม้าแทน แต่คนคุมรถม้ากับคนเลี้ยงม้าเป็นตำแหน่งที่ต้องการเยอะมาก

ฉินสือโอวขับรถไปตามเส้นทางบนถนน ถนนสายหลักยาว 2 กิโลเมตร ตอนเขามาที่นี่ครั้งแรกมีร้านค้าอยู่หร็อมแหร็ม แถมถนนสายนี้ก็ใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย แต่ตอนนี้ใช้ได้แล้ว ทั้งสองฝั่งมีร้านค้ากระจายอยู่ทั่ว พ่อค้าหาบเร่บางรายก็ตั้งร้านอยู่ริมถนน

หลังจากรถจอดที่ประตูร้านอาหารของคุณลุงฮิคสัน ชายชรากำลังพูดคุยอยู่กับคนหนุ่มสาวที่แต่งตัวเป็นนักท่องเที่ยวสองสามคน น้ำลายสาดกระเซ็น และเต็มไปด้วยพลัง ราวกับกำลังตัดสินทุกอย่าง ถ้าเป็นไปได้ ท่านชายฉินไม่อาจแข็งใจเข้าไปขัดจังหวะการพูดคุยของคุณลุงได้จริงๆ แต่เขาต้องตามหาวินนี่ และเมื่อสักครู่เขาโทรหาวินนี่แล้ว ไม่มีคนรับสาย

ไม่จำเป็นต้องให้เขาขัดจังหวะ หลังจากเห็นตัวเขา คุณลุงฮิคสันก็ยิ้มและทำท่าทาง ชี้ไปที่สวนของเขาเอง

ฉินสือโอวประหลาดใจ สวนตั้งอยู่ที่ด้านหลังร้านอาหาร ตอนที่เขาเดินผ่านนักท่องเที่ยวสองสามคนให้ความสนใจเขา และวิ่งเข้ามาหาเขาเพราะต้องการถ่ายรูป และบอกว่าเขาเป็นคนดังเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ และยังมีคนถามอีกว่าได้พาหมาน้อยน่ารักของเขาหู่จือกับเป้าจือมาด้วยหรือเปล่า

นี่ทำให้ท่านชายฉินไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี หมาน้อยน่ารักอะไรกัน หู่จือกับเป้าจือเป็นสุนัขพันธุ์แลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ที่โตเต็มวัยแล้ว ตอนนี้พวกมันไม่น่ารักเลยสักนิด กลับดุร้ายเสียด้วยซ้ำ

เมื่อเดินมาถึงสวน ฉินสือโอวก็เห็นโต๊ะอาหารสไตล์ตะวันตกที่ปูด้วยผ้าเช็ดปากสีขาวสะอาดก่อน บนโต๊ะมีเชิงเทียนกับเทียนที่ยังไม่ได้จุด มีดอกกุหลาบแดงที่สวยงาม และมีไวน์องุ่น 2 แก้ว วินนี่นั่งอยู่ท้ายโต๊ะยาวและยิ้มหวานให้เขา “ที่รัก ยังจำได้ไหมว่าวันนี้เป็นวันอะไร?”

แน่นอนฉินสือโอวจำได้ เขาเดินเข้าไปสวมกอดวินนี่ และพูดว่า “นี่เป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตของผม ผมจะลืมได้อย่างไร? แต่ขอโทษจริงๆ นึกไม่ถึงว่าคุณจะมาเตรียมมื้อค่ำในวันครบรอบวันแต่งงานของพวกเรา”

วินนี่ฝังใบหน้าอันทรงเสน่ห์ของเธอลงบนหน้าอกของเขา และพูดเสียงเบาๆ ว่า “จุ๊ๆ เสียงเบาหน่อย อย่าให้ลูกสาวกับพวกเด็กๆ ได้ยิน คืนนี้พวกเราจะใช้วันหยุดของพวกเราเอง โดยไม่พาพวกเขาไปเที่ยว นอกจากนั้น มีอะไรต้องขอโทษ? คุณทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อฉัน สิ่งที่ฉันทำเพื่อคุณมันน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ”

ช่วงที่ฉินสือโอวไปลากฟักทองคือช่วงบ่าย เขาจึงมาถึงร้านอาหารในเมืองล่าช้าแบบนี้ เวลาก็ใกล้จะค่ำแล้ว เขากอดวินนี่และมองไปที่ขอบฟ้า ประจวบเหมาะกับที่มีแสงของพระอาทิตย์ตกสีแดงกำลังสาดส่อง เหมือนไฟที่แผดเผา จนน่าทึ่ง

อาหารเย็นเป็นอาหารที่คุณลุงฮิคสันตั้งใจเตรียมให้อย่างพิถีพิถัน บนโต๊ะมีกระเช้าดอกไม้สวยงามตั้งอยู่ ด้านในมีขนมปังกับครัวซองต์ชิ้นเล็ก ซึ่งเป็นของที่เพิ่งจะอบออกมา จึงมีกลิ่นข้าวสาลีที่หอมหวน ถ้าไม่เข้าใจ ฉินสือโอวจะหยิบขนมปังที่กลิ่นแปลกใหม่พวกนี้ขึ้นมาและเริ่มกินอย่างแน่นอน อันที่จริงมันเป็นของที่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ ไม่จำเป็นต้องนำมากิน แค่ใช้เพื่อนประดับโต๊ะอาหารเท่านั้น

อาหารจานแรกเป็นออเดิร์ฟ ชายชราใช้ออเดิร์ฟเย็นอย่าง ฟัวร์กราส์กับแซลมอนรมควัน รสชาติเปรี้ยว เค็มและเผ็ดนิดหน่อย เป็นการกระตุ้นความอยากอาหารที่ดีมาก

อาหารจานที่สองคือซุป ชายชราใช้ซุปอีกแล้ว เป็นซุปเย็นแบบรัสเซีย นี่เป็นวิธีกินที่ค่อนข้างหายาก ตอนชายชราเสิร์ฟอาหารบนใบหน้าก็มีสีหน้าที่ภาคภูมิใจ เห็นได้ชัดว่าเขาเคยปรึกษากับวินนี่ อาหารพวกนี้เป็นอาหารที่คัดเลือกมาเป็นพิเศษทุกจาน

ซุปเย็นแบบรัสเซียคู่กับครัวซองต์เป็นอาหารที่ดีมาก น่าเสียดายที่ขนมปังพวกนี้มีไว้ดูแต่ไม่ได้มีไว้กิน ฉินสือโอวแสดงความรักผ่านทางสายตากับวินนี่ไปด้วย และแอบถอนหายใจไปด้วย คืนนี้หู่จือกับเป้าจือคงจะกินไปบ้างแล้ว

อาหารจานที่สามเป็นเครื่องเคียง ด้านในจานมีเนื้อปลาทูน่าครีบเหลืองที่เป็นประกายใสอยู่สองสามชิ้น ด้านข้างมีวาซาบิกับมิโซะ แต่อีกด้านหนึ่งกลับวางไข่นกที่อวบอ้วนไว้ห้าหกฟอง ฉินสือโอวชิมแล้ว เนื้อปลาทูน่านี้เป็นผลผลิตจากฟาร์มปลา คุณภาพของเนื้อนั้นแน่นและมีรสเค็มนิดหน่อย ด้านล่างมีก้อนน้ำแข็งบางๆ ใส่ไว้ แบบนี้จิ้มกับวาซาบิอีก ความรู้สึกมีแค่อย่างเดียวคือ สดชื่น!

จานต่อมาเป็นอาหารจานหลัก นี่ถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของอาหารเย็น สเต๊กราดซอสที่เรียบง่าย คุณลุงฮิคสันใช้ซอสที่เข้มข้นเข้ากัน แต่รสชาติกลับธรรมดาๆ หลักๆ เป็นเพราะก่อนหน้านี้ฉินสือโอวกินเนื้อสเต๊กจากฟาร์มของเหมาเหว่ยหลงเป็นประจำ และเนื้อแกะเนื้อวัวของเขารสชาติดีกว่าเนื้อแกะเนื้อวัวทั่วๆ ไป ที่ขายข้างนอกมาก ปากเรื่องมาก

แน่นอนว่าท่านชายฉินจะไม่พูดอะไรโง่ๆ ออกมาอย่าง เขาไม่ค่อยชอบกินอาหารตะวันตก อาหารตะวันตกไม่อร่อยเท่าอาหารจีน แต่ที่กินอาหารมื้อนี้เป็นเรื่องของความรู้สึก นี่คืองานเลี้ยงวันครบรอบวันแต่งงานที่วินนี่เตรียมไว้ให้เขาด้วยความเอาใจใส่ เขาต้องให้ความร่วมมือ

วินนี่รู้จักเขาเป็นอย่างดี เธอให้ความสนใจฉินสือโอวอย่างใกล้ชิดมาตลอด เมื่อเห็นเขาเลิกคิ้ว เธอจึงเดาความคิดของเขา และพูดเชิงรุก “รสชาติของเนื้อธรรมดาๆ ใช่ไหม?”

ท่านชายฉินรีบแสดงสีหน้าที่อ่อนหวาน และมองวินนี่อย่างอ่อนโยน “ที่ผมกินไม่ใช่รสชาติของเนื้อ แต่เป็นความรู้สึกของความสุข คุณวางมีดกับส้อมลงก่อนได้ไหม? ที่รัก การปกป้องประชาชนสำคัญกว่าการปกป้องแม่น้ำนะ”

วินนี่ยิ้มอย่างพึงพอใจ และวางส้อมกับมีดที่เตรียมจะเขวี้ยงออกไปลง “ความจริงฉันก็รู้สึกว่าเนื้อชิ้นนี้ไม่อร่อยเท่าไหร่ มาเถอะ มาทานของหวานกัน”

ของหวานกับเครื่องดื่มเป็นของที่เสิร์ฟพร้อมกันหลังอาหาร ของหวานคือพุดดิ้งครีมกับคุกกี้ชิ้นเล็กๆ แต่เครื่องดื่มกลับเป็นชาดำ แน่นอนว่าเป็นชาดำสไตล์ยุโรปที่หวานมาก

ฉินสือโอวไม่เข้าใจ ทำไมคนต่างชาติดื่มชาดำต้องชงหวานขนาดนี้? แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะเขาไม่ค่อยชอบเครื่องดื่มกับอาหารที่เป็นรสหวาน

หลังจากกินอาหารเสร็จดวงจันทร์ก็ส่องแสงอยู่บนฟ้าพร้อมกับดวงดาวที่หายาก อาหารตะวันตกไม่ว่าจะทำ เตรียมหรือกินก็ค่อนข้างยุ่งยาก นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ฉินสือโอวไม่ชอบ สุดท้ายเขาเก็บจานอาหารกับถ้วยชา คุณลุงฮิคสันเห็นจึงบอกให้เขาวางลงไม่ต้องทำ เขารับลูกค้าเสร็จจะมาเก็บเอง

ฉินสือโอวแปลกใจมาก จึงถามว่า “คุณลุง เวลานี้ลูกค้าเยอะมาก ทำไมคุณไม่จ้างพนักงานเสิร์ฟล่ะ? ผมคิดว่าความสามารถในการทำเงินของร้านอาหารสามารถเลี้ยงพนักงานได้หลายคนเลยไม่ใช่เหรอ?”

ชายชรายิ้มอย่างมีความสุข “ไม่ ไม่จำเป็น ฉันชอบความรู้สึกที่ได้จัดการร้านอาหาร จัดการทุกอย่าง ฉันไม่อยากให้ใครเข้ามาในอาณาจักรของฉัน”

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท