ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1792 เรียกคืนความยุติธรรม

บทที่ 1792 เรียกคืนความยุติธรรม

แลนซ์เข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นทันที เขาพูดอย่างรู้สึกผิด “เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร? ใช่ครับ ค่าแรงของคนงานผมเป็นคนออก แต่ผมไม่ได้ออกให้พวกเขาโดยตรง ตอนนี้พวกเขาติดอยู่ภายใต้โครงสร้างการรับพนักงานของบริษัทรับจัดหางานเรนโบว์ ผมจ่ายค่าแรงให้กับบริษัทจัดหางาน ยิ่งไปกว่านั้นคุณสามารถถามเจ้าเกิงได้ เขาจะตรวจสอบปัญหาด้านการเงินให้อีกครั้ง”

ฟาร์มปลาโกลเด้นเบย์เป็นฟาร์มปลาที่แลนซ์กับเจ้าเกิงรับผิดชอบร่วมกัน แต่เมื่อสองสามวันก่อนเกิงจุนเจี๋ยกลับบ้านไปเยี่ยมครอบครัวพอดี ถ้าเขาไม่อยู่ก็เป็นแลนซ์ที่รับผิดชอบทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว

ฉินสือโอวแอบถือว่าเกิงจุนเจี๋ยดวงดีมากหาเวลากลับไปเยี่ยมครอบครัวได้ดี ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องถามหัวหน้างานคนนี้ของเขาแน่ว่าเป็นอย่างไร เขาวางแผนให้เกิงจุนเจี๋ยอยู่ที่นี่เพื่อนำทีม เพราะอยากให้เขาแสดงความสามารถในฐานะเพื่อนชาวจีนและเข้าใจความคิดกับลักษณะของคนงานได้ทัน ผลคือในหมู่คนงานเกิดเรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้ เขาไม่ได้สังเกตเห็นด้วยซ้ำ การละเลยหน้าที่นั้นร้ายแรง

แต่เมื่อได้ยินแลนซ์พูดแบบนี้ สีหน้าของฉินสือโอวก็ผ่อนคลายขึ้น เขายังเชื่อใจแลนซ์กับเกิงจุนเจี๋ย และยังพูดอีกว่าเขาไม่เชื่อว่า 2 คนนี้จะกล้าบ้าบิ่นขนาดนี้ โกงเงินค่าแรงของพนักงาน นิสัยของแลนซ์กับเกิงจุนเจี๋ยค่อนข้างซื่อสัตย์ ถ้าพวกเขาต้องการเงินมากขึ้นก็จะมาคุยเรื่องขึ้นเงินเดือนกับฉินสือโอวโดยตรง และจะไม่ทำเรื่องที่น่ารังเกียจแบบนี้แน่นอน

เพื่อความปลอดภัย ฉินสือโอวยังโทรถามเรื่องนี้กับเกิงจุนเจี๋ยอีกด้วย เกิงจุนเจี๋ยอธิบายอยู่ในสาย เขาพูดว่าทุกครั้งที่จ่ายค่าแรงให้พนักงาน เขากับแลนซ์จะตรวจสอบทุกครั้ง ค่าแรงก้อนนี้ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องสภาพจิตใจของพนักงานเก่า เขาบอกว่าเขาเคยพบว่าคนพวกนี้มีปัญหา แต่ตอนที่รู้พวกเขาไม่ยอมพูด พูดจาคลุมเครือ ต่อมาก็จบลงโดยไม่มีอะไร

ในเมื่อค่าแรงของคนงานทางด้านฟาร์มปลาไม่มีปัญหา อย่างนั้นปัญหาก็อยู่ที่บริษัทรับจัดหางานเรนโบว์แล้ว มันต้องเกี่ยวข้องกับนิสัยขี้เหนียวของเจ้านายชาวยิวที่บริษัทแห่งนี้แน่ เพราะเขาสามารถทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้จริงๆ

หลังจากวางสายของเกิงจุนเจี๋ย ฉินสือโอวก็โทรไปหาเจ้านายชาวยิวอีก เจ้านายคนนี้ชื่อบรันท์ คาร์ล หลังจากรับสายเขาก็รีบพูดด้วยน้ำเสียงที่กระตือรือร้น “เฮ้ ฉิน เพื่อนที่แสนดีของฉัน ได้รับโทรศัพท์จากนายทำให้ฉันรู้สึกเซอร์ไพรส์จริงๆ ให้ฉันเดานะเป้าหมายที่นายโทรมาก็คือต้องการคนงานเพิ่มใช่ไหม?”

ฉินสือโอวไม่แสร้งทำเป็นสุภาพกับเขา หลังจากทักทายอย่างเรียบง่ายก็พูดว่า “บรันท์ ฉันอยากรู้ว่าคุณค่าแรงที่นายให้คนงานที่ฟาร์มปลาของฉันคือเท่าไหร่ นายบอกฉันได้ไหม?”

เสียงหัวเราะอันสดใสของบรันท์หยุดลง หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “ขอโทษนะ ฉิน ค่าแรงที่ได้รับมาตลอดเป็นความลับของบริษัท เฮ้ บอกฉันทีตอนนี้นายอยู่ที่ไหน? อยู่เมืองมาร์กาเร็ตเหรอ? งั้นพวกเราก็อยู่ใกล้กันมาก มาเที่ยวกับฉันที่นี่สิ ฉันเพิ่งจะได้ชาดีๆ มาจำนวนหนึ่ง อยากให้พวกเรามาลองชิมดูว่ามันเป็นอย่างไร?”

ฉินสือโอวพูดเสียงแข็ง “เรื่องดื่มชาไว้ทีหลังฉันจะพูดอีกครั้ง ตอนนี้ฉันแค่อยากรู้ว่า ทำไมค่าแรงที่คนงานของฉันได้รับไม่เท่ากับที่ระบุในสัญญาเมื่อตอนนั้น?”

บรันท์กระแอม และหัวเราแห้ง “อย่ากังวล ฉิน ระหว่างพวกเราอาจจะมีความเข้าใจผิดกัน นายพูดถึงค่าแรงอะไรนะ? ค่าแรงของคนงานใช่ไหม? ฉันไม่ได้จ่ายค่าแรงของพวกเขาช้า กรมสรรพากรกับทะเบียนประกันสังคมสามารถพิสูจน์ได้ โอ้ ตอนนี้ฉันมีงานนิดหน่อย อีกสักครู่พวกเราค่อยติดต่อกันอีกครั้งดีไหม?”

เขาไม่รอฉินสือโอวพูด บรันท์วางสายไปในทันที ฉินสือโอวโทรไปอีกครั้ง สายก็เป็นเสียงสัญญาณไม่ว่างแล้ว ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะกินปูนร้อนท้อง จึงไม่กล้ารับโทรศัพท์ของเขา

ฉินสือโอวรู้สึกโกรธมาก ชายชาวยิวคนนี้กลั่นแกล้งคนของเขาเสร็จสรรพ เขาไม่เคยคิดว่าบริษัทรับจัดหางานพวกนี้จะแย่ขนาดนี้ นึกไม่ถึงว่าจะทำธุรกิจเอเยนต์ผิดกฎหมาย หลายเดือนมานี้เขาหักเงิน 1 พันดอลลาร์ของคนงานทุกคน คนงาน 60 คนก็เป็นเงิน 6 หมื่นดอลลาร์ ซึ่งก็เป็นรายได้ที่ไม่น้อย

ความจริงสำหรับคนงานที่ไปทำงานแบกหามในต่างประเทศ เอเยนต์แบบนี้พบเห็นได้ทั่วไปมาก ถ้ามาหางานผ่านบริษัทเอเจนซี่ นั่นหายากมากที่จะไม่ถูกหักค่าแรง แต่ฉินสือโอวให้ผลประโยชน์บรันท์เพียงพอแล้ว เพราะคนงานพวกนี้ทำงานอยู่ภายใต้บริษัทรับจัดหางานของเขา ฉินสือโอวจึงต้องจ่ายค่าเข้าร่วม 400 ดอลลาร์สำหรับทุกคนให้เขาทุกเดือน

ผลคือ ชายคนนี้กลับวางแผนไว้บลาๆๆ กินทั้งสองทาง กินทั้งเจ้านายกินทั้งคนงาน

หลังจากเก็บโทรศัพท์ ฉินสือโอวก็พูดกับคนงานที่รออยู่รอบๆ “ทุกคนไปพักผ่อนก่อน เรื่องนี้ฉันจะให้คำตอบที่น่าพึงพอใจกับพวกนายแน่ วางใจเถอะ ส่วนค่าแรงของพวกนายจะไม่ขาดสักเหรียญ ค่าแรงจะต้องเป็นไปตามสัญญาจ้างที่ทำไว้แน่นอน”

คนงานวัยกลางคนที่เป็นผู้นำพูดคุยพูดอย่างเขินอาย “บอส ดูเหมือนว่าที่เขียนไว้บนสัญญาเมื่อตอนนั้นจะเป็นค่าแรง 4 พัน 5 ร้อยดอลลาร์หลังหักภาษี”

ตอนนั้นฉินสือโอวไม่ได้สนใจเรื่องนี้ สัญญาจ้างของคนงานเป็นสัญญาณที่พวกเขากับบรันท์เซ็น แต่สัญญาที่บรันท์กับเขาตกลงและเซ็นนั้นไม่ผ่านคนงาน นี่ทำให้เขามีโอกาสที่จะเล่นสกปรกจากเรื่องนี้

ความจริงเรื่องนี้ยังต้องโทษฉินสือโอวอีกด้วย ตอนนั้นเพื่อลดปัญหาเขาจึงไม่ได้ติดตามการเซ็นสัญญาตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เจอปัญหาตอนนี้ก็ไม่สาย เวลาที่พวกคนงานถูกเอารัดเอาเปรียบยังไม่นาน

หัวหน้าฉินโกรธมาก และผลที่ตามมาก็ร้ายแรงมาก หลังจากคนงานแยกย้ายเขาก็ขับเฮลิคอปเตอร์บินไปที่เมืองมาร์กาเร็ต ในเวลาเดียวกันเขาก็โทรและขอให้เออร์บักช่วยเขาติดต่อทีมทนายความ และโอนนักบัญชีส่วนตัวจางเผิงเข้ามาอีก เขารู้จักนิสัยใจคอของคนอย่างบรันท์ดี และการพูดคุยด้วยเหตุผลไม่มีประโยชน์ เขาจำเป็นต้องใช้ทนายความกับนักบัญชีมาจัดการกับเขาถึงจะได้ผล

หลังจากทั้งสองฝ่ายทำงานร่วมกัน ฉินสือโอวยังคงอยากไว้หน้าบรันท์ เขาเข้าใกล้เมืองมากขึ้น หลังจากเฮลิคอปเตอร์ดอลฟินลำเล็กบินมาถึงเขาก็ไปบริษัทรับจัดหางานเรนโบว์ก่อน และตามหาบรันท์เพื่อให้เขาแก้ไขปัญหานี้

หลังจากบรันท์เห็นฉินสือโอว ดูเหมือนเขาจะจำไม่ได้ว่าพวกเขา 2 คนคุยทางโทรศัพท์กันก่อนหน้านี้ เขากอดฉินสือโอวอย่างกระตือรือร้น และดึงเขาไปที่สำนักงานอย่างต่อเนื่อง เขาพูดว่าเขาอยากดื่มชาเบาๆ และขอให้เขามาลองชิมชาชุดนี้ที่เขาได้มาว่าเป็นอย่างไร

ฉินสือโอวไม่ได้ทำลายเขาเป็นชิ้นๆ ในจุดนั้นถือว่าเป็นการไว้หน้าเขาแล้ว ใครจะมีอารมณ์ไปดื่มชากัน? เขาบอกจุดประสงค์ออกมาตรงๆ และบอกให้บรันท์คืนค่าแรงของคนงานที่โกงไปให้คนงาน

บรันท์แสดงด้านที่เจ้าเล่ห์ของเขาออกมา และพูดว่า “ฉิน นายกำลังกล่าวหาฉันอย่างผิดๆ ฉันจะโกงเงินค่าแรงของคนงานได้อย่างไร? ที่เมืองมาร์กาเร็ตใครเล่าจะไม่รู้ว่าชื่อเสียงฉันบรันท์ คาร์ลมีมากแค่ไหน? ฉันจำเป็นต้องบอกนายว่า ค่าแรงที่ฉันให้คนงานทุกคนเป็นค่าแรงที่อิงตามสัญญา”

ท่านชายฉินรู้สึกว่าความจริงตัวเองไร้ยางอายมาก แต่เมื่อเทียบกับชายชาวยิวคนนี้ เขาก็พบว่าตัวเองธรรมดาเหมือนกับดอกบัวขาวไปเลย ภูเขาลูกหนึ่งสูงกว่าภูเขาอีกลูก คนคนหนึ่งก็อันตรายกว่าคนอีกคนจริงๆ

ระหว่างคนสองคนไม่สามารถสื่อสารกันได้ บรันท์นำสัญญา 2 ฉบับออกมาให้เขาดู และบอกเขาว่าสัญญาทั้ง 2 ฉบับนั้นไม่มีปัญหา เขาทำแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดกฎหมาย ตรงกันข้ามถ้าฉินสือโอวไม่ทำตามสัญญา นั่นถึงจะผิดกฎหมาย

เมื่อคืนก่อน ทีมทนายความที่เออร์บักติดต่อมาถึงเมืองมาร์กาเร็ต ฉินสือโอวไม่ได้ขอให้ชายชรามาด้วยตัวเอง ในความคิดของเขานี่เป็นแค่เรื่องเล็กๆ ไม่จำเป็นต้องรบกวนชายชรา แค่จ้างทนายความธรรมดาๆ ก็สามารถแก้ไขปัญหาพวกนี้ได้แล้ว

และความเป็นจริงก็พิสูจน์ว่า สถานการณ์มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท