ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1796 ลมแรงขึ้น

บทที่ 1796 ลมแรงขึ้น

แผ่นไข่ทอดต้องกินในขณะที่มันยังร้อน แม่ของฉินสือโอวทำออกมาให้ฉินสือโอวลองชิมรสชาติก่อนชิ้นหนึ่ง ผลคือหู่จือกับเป้าจือได้กลิ่นหอมจึงตื่นเต้นสุดขีด พวกมันซ่อนตัวอยู่ที่ประตูและยื่นหัวออกมา แกล้งทำเป็นเขินอายมองแผ่นไข่ทอดที่อยู่ในมือฉินสือโอวจนน้ำลายไหล

ฉงต้าพุ่งเข้ามาเหมือนกับรถถัง มันผลักหู่จือกับเป้าจือเพื่อเปิดทาง และอ้าปากขออาหารอย่างไม่ปิดบัง

ฉินสือโอวตบหัวของฉงต้าและยิ้มให้พ่อกับแม่ “แผ่นไข่ทอดชิ้นนี้ต้องอร่อยแน่นอน พวกคุณดูเจ้าตัวน้อยพวกนี้สิ ปากของพวกมันจู้จี้จุกจิกมากที่สุด แผ่นไข่ทอดออกจากกระทะก็เริ่มวิ่งมา อธิบายได้ดีที่สุดว่าแผ่นไข่ทอดชิ้นนี้กลิ่นหอมมาก”

แม่ของฉินสือโอวแบ่งครึ่งแผ่นไข่ทอดอย่างมีความสุข ครึ่งหนึ่งให้ฉงต้า อีกครึ่งหนึ่งก็ฉีกแบ่งให้หู่จือกับเป้าจือ ฉินสือโอวจ้อง “แม่ ผมยังไม่ได้กินเลย!”

“ไม่ใช่ว่าฉันยังต้องทำอีกหรือไง” แม่ของฉินสือโอวกลอกตา หลังจากนั้นก็พับแขนเสื้อขึ้นและทำต่ออย่างคล่องแคล่ว

พ่อของฉินสือโอวหั่นไข่เค็ม 10 กว่าฟอง และเอาขิงฝรั่งดองออกมาอีกจาน เขาลองชิมดูและพยักหน้า “ขิงฝรั่งพันธุ์นี้อร่อย ทั้งกรอบทั้งหอม ของจากต่างประเทศก็ต้องกินที่ต่างประเทศถึงจะอร่อยใช่ไหม?”

แม่ของฉินสือโอวไม่พอใจการบูชาสินค้าจากต่างประเทศของสามีมาก จึงพูดว่า “คุณคะ พระจันทร์ของต่างประเทศน่ะกลมใช่ไหม? งั้นตดที่คนต่างชาติปล่อยออกมาก็หอมเหมือนกัน ใช่ไหม?”

พ่อของฉินสือโอวไม่พูดมาก และหยิบขิงฝรั่งชิ้นหนึ่งส่งให้เธอกินทันที แม่ของฉินสือโอวกินเสร็จก็เม้มปาก และพูดอย่างช่วยไม่ได้ “พระจันทร์ของต่างประเทศ มันก็ยังกลมจริงๆ นั่นล่ะ”

ฉินสือโอวหัวเราะ รสชาติกับแหล่งที่มาของขิงฝรั่งพันธุ์นี้ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่เป็นพลังแห่งโพไซดอนปรับเปลี่ยนมันทั้งนั้น

ในห้องครัวมีกล่องเก็บความร้อน แผ่นไข่ทอดที่แม่ของฉินสือโอวทำเสร็จแล้วก็ใส่เข้าไปในนั้น หลังจากเออร์บัก พวกเด็กๆ และเหมาเหว่ยหลงตื่นและมานั่งที่โต๊ะอาหาร ฉินสือโอวก็ถือมันขึ้นไป และมีกลิ่นหอมกรุ่นก็ระอุออกมาในทันที

เหมาเหว่ยหลงสูดจมูกและทำท่าทางน้ำลายไหลออกมา “กลิ่นหอมจริงๆ!”

ฉินสือโอวพูดอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอนอยู่แล้ว ผลงานที่ไม่เหมือนใครของแม่ฉัน แม่แกทำไม่ได้แน่นอน”

เหมาเหว่ยหลงหัวเราะ “แม่ฉันทำมิลค์เชคกับพิซซ่าได้!”

เถียนกวาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แม่หนูก็ทำได้เหมือนกัน!”

เหมาเหว่ยหลงตะลึง เขามองเด็กหญิงตัวน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆ และกำลังรอการเสิร์ฟอาหารแล้วไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี แต่ฉินสือโอวกลับมีความสุขมาก เขากอดลูกสาวและหอมแก้มอย่างแรงหนึ่งที “ม๊วฟ!”

เออร์บักนำพวกเด็กๆ กับวินนี่สวดภาวนาก่อนกินข้าวอย่างเรียบง่ายก่อน หลังจากนั้นพวกเด็กๆ ก็แสดงความขอบคุณต่อแม่ของฉินสือโอวอย่างสุภาพ เมื่อวินนี่พยักหน้า กอร์ดอน ไวส์ มิเชลก็กลายเป็นหมาบ้าและเริ่มสู้กันเพื่อแย่งแผ่นไข่ทอด “ของฉัน!” “นี่มันของฉัน!” “ทั้งหมดเป็นของฉัน!”

พยากรณ์อากาศแม่นมาก ช่วงสุดท้ายของต้นเดือนพฤศจิกายน เกล็ดหิมะเริ่มลอยลงมา เกล็ดหิมะสีขาวบริสุทธิ์ลอยอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า ลมทะเลพัดหวือ ดูเหมือนท่าทางจะหนักขึ้นเรื่อยๆ

ตอนบ่าย มีคนพูดผ่านทางวิทยุไร้สายว่าพวกเขาได้รับข่าวที่แน่นอนมาว่า สองสามวันนี้อาจจะมีพายุพัดเข้ามา ให้ทุกคนเตรียมต้านพายุให้ดี

ตอนแรกฉินสือโอวคิดว่านี่ก็แค่มีคนพูดออกไปเฉยๆ ผลคือตอนกลางคืนกรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเตือนพายุสีแดงที่นิวฟันด์แลนด์จริง ในอีก 3 วันถึง 7 วันข้างหน้า และแจ้งว่าไม่แน่นอนว่าพายุจะพัดมาถึงนครเซนต์จอห์นตอนไหน ท่าเรือจะต้องปิดในทันที ความรุนแรงของพายุครั้งนี้น่ากลัวมาก

ผลคือ กรมอุตุนิยมวิทยาหลอกลวงอีกครั้ง สองวันหลังจากนั้น ยามรุ่งสางมีพายุพัดเข้ามา ฉินสือโอวที่กำลังนอนอยู่รู้สึกว่าหน้าต่างถูกลมพัดกระแทกเสียงดังปังๆ เขาจึงรีบลุกขึ้น เวลานั้นซีมอนสเตอร์กับชาร์คออกมาเผชิญหน้ากับพายุหิมะและตรวจสอบสภาพที่ยึดเรือประมงที่ท่าเรือเรียบร้อยแล้ว

โชคดีที่พวกเขาเตรียมมาตรการรับมือล่วงหน้าไว้แล้ว เรือทุกลำใช้โซ่เหล็กยึดไว้อย่างดี อวนจับปลากับอุปกรณ์ตกปลาก็เก็บไว้ในโกดัง แบบนี้แค่ตรวจสอบนิดหน่อยก็พอ

รุ่งสางกับไม่สว่างแตกต่างกันไม่มาก เมฆดำปกคลุมหนาแน่น ไม่มีแสงแดดเลย

หลังจากกินอาหารเช้า มีคนมาหาฉินสือโอวที่นี่เพื่อยืมเฮลิคอปเตอร์ ตำรวจทะเล 2 นายพูดอย่างสุภาพว่าสองสามวันก่อนมีเรือออกทะเลไปและยังไม่กลับมา พวกเขาต้องไปคุ้มกันที่ทะเล แต่จำนวนเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจทะเลมีน้อยเกินไป จึงต้องมายืมเฮลิคอปเตอร์ของพลเรือนใช้

นี่เป็นเรื่องของการช่วยชีวิตคน ปกติฉินสือโอวจะไม่ขี้เหนียว เขายืมเฮลิคอปเตอร์ดอลฟินลำเล็กกับเฮลิคอปเตอร์เครื่องยนต์เดี่ยวรุ่นเอซี 310เอ็นออกไปทั้ง 2 ลำ แต่ตัวเองกลับพานีลเซ็นกับเบิร์ดที่กลับจากลาแต่งงานนั่งเฮลิคอปเตอร์ดอลฟินลำใหญ่ออกทะเลไปตรวจสอบ

ความเร็วของเฮลิคอปเตอร์ดอลฟินลำใหญ่นั้นเร็วที่สุด และก็เป็นเฮลิคอปเตอร์ที่ขนาดใหญ่ที่สุดและนั่งสบายที่สุดเหมือนกัน ฉินสือโอวนั่งอยู่ในห้องโดยสารมองเกล็ดหิมะที่ลอยอยู่ด้านนอก ปีกของเฮลิคอปเตอร์หมุนอย่างบ้าคลั่ง และเกล็ดหิมะที่อยู่รอบๆ ออกไป แต่ลมทะเลพัดแรงมาก ถ้าเฮลิคอปเตอร์บินต่ำเกินไปจะสั่นสะเทือนได้

ตอนที่เพิ่งจะออกทะเลเฮลิคอปเตอร์บินค่อนข้างต่ำ ฉินสือโอวนั่งติดกระจกหน้าต่างและมองออกไปข้างนอก เขาเห็นว่ามีร่องรอยของปลาค็อดกับปลาซาบะบนผิวน้ำทะเล นี่คือสัญญาที่ปรากฏขึ้นมาของพายุฝน

ถ้าเรือประมงมีแมงกะพรุน เขาก็จะได้เห็นภาพที่งดงามมากยิ่งขึ้น ตอนนั้นเขาไปที่อ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์เป็นครั้งแรก มันเป็นโอกาสดีที่เขาได้เห็นการอพยพครั้งใหญ่ของแมงกะพรุนนับสิบล้านตัว ตอนนั้นเขาเดาข่าวที่พายุจะพัดมาล่วงหน้าจากการอพยพของแมงกะพรุน จึงหลีกเลี่ยงวิกฤติครั้งนั้นได้

เมื่อความรุนแรงของพายุเพิ่มขึ้น การหมุนของปีกจึงไม่สามารถพัดเกล็ดหิมะออกไปได้ เกล็ดหิมะบางส่วนถูกลมทะเลกวาดและพัดมาที่เฮลิคอปเตอร์ มันกระแทกหน้าต่างของเฮลิคอปเตอร์จนเกิดเสียงดัง ‘แกร๊กๆ’ ราวกับมีคนใช้หินทุบเครื่องบิน

เฮลิคอปเตอร์ดอลฟินลำใหญ่ติดตั้งเรดาร์เพิ่มเอาไว้ มันคือสิ่งที่ฉินสือโอวขอติดตั้งเป็นพิเศษ แบบนี้เฮลิคอปเตอร์ก็จะหาเรือประมงที่ล่องด้วยความยากลำบากในคลื่นทะเลเจออย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นเฮลิคอปเตอร์ของพวกเขา คนที่อยู่บนเรือก็โบกมือร้องขอความช่วยเหลือ ใบหน้าของชาวประมงพวกนี้เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความกังวล เรือประมงของพวกเขาส่ายไปมาตามคลื่นยักษ์ และมีน้ำทะเลไหลเข้าไปในเรืออย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะวิกฤติมาก

นีลเซ็นถามว่า “พวกเราทำอย่างไรดีครับ? ปล่อยเชือกดึงพวกเขาขึ้นมาหรือทำอย่างไรดี? ”

ฉินสือโอวก็รู้สึกว่ายากเหมือนกัน ความจริงแค่ช่วยคนน่ะง่ายมาก แต่แบบนี้เรือประมงก็จะพัง ถ้าไม่มีคน เรือลำนี้คงจะถูกคลื่นซัดพังอย่างรวดเร็ว แต่เรือประมงถือเป็นชีวิตจิตใจของชาวประมง ในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจแย่ขนาดนี้ ถ้าเรือประมงถูกทำลาย ครอบครัวของชาวประมงพวกนั้นก็คงไม่มีลู่ทางทำมาหากินเหมือนกัน

ฉินสือโอวกัดฟันแน่นและถามเบิร์ดว่าแรงลมตอนนี้มีกี่ระดับ หลังจากนั้นก็คำนวณอยู่ในใจ และพูดว่า “นำทางเรือลำนี้กลับไป ช่วยแค่คนไม่ได้ พวกเขาไม่ยอมทิ้งเรือแน่นอน!”

การคาดเดาของเขาถูกต้อง เบิร์ดจัดทำแผนช่วยเหลือผ่านทางวิทยุไร้สาย คนที่อยู่บนเรือตะโกนอย่างสิ้นหวัง “ไม่ๆ พวกผมไม่สามารถทิ้งเรือได้ ครอบครัวของผมต้องทำมาหากิน ผมต้องพึ่งเรือทำมาหากิน!”

ไม่ใช่ทุกคนที่ร่ำรวยเหมือนฉินสือโอว ชาวประมงพวกนี้ซื้อเรือด้วยเงินกู้ ถ้าเรือถูกทำลาย พวกเขาก็ไม่มีทางพลิกตัวได้แล้ว

โชคดีที่ ถึงแม้ว่าลมจะแรงมาก แต่พายุก็ยังไม่แรงเต็มที่ เฮลิคอปเตอร์ดอลฟินลำใหญ่นำทางไปตลอดทาง ในที่สุดเรือประมงก็เข้าสู่เขตน้ำตื้นที่ฟาร์มปลาต้าฉิน เมื่อมาถึงตรงนี้เรือประมงก็ไม่อันตรายขนาดนั้นแล้ว คลื่นตรงเขตน้ำตื้นนั้นเบากว่ามาก

ประสิทธิภาพในการทำงานของเฮลิคอปเตอร์ก็ไม่ดีนัก สิ่งสำคัญคือเรือบางลำอาจจะสูญหายหลังจากที่ออกทะเลไป อันที่จริงสภาพอากาศแย่ขนาดนี้ สัญญาณของวิทยุไร้สายกับโทรศัพท์ดาวเทียมก็ไปไม่ถึงไหน ทำให้ติดต่อยาก

………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท