ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1795 แผ่นไข่ทอด

บทที่ 1795 แผ่นไข่ทอด

ช่วงปลายเดือนตุลาคมและต้นเดือนพฤศจิกายน ฝนฤดูใบไม้ร่วงตกลงมาอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง ตั้งแต่พ่อของฉินสือโอวกับแม่ของฉินสือโอวมาถึงฝนก็ตกลงมาตลอด ไม่ได้เห็นอากาศดีเลย

รัฐนิวฟันด์แลนด์ปีนี้แห้งแล้งนิดหน่อย น้ำฝนก็มีไม่มาก สองสามปีก่อนช่วงเดือนสิงหาคมกับเดือนกันยายนมีพายุฝนพัดมา แต่ปีนี้จนถึงเดือนพฤศจิกายนแล้วฝนถึงเริ่มตก และช่วงนี้อากาศก็เริ่มอุ่น ฉินสือโอวเห็นกรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ว่า อาจจะมีหิมะตกในอีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา

ช่วงกลางวันของเดือนพฤศจิกายนเริ่มสั้นลง ต้อง 6 โมงเช้าถึงจะเข้ารุ่งสาง ฉินสือโอวสวมเสื้อแขนกุดและกางเกงขาสั้นไปออกกำลังกายตอนเช้าตามปกติ เพิ่งจะวิ่งออกไปก็มีลมหนาวพัดมาปะทะหน้าแล้ว เขากระทืบเท้าซ้ำๆ อย่างรู้สึกหนาว และรีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

เขามีความมั่นใจในร่างกายของตัวเอง อากาศแบบนี้เขาคงจะไม่เป็นหวัด แต่เขาต้องระวัง ต้องทำให้มั่นใจว่าร่างกายของเขาจะปลอดภัยแน่นอนและไม่เป็นหวัด ระยะการตั้งครรภ์ของวินนี่เข้าสู่ช่วงกลางแล้ว เขาไม่ควรเป็นหวัดเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้วินนี่ติดเชื้อ

หู่จือ เป้าจือ หมาป่าขาวและกวางมูสวิ่งตามเขามา ฉงต้าหอบฮืดฮาดๆ ลุกขึ้นมามอง เมื่อตาง่วงๆ ที่ฝ้ามัวเห็นว่าท้องฟ้าด้านนอกยังไม่สว่าง จึงหาสถานที่อุ่นๆ ล้มตัวนอนอีกครั้ง หมีโลลิหาว และวิ่งตามหลุนๆ ไปล้มตัวนอนอยู่ข้างๆ มัน

เมื่อเห็นภาพนี้ฉินสือโอวก็ยิ้มออกมา อันที่จริงหมีโลลิไม่ได้ขี้เกียจ อาจจะเป็นเพราะธรรมชาติของมัน และสภาพอากาศหนาว ความมีชีวิตชีวาของมันจึงลดลงไปมาก สองสามวันที่ผ่านมามันไม่มีอารมณ์เล่นกับเถียนกวาเลย แต่ก่อนหน้านี้มันระเบิด เพราะเถียนกวาก่อกวนมันจึงเล่นด้วย

ท้องฟ้าเริ่มสว่าง ฉินสือโอววิ่งผ่านไปใต้ต้นเมเปิล เสียงกรอบแกรบดังขึ้นพอดี กระรอกน้อยตัวนุ่มนิ่มหลายตัวซ่อนอยู่บนกิ่งไม้และชะโงกหน้าออกมามองเขา

นี่คือลูกของเสี่ยวหมิง หลังจากผ่านความพยายามในฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน นางสนมทั้ง 6 ของมันก็ตั้งครรภ์และคลอดลูกหลายตัวให้มัน แม้ว่ากระรอกน้อยพวกนี้จะฉลาดและมีไหวพริบกว่ากระรอกแดงทั่วไป แต่ก็ไม่เท่ากับเสี่ยวหมิง พวกมันกลัวคนนิดหน่อย ดังนั้นจึงไม่ค่อยโผล่ออกมา

ตอนที่ฉินสือโอววิ่งผ่านก็ผิวปาก เสี่ยวหมิงได้ยินเสียงผิวปากจึงก้าวออกมาจากในฮาเร็มของมัน และกระดิกหางอย่างพอเหมาะ ราวกับผู้นำโบกมือในการเดินสวนสนาม นี่คือการทักทาย หลังจากนั้นเจ้าตัวน้อยก็กลับไปอยู่กับฮาเร็มของมันในบ้านต้นไม้

บ้านต้นไม้ที่อยู่บนต้นเมเปิลยังเป็นบ้านที่พวกเด็กๆ เตรียมไว้ให้นิมิตส์อีกด้วย ตอนนั้นนิมิตส์เพิ่งจะมาฟาร์มปลา ขาและเท้าได้รับบาดเจ็บ จึงมาพักอยู่ที่นั่นชั่วคราว ภายหลังอาการบาดเจ็บที่ขาดีขึ้น มันก็ไม่เคยเข้าไปในบ้านต้นไม้อีกเลย แต่เสี่ยวหมิงรู้สึกว่ากระท่อมนี้ไม่เลว จึงยึดมาเป็นวังของตัวเอง

เมื่อเห็นพ่อเดินจากไป พวกลูกกระรอกที่ตัวใหญ่นิดหน่อยก็กระโดดเหย็งๆ ตามหลังเข้าไปในบ้านต้นไม้ พวกมันเกลือกกลิ้งและเล่นกัน แต่ละตัวเหมือนกับลูกบอลลูกเล็กที่ขนปุย ฉินสือโอวทนไม่ไหวจึงหยุดวิ่งและมอง ราวกับว่าเห็นเสี่ยวหมิงตอนเป็นเด็ก

สองสามปีก่อน เขาเพิ่งจะมาถึงฟาร์มปลาและพักกินผลไม้ดูโทรทัศน์อยู่ในตึกเล็กๆ กระรอกน้อยตัวหนึ่งอยู่นอกหน้าต่างและมองเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น หลังจากนั้นเขาก็เปิดหน้าต่าง กระรอกน้อยกระโดดเข้ามา การพบกันโดยบังเอิญที่งดงามก็เกิดขึ้น

ตอนนี้ เวลาผ่านไป กระรอกน้อยกลายเป็นพ่อของพวกกระรอกน้อย หนุ่มโสดคนนั้นกลายเป็นสามีของหญิงสาวคนหนึ่งและกลายเป็นพ่อของลูกอีก 2 คน วิลล่าเล็กๆ ที่ทรุดโทรมและเงียบเหงาก็เปลี่ยนไปมีชีวิตชีวาขึ้นมา พวกเขาล้วนไปมีชีวิตของตัวเอง

หลังจากมองตามหลังของเสี่ยงหมิงจนหายเข้าในไปในบ้านต้นไม้อย่างมึนงง ฉินสือโอวก็ไม่รู้ว่าทำไม เขาถึงรู้สึกเศร้าขึ้นมานิดหน่อยทันที

เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ครู่หนึ่ง หู่จือกับเป้าจือตามมาอยู่ด้านซ้ายและด้านขวาด้วยอย่างเฉลียวฉลาด และใช้หัวถูกับขาทั้งสองข้างของเขาเบาๆ อย่างไร้เดียงสา เหมือนกับเด็กที่กำลังออดอ้อน

ฉินสือโอวส่ายหัวขับไล่ความเศร้าที่อธิบายไม่ได้ เขารู้สึกว่านี่อาจจะเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ ตอนนี้มันคือฤดูใบไม้ร่วง เมฆดำปกคลุมหนาแน่น ที่กล่าวมาตั้งแต่สมัยโบราณว่าเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิจะรู้สึกเศร้าและโดดเดี่ยว อารมณ์ดิ่งลงก็เป็นเรื่องปกติเหมือนกัน

เมื่อไม่อยากวิ่งอีกต่อไป เขาก็กลับวิลล่าและเริ่มเตรียมอาหารเช้า เชอร์ลี่ย์ที่สวมกระโปรงสั้นกระโดดกระเด้งลงมาชั้นล่าง ผมสีทองรวบเป็นทรงหางม้าเอียงห้อยอยู่บนไหล่ ซึ่งเด้งขึ้นลงตามร่างกายของเธอ ให้ความรู้สึกว่าคล่องแคล่วมาก

“สวัสดีตอนเช้าค่ะ ฉิน หนูมาเตรียมอาหารเช้าแล้ว” เชอร์ลี่ย์พูดอย่างคลุมเครือ เธอยังมีแปรงสีฟันอยู่ในปาก ใบหน้าสวยงามเผยให้เห็นกระนิดหน่อยเพราะไม่ได้ทาเครื่องสำอาง แต่นี่ไม่ได้ส่งผลต่อความงามของเธอ ตรงกันข้ามกลับเพิ่มเสน่ห์ที่น่าดึงดูดนิดหน่อย

ก่อนที่วินนี่จะตั้งครรภ์ ส่วนใหญ่อาหารเช้าเธอเป็นคนเตรียมและเชอร์ลี่ย์เป็นลูกมือ หลังจากตั้งครรภ์ฉินสือโอวรับผิดชอบหน้าที่ของเธอแทน และเชอร์ลี่ย์ก็มาทำอาหารเช้าด้วยกันกับเขา

“เช้าวันนี้จะทำอะไรดี?” เชอร์ลี่ย์วิ่งกลับมาอย่างรวดเร็วหลังจากบ้วนปาก เธอกระโดดไปมาอย่างคล่องแคล่วเหมือนกับกวางตัวน้อย และนั่งลงบนเก้าอี้สูงตัวหนึ่ง

ฉินสือโอวเปิดตู้เย็นดูว่ายังมีอะไรเหลือบ้าง ผลคือนอกจากไข่ นมและผลไม้ก็ไม่มีของอย่างอื่นเลย แบบนี้เขาจึงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรนิดหน่อย โชคดีที่แม่ของฉินสือโอวกับพ่อของฉินสือโอวลงมาชั้นล่างพอดี แม่ของฉินสือโอวพูดว่า “พวกแกไปเล่นเถอะ อาหารเช้าให้ฉันกับพ่อแกเตรียมเอง”

เชอร์ลี่ย์รีบโบกมือ บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวาน “ไม่ได้ค่ะ ให้หนูทำเถอะ คุณปู่คุณย่าไปพักผ่อน คุณฉินก็ไปด้วย หนูสามารถจัดการเรื่องอาหารเช้าได้”

แม่ของฉินสือโอวแสดงความสามารถในการลงมืออันเหนือมนุษย์ของเธอออกมา เธอไม่พูดอะไรเพิ่มเติมและดันทั้งสองคนออกไป หลังจากนั้นถึงจะพูดว่า “พวกแกไปยุ่งอยู่กับงานของตัวเองเถอะ นั่นอะไร ไม่ใช่ว่าเชอร์ลี่ย์จะต้องไปขี่ม้าทุกเช้าเหรอ? ไปซะๆ เรื่องในครัวให้ฉันกับตาแก่จัดการเอง”

พ่อของฉินสือโอวก็หัวเราะฮ่าๆ “พวกฉันเตรียมอาหารเช้าน่ะดีแล้ว พวกแกไม่รู้เหรอ หญิงชราคนนี้อยากทำอาหารให้ลูกๆ มานานแล้ว ในที่สุดก็คว้าโอกาสไว้ได้ พวกฉันจะพลาดได้อย่างไร?”

ฉินสือโอวพยักหน้าและบอกให้เชอร์ลี่ย์ออกไป เขาอยู่ในห้องครัวกับพ่อและแม่ แม่ของฉินสือโอวดูตู้เย็น และไตร่ตรองพักหนึ่ง “แบบนี้ ตอนเช้าพวกเรามาทำแพนเค้กกินกันเถอะ ฉันจะต้มโจ๊กแปดทรัพย์อีกอย่าง มีไข่เค็ม แค่นี้สารอาหารก็เพียงพอแล้ว”

ฉินสือโอวบอกว่าโอเค ความจริงแพนเค้กที่แม่ของฉินสือโอวทำคล้ายกับแผ่นไข่ทอดมากกว่า เมื่อตอนเป็นเด็กแม่ทำให้เขาเพื่อบรรเทาความหิวโดยเฉพาะ ซึ่งเนื้อมีไม่มากและน้ำมันก็มีไม่มากเช่นกัน บางครั้งแม่ของฉินสือโอวก็นำไข่ 2 ฟองมารวมกัน และใช้หม้อใบใหญ่ทำแผ่นไข่ทอดให้เขากับพี่สาวกินแก้หิว

ไข่ไก่ ไข่เป็ด ไข่ห่านและไข่นกที่ฟาร์มปลามีเยอะมาก แม่ของฉินสือโอวใช้ไข่นกของนกจมูกหลอดหางสั้น ถึงอย่างไรมันก็เป็นไข่ของนกป่า ทอดแล้วกลิ่นหอมกว่าไข่ไก่มาก แต่เพราะมีขนาดเล็กเกินไป ดังนั้นถ้าเอาไปต้มกินจะไม่เหมาะเท่าไข่ไก่

ฉินสือโอวพูดว่าไม่อย่างนั้นให้ผมทำเถอะ แม่ของฉินสือโอวตอกไข่นกกองหนึ่งอย่างคล่องแคล่ว และพูดว่า “นี่ยังต้องใช้แกทำ? ก่อนหน้านี้ที่บ้านใช้หม้อดินฉันก็ทำได้ ตอนนี้เปลี่ยนมาใช้กระทะทอดแพนเค้กไม่ง่ายกว่าเดิมเหรอ?”

พ่อของฉินสือโอวไปเด็ดต้นหอมจีนและตัดกุยช่ายในทุ่งมาจำนวนหนึ่ง เขากับฉินสือโอวจัดการทำความสะอาดอย่างรวดเร็วและง่ายดาย และสับจนเป็นหอมซอยเตรียมไว้ให้แม่ของฉินสือโอวเรียบร้อย ส่วนที่เหลือก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาทำแล้ว

หลังจากแม่ของฉินสือโอวกวนไข่นกจมสม่ำเสมอก็เทลงบนแป้งและคนต่อ เธอเติมซีอิ๊วกับน้ำตาลทรายขาวลงไปในนั้นนิดหน่อย หลังจากคนแป้งจนข้นเหนียวแล้วก็อุ่นกระทะให้ร้อนและเติมน้ำมันมะกอกลงไป ไม่นานกลิ่นหอมเตะจมูกก็โชยออกมา เวลานี้ให้เทแป้งลงไปและเริ่มผัด

การทดสอบในช่วงนี้คือประสบการณ์และทักษะ แม่ของฉินสือโอวเกลี่ยแป้งอย่างชำนาญ และโรยหอมซอยลงไปด้านบนก่อนนิดหน่อย ตามด้วยพลิกแป้งแผ่นนี้ ชั้นล่างเห็นเป็นสีเหลืองอ่อนแล้ว

ต่อไปก็โรยหอมซอยกับกุยช่ายสับด้านบน และสุดท้ายโรยงาในขณะที่แป้งยังไม่สุก แบบนี้แผ่นไข่ทอดสีเหลืองทองก็อบเสร็จในที่สุด ด้านบนมีหอมซอยกับกุยช่ายสับสีเขียวเข้มและงาที่กระจายอยู่ทั่ว ช่างมีสีสันและกลิ่นที่หอมหวน

…………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท