ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1801 เบคอนบ้านเกิด

บทที่ 1801 เบคอนบ้านเกิด

หลายวันแล้วนับจากพายุมรสุมพัดผ่าน หลายวันมานี้แสงอาทิตย์ยิ่งดูสดใส ถ้าหากไม่ใช่เพราะลมทะเลหนาวเย็น เพียงแค่แสงอาทิตย์ที่สาดส่องนี้ สภาพอากาศก็อบอุ่นราวกับเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิล่วงหน้า

หลายวันนี้ฉินสือโอวยุ่งอยู่กับเรื่องของพันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์ เขาเป็นตัวแทนพันธมิตรออกแถลงการณ์ บอกว่าเป็นศัตรูกับธุรกิจล่าวาฬและล่าฉลามในโลก ตั้งใจออกเอกสารฉบับหนึ่งไปยังฟาร์มปลาต่างๆ ระดมเหล่าเจ้าของฟาร์มให้ปลาระวังเขตน่านน้ำทะเลของตน ถ้าหากพบเรือล่าวาฬและล่าฉลามต้องแจ้งความให้ความร่วมมือในการดำเนินคดี โดยช่วงนี้กำลังกำกับดูแลสถานการณ์การดำเนินงาน

ในที่สุดก็ถึงวันสุดสัปดาห์ วันว่างสบายมาแล้ว วินนี่นอนขี้เซา หลังฉินสือโอวก็ไม่มีธุระอะไร หลังจากที่พ่อแม่มา เขาก็ไม่ต้องเตรียมอาหารเช้าแล้ว ดังนั้นจึงนอนขี้เซาเหมือนวินนี่

แต่สุดท้ายหลังเถียนกวาตื่นมาก็ร้องโวยวายจะไปเล่นกับพี่ตั๋วตั่ว ฉินสือโอวจึงได้แต่งตัวเสร็จพาเธอไปหาตั๋วตั่ว และเก็บกวาดคอกม้าด้วย ปล่อยม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ สองตัวออกมาข้างนอก

มิเชลตื่นนอนมาออกกำลังกายตอนเช้าอย่างมีวินัย เดิมทีฉินสือโอวอยากจะสร้างโรงยิมแห่งหนึ่งในฟาร์มปลา แต่ก็แทบจะไม่ได้ใช้งานเลย พวกเด็กๆ ขึ้นมัธยมปลายกันแล้ว พวกเขาไม่ได้เข้าเรียนมัธยมปลายบนเกาะ แต่ไปเรียนที่นครเซนต์จอห์น ที่เมืองแฟร์เวลไม่มีชั้นมัธยมปลาย โรงเรียนประถมแกรนท์มีจนถึงแค่เกรดเก้า

ปกติแล้วพวกเด็กๆ จะพักอยู่หอใน จะกลับมาเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์และวันหยุดเท่านั้น สนามบาสเกตบอลที่สร้างไว้จึงถูกปล่อยว่างเอาไว้

ฉินสือโอวไม่รู้ว่าวิธีการสอนที่ตัวเองวางแผนไว้ให้กับพวกเด็กๆ ถูกหรือผิด พวกเขาข้ามชั้นรุนแรงมาก ในเวลาสี่ปีก็ข้ามจากชั้นประถมไปยังมัธยมปลาย ในแคนาดาก็สามารถสร้างสถิติได้แล้ว

นอกจากพาวลิสที่เรียนรู้ได้เร็วแล้ว ผลการเรียนของอีกสามคนต่างก็ไม่ดีนัก แต่ยังดีที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องหาทางออกทางด้านการเรียน มิเชลก็คงเดินบนเส้นทางบาสเกตบอล กอร์ดอนไหวพริบดี และยังสนใจงานด้านประมงมาก ฉินสือโอวรู้สึกว่าในอนาคตพาเขาไปจัดการฟาร์มปลาคงจะดีมาก

สำหรับเชอร์ลี่ย์? เด็กคนนี้หน้าตาสวย บุคลิกโดดเด่น นอกจากการเรียนไม่ดีแล้ว อย่างอื่นเช่น ร้องเพลง เต้นรำ เล่นไวโอลิน ขี่ม้า กีฬาและการต่อสู้ล้วนแล้วเก่งมาก ตั้งแต่วันแรกที่เข้าเรียน เธอก็เป็นดาวเด่นที่สุดในโรงเรียน อนาคตฉินสือโอวไม่ต้องกังวลแน่นอน

หลังกินอาหารเช้า ฉินสือโอวเตรียมตัวไปซื้อของในเมือง พอเขาออกจากประตูก็เห็นพ่อของฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลงถือเนื้อออกมา จึงถามอย่างสงสัยว่า “ทำอะไรกันเหรอ?”

พ่อของฉินสือโอวยิ้มตอบ “เนื้อที่เสี่ยวหลงเอามาเยอะเกินไป ทั้งเนื้อแกะและเนื้อวัว แม้ว่าเก็บไว้ในห้องแช่เย็นจะไม่เน่าเสีย แต่พอเวลานานไปก็ไม่มีความสดแล้ว พ่อเตรียมจะทำพวกเบคอนหรือเนื้อหมัก แบบนี้ก็เก็บรักษาง่ายแล้ว รสชาติยังอร่อยด้วย”

เนื้อวัวเนื้อแกะที่เหมาเหว่ยหลงเอามารวมกันแล้วไม่มีห้าร้อยกิโลกรัมก็มีสี่ร้อยกิโลกรัม เดิมทีตอนที่ไปรับเขาแล้วเห็นพวกเนื้อวัวเนื้อแกะที่แยกส่วนเรียบร้อย ฉินสือโอวก็อึ้งแล้ว เขายังคิดว่าเจ้าหมอนี่อยากจะมาเปิดร้านขายเนื้อบนเกาะแฟร์เวลเสียอีก

ธุรกิจฟาร์มปลาใหญ่โต ที่จริงเนื้อพวกนี้ไม่ถือว่าเยอะ แบ่งกันคนละคำก็มีไม่เท่าไหร่

แต่ฉินสือโอวรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น พนักงานก็คือพนักงาน เขาจำเป็นต้องแบ่งความห่างความใกล้ชิดให้ชัดเจน แน่นอนว่าอย่างพวกชาร์ค บลูและนีลเซ็นเป็นสายตรงของเขา เขากินอะไรก็สามารถให้คนพวกนี้กินด้วยได้ แต่ชาวประมงทั่วไปไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ เนื้อวัวเนื้อแกะที่เหมาเหว่ยหลงเอามาพวกนี้แพงกว่าเนื้อในร้านขายเนื้อทั่วไปมาก กลุ่มของตัวเองกินก็พอแล้ว

ด้วยแบบนี้ คนน้อยลง เนื้อวัวเนื้อแกะจึงดูเยอะเกินไป และยังไม่สามารถกินปลากินเนื้อทุกมื้อได้ กินไปช่วงหนึ่งก็ยังเหลืออยู่ไม่น้อย หลังพ่อของฉินสือโอวเห็นจึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องทำเบคอนและเนื้อหมัก

ความจริงตอนที่เขาเพิ่งมาถึงก็อยากจะทำอย่างนี้แล้ว เสียดายอากาศหลายวันนั้นไม่ดี ทีแรกก็เมฆดำมืดครึ้ม จากนั้นก็พายุลมฝนและพายุหิมะ ในที่สุดตอนนี้อากาศก็สดใสขึ้นมา ถึงได้มีโอกาสทำเบคอนและแฮม

ฉินสือโอวเกาหัว อยู่ช่วยทำเบคอนด้วย

เบคอนและเนื้อหมักเป็นหนึ่งในอาหารหลักของบ้านเกิดพวกเขา ตำแหน่งคล้ายกับเบคอนและแฮมในแถบตะวันตกเฉียงใต้ แต่ว่าเวลาเก็บรักษาไม่ได้นานขนาดนั้น ฉินสือโอวรู้สึกว่ารสชาติของเบคอนและเนื้อหมักดีกว่า และยังใช้ได้หลากหลาย

เนื้อวัวเนื้อแกะที่เหมาเหว่ยหลงเอามาผ่านการทำความสะอาดมาง่ายๆ เนื้อแกะแถวหนึ่งก็คือครึ่งตัว ผ่าแบ่งครึ่งจากตรงกลาง ล้างทำความสะอาดเครื่องในและเลือด ที่เหลือทั้งหัวและขาก็เอามาพร้อมกันด้วย นี่ก็เป็นวิธีการจัดการที่ใช้บ่อยของโรงฆ่าสัตว์ในแคนาดา

ส่วนเนื้อวัวแบ่งบรรจุเป็นส่วนๆ เช่น ขาวัว หลังวัว หัววัว ท้องวัวเป็นต้น เนื้อทุกชิ้นพวกนี้หนักอย่างน้อยสิบกิโลกรัมกว่า ดูท่าทางแน่นมาก

ฉินสือโอวรองน้ำเพื่อละลายเนื้อวัวเนื้อแกะแช่แข็ง พอถึงตอนเที่ยงอากาศอบอุ่นขึ้นแล้ว เขาถือเนื้อแกะชิ้นหนึ่งขึ้นมาดู น้ำแข็งเองก็ละลายได้เยอะแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็สามารถเตรียมตัวเริ่มงานได้

พ่อของฉินสือโอวเตรียมส่วนผสม เขาและเหมาเหว่ยหลงหั่นเนื้อแกะเตรียมไว้ หั่นเป็นเส้นๆ ขนาดความหนาบางสั้นยาวคล้ายแขนเด็ก

เห็นเนื้อวัวเนื้อแกะที่นุ่มสดพวกนี้ สามหน่อบนฟ้าบินมาอย่างสนใจ พอถึงฤดูหนาวเพราะว่าอากาศที่หนาวเหน็บ สามหน่อจึงเรียบร้อยขึ้นไม่น้อย ตั้งแต่เริ่มมีพายุลมก็หลบอยู่ในบ้านอย่างเรียบร้อยไม่ได้ไปเตร็ดเตร่ในเขาเคอร์บัลอีก พอเห็นเนื้อสด ถึงได้กลับมาตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง

ฉินสือโอวใช้มีดหั่นเนื้อเป็นชิ้นบางๆ จากนั้นโยนขึ้นไปบนฟ้า แคลร์ อินทรีทองและบุช นกอินทรีหัวขาวอ้าปากคาบชิ้นเนื้ออย่างกับลูกหมา ร่างกายพวกมันทั้งสองค่อนข้างมีกำลัง แนบไปกับพื้นก็บินได้คล่องมาก คาบชิ้นเนื้อเข้าปากแล้วกลืนลงไปอย่างแม่นยำชิ้นแล้วชิ้นเล่า

“สุดยอด!” เหมาเหว่ยหลงเห็นแล้วก็อิจฉาขึ้นมา เขาก็หั่นเนื้อชิ้นหนึ่งโยนออกไป แคลร์และบุชไม่แม้แต่จะมองเขาสักนิด ยังคงบินขึ้นบินลงรอให้ฉินสือโอวป้อนเนื้อให้

“แม่สิ เจ้าตัวเล็กไร้หัวใจสองตัวนี้!” เหมาเหว่ยหลงแค้นมาก

บุชและแคลร์ไม่สนใจ เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่นิมิตส์ ครั้งนี้เขาไม่โยนเนื้อแล้ว แต่ว่าเดินไปหา

นิมิตส์มองเขาอย่างดูถูก หันหน้าสะบัดหางใหญ่ใส่เขา เหมาเหว่ยหลงโกรธจนด่าว่า “ไอ้เจ้าพวกนี้ เนื้อฉันก็เป็นคนเอามา มีปัญญาใครป้อนพวกแกก็อย่างกินสิ!”

ฉินสือโอวหัวเราะอย่างสบประมาท “แกโง่เหรอ นกโจรสลัดใหญ่กินแต่ปลา พวกมันไม่กินเนื้อ!”

พ่อของฉินสือโอวผสมส่วนผสมเสร็จ ยกกะละมังใหญ่อันหนึ่งออกมาถามว่า “พวกแกอย่ามัวแต่แกล้งเจ้าตัวเล็กเล่นสิ รีบทำงานเข้า ถ้าทำเสร็จ คืนนี้ก็ได้กินแล้ว!”

ฉินสือโอวหั่นชิ้นเนื้อต่ออย่างอารมณ์ดี พลางถามว่า “ส่วนผสมเตรียมเสร็จแล้วเหรอครับ?”

ส่วนผสมที่เบคอนจะใช้ค่อนข้างซับซ้อน ซีอิ๊ว น้ำส้มสายชู ใบชา เกลือ ต้นหอม ขิง กระเทียม ยี่หร่า มะแขว่น ผงชูรส โป๊ยกั๊ก น้ำตาลทรายขาว น้ำมันงา เป็นต้น เห็นว่าเมื่อก่อนครอบครัวใหญ่ที่บ้านเกิดพวกเขาพิถีพิถันยิ่งกว่า จะต้องใช้ส่วนผสมถึงสี่ห้าสิบอย่าง

พ่อของฉินสือโอววางกะละมังลง แล้วบอกว่า “อยู่ที่นี่หมดแล้ว พวกแกแบ่งเนื้อเสร็จก็ล้างแล้วแช่ลงไป จากนั้นกินอาหารกลางวัน ตอนบ่ายพวกเราค่อยเริ่มทำ”

คุณภาพของเนื้อวัวและเนื้อแกะพวกนี้ค่อนข้างดี ดูดซับส่วนผสมได้เร็ว ฉินสือโอวและเหมาเหว่ยหลงใส่ลงไปก่อนบางส่วน รอจนเนื้อทั้งหมดต่างใส่ไปในกะละมังหมักเนื้อแล้ว เนื้อที่ใส่เข้าไปตอนแรกสุดก็สามารถนำออกมาต้มกินได้แล้ว

………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท